สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องพุทธศาสนากับการทำแท้ง
ความหมายของการทำแท้ง
การทำแท้งและกฎหมาย
สิทธิของแม่ : วิธีการของนักสตรีศึกษา
ข้อเท็จจริงทางศีลธรรมของการทำแท้ง
ทัศนะทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศีลธรรมในการทำแท้ง
ความเป็นคนเริ่มต้นเมื่อใดตามทัศนะของพุทธศาสนา
การทำแท้งคือการฆ่ามนุษย์ตามทัศนะพุทธศาสนา
เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมการทำแท้ง
บทสรุป
เอกสารอ้างอิง
ความเป็นคนเริ่มต้นเมื่อใดตามทัศนะของพุทธศาสนา
เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าเมื่อใดเราจึงจะเรียกอินทรียภาพ (Organism)
อันหนึ่งว่าเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
ขอให้เราพิจารณาพระพุทธวจนะในพระสูตรต่อไปนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อปัจจัยสามประการประจวบกันเข้า การตั้งครรภ์ย่อมเกิดขึ้น
แม้มารดาและบิดาจะมีเพศสัมพันธ์กัน
แต่มารดายังไม่อยู่ในวัยมีระดูและคันธัพพะก็มิได้ปรากฏ
การตั้งครรภ์ย่อมไม่สามารถเกิดมีได้ แม้มารดาและบิดาจะมีเพศสัมพันธ์กัน
และมารดาก็อยู่ในวัยมีระดู แต่คันธัพพะมิได้ปรากฏ
การตั้งครรภ์ย่อมไม่สามารถเกิดมีได้ ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดก็ตามที่มารดาและบิดามีเพศสัมพันธ์กัน มารดาอยู่ในวัยมีระดู
(ช่วงเวลาไข่สุก) และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่ (มีสัตว์ที่เข้าไปเกิด)
เมื่อปัจจัยสามประการตามที่กล่าวมานี้ประจวบพร้อม การตั้งครรภ์ย่อมเกิดขึ้น
(ม.มู.12/452/487)
ตามพุทธมติข้างต้นนี้ การตั้งครรภ์จะเกิดมีได้ต้องอาศัยองค์ประกอบสามประการ
คือ บิดามารดามีเพศสัมพันธ์ทางเพศ มารดาอยู่ในวัยที่จะให้กำเนิดทารกได้
และมีสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่าคันธัพพะเข้าไปอยู่ในไข่ของมารดาที่ได้รับเชื้อจากบิดาแล้ว
องค์ประกอบทั้งสามนี้ต้องประจวบพร้อมในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ขณะที่มารดา
บิดามีเพศสัมพันธ์กันนั้น อสุจิกับไข่ได้ผสมกัน
ช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้ประจวบกันเข้าก็มีคันธัพพะเข้ามาผสมอีกทางหนึ่ง
ครบอย่างนี้การตั้งครรภ์จึงจะเกิดมีได้
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายคำว่า คันธัพพะ ได้แก่ สัตว์ที่มาปรากฏในครรภ์
สัตว์ดังกล่าวหมายเอาปฏิสนธิวิญญาณที่สืบเนื่องมาจากจุติวิญญาณของสัตว์ที่ถึงแก่กรรม
ก็คือ สัตว์ผู้ไปเกิด ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่าอยู่ในภพก่อน
วิญญาณหรือจิตสุดท้ายจะมุ่งหน้ามาสู่กำเนิดโดยมี คตินิมิต เป็นตัวนำ (ม.อ.
2/408/218; วินย.ฏีกา. 2/10/20)
พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงวิญญาณที่ลงมาถือปฏิสนธินั้นมีความแตกต่างกันดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย
สัตว์บางชนิดในโลกนี้เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัว ขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัวขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
เป็นผู้รู้สึกตัวขณะอยู่ในครรภ์มารดา แต่เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัวขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
เป็นผู้รู้สึกตัวขณะอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้รู้สึกตัวขณะคลอดจากครรภ์มารดา
(ที.ปา.11/312/205)
การสืบต่อของจิตที่มาเกิดในครรภ์มีการตีความของพระอรรถกถาจารย์สอดคล้องกับพุทธวจนะที่ตรัสไว้ในมหานิทานสูตร
ดูก่อนอานนท์ ! หากวิญญาณไม่หยั่งลงไปในครรภ์ของมารดา
นามรูปสามารถเติบโตในครรภ์ได้หรือไม่
ไม่เลย พระเจ้าข้า !
อานนท์ ! หากวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดาแล้วดับไป
นามรูปจะสามารถเติบโตในครรภ์ได้หรือไม่
ไม่เลย พระเจ้าข้า ! (ที.ม.10/115/55)
ในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า วิญญาณที่ดับในชาติก่อน เรียกว่า จุติวิญญาณ
ส่วนวิญญาณที่เกิดในภพใหม่ เรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ
เมื่อจุติวิญญาณจะดับลงในชาติก่อน
ได้ส่งผลบุญหรือบาปออกไปเป็นปัจจัยให้เกิดการปฏิสนธิในชาติใหม่
แต่ปฏิสนธิวิญญาณก็ไม่แตกต่างจากจุติวิญญาณโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้เพราะผลบุญหรือบาปที่จิตวิญญาณส่งมาได้เป็นพลังผลักดันให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณนี้
ดังนั้น ปฏิสนธิวิญญาณจึงได้รับมรดกทุกอย่างจากจุติวิญญาณ
ผลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติก่อนไม่ได้ดับสูญไปพร้อมกับการดับของจุติวิญญาณ
ทั้งนี้เพราะผลกรรมเหล่านั้นได้ข้ามไปสถิตอยู่ในปฏิสนธิวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่
(พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธัมมะจิตโต), 2533: 18-119)
มีอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ สำหรับปฐมจิตเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมกับ อรูปขันธ์ 3 (เวทนา สัญญา และสังขาร)
และ กลลรูป ซึ่งเป็นฝ่ายรูปธรรม ดังนั้น ตามหลักพุทธศาสนาชีวิตจึงมีองค์ประกอบขันธ์
5 ครบสมบูรณ์ ณ วันที่เริ่มปฏิสนธินั่นเอง อนึ่ง กลลรูป
เป็นเซลล์ขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจะใช้เวลานานประมาณ 5 สัปดาห์
กว่าจะเริ่มงอกแขนขาและศรีษะออกมาเป็นร่างกายมนุษย์
โดยที่ขั้นตอนเจริญเติบโตกว่าที่งอกเป็นปุ่มปมห้าปุ่ม
นี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละสัปดาห์ ชีวิตในครรภ์เป็นอย่างไร ดังคำว่า
ปฐมัง กัลลัง โหติ กลลา โหติ อัพพุทัง อัพพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพพัตตะตี
ฆโน ฆนา ปสาขา ชายันติ เกสา โลมา นะขาปิ จะ.
รูปนี้เป็นกกละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเป็นเปสิ
จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้นมีผม ขนและเล็บ
(เป็นต้น) เกิดขึ้น (สัง. ส. 15/803/303;อภิ.ก.37/1560/524)
อธิบายว่า ลำดับการเกิดเป็นระยะๆ ทีละช่วงสัปดาห์หรือช่วงละเจ็ดวันๆ
ลำดับแรกที่สุดก็คือ เป็น ปฐมัง กัลลัง เป็นกลละก่อน คำว่า กลละ
นี้ในความหมายทั่วไปก็ได้แก่พวกเมือก พวกโคลน เช่นว่าเหยียบลงไปในโคลนหรือในที่เละ
แต่ในที่นี้ กลละ เป็นศัพท์ซึ่งมีความเกี่ยวกับชีวิต
หมายถึงเป็นเมือกใสหรือหยาดน้ำใส ไม่ใช่ข้นอย่างโคลนตม เป็นหยดที่เล็กเหลือเกิน
เล็กจนกระทั่งในสมัยนั้นอุปมาว่า
หยาดใสกลละนี้มีขนาดเล็กมากเหมือนอย่างเอาขนจามรีมา
จามรีที่เป็นสัตว์อยู่ทางภูเขาหิมาลัย
ซึ่งมีขนละเอียดมากเอาขนจามรีเส้นหนึ่งมาจุ่มน้ำมันงา แล้วสลัดเจ็ดครั้ง
แม้จะสลัดเจ็ดครั้งแล้วมันก็ยังเหลือติดอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งเล็กเหลือเกิน
นี่แหละเป็นขนาดของกลละ กลละหมายถึงชีวิตในฝ่ายรูปธรรม เมื่อเริ่มกำหนดในเจ็ดวันแรก
ในช่วงเจ็ดวันแรกก็เป็นกลละอย่างนี้มาก่อน ต่อจากกลละนี้ไปในสัปดาห์ที่ 2
เป็น อัพพุทะ ซึ่งเป็นเมือกกลละ คือ เป็นน้ำมันข้น หรือเมือกข้น
ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ 3 ก็จะเป็น เปสิ คือเป็นชิ้นเนื้อ ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่
4 ก็จะเป็นก้อนเรียกว่า ฆนะ ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ 5
ก็จะเหมือนกับมีส่วนงอกออกมา เป็นปุ่มห้าปุ่ม เรียกว่าปัญจสาขา นี่เป็นสัปดาห์ที่
5 แล้วหลังจากนั้นก็จะมีผมมีขนมีเล็บ
หลังจากนั้นก็จะพัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบเก้าเดือน
มารดาก็จะคลอดทารกนั้น หากมีการทำแท้งขึ้นไม่ว่ากระบวนใด ถือว่าเป็นการฆ่าชีวิต
ซึ่งถือว่าเป็นความผิดและบาป กล่าวคือ
การพรากมนุษย์จากชีวิตแม้ในเวลาที่เป็นกลละนี่ ชื่อว่าทำแท้ง หรือทำครรภ์ให้ตกไป
ฉะนั้น ก็ได้ความหมายของการทำแท้งหรือฆ่ามนุษย์ในครรภ์ตั้งแต่รูปเล็กที่สุดเป็นกกละ
สำหรับภิกษุนี่ชัดเจนแล้วว่าถ้าทำลายชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ์มารดา
ชื่อว่าทำลายชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้น
สรุปความว่า องค์ประกอบของการตั้งครรภ์ในทัศนะพระพุทธศาสนา
แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ องค์ประกอบด้านชีวภาพ ส่วนที่สองคือ
องค์ประกอบที่เป็นนามธรรม พระพุทธศาสนาเชื่อต่างจากนักชีววิทยา
ลำพังเพียงกระบวนการทางชีววิทยา
ทารกไม่สามารถเกิดและเติบโตเป็นมนุษย์ได้เพราะกระบวนการทางชีววิทยาเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสสาร
พุทธศาสนาไม่เชื่อว่าสสารจะสามารถเจริญเติบโตไปได้อย่างมีทิศทางและซับซ้อนเช่นนั้นได้
สิ่งที่กำหนดให้ไข่ที่ผสมเชื้ออสุจิแล้วเจริญเติบโตอย่างมีระเบียบมีทิศทาง
และสามารถมีจิตสำนึกได้ ต้องไม่ใช่ตัวไข่และอสุจิที่เป็นเพียงวัตถุ
หากแต่ต้องเป็นสิ่งอื่นที่มีอานุภาพอันซับซ้อน ซึ่งสิ่งนี้พุทธศาสนาเรียกว่า จิต
หรือ วิญญาณ
ขอให้สังเกตว่า นับจากวินาทีแรกที่องค์ประกอบทั้งสามประจบกัน
คัมภีร์พุทธศาสนาจะใช้คำว่าสัตว์สำหรับเรียกอินทรียภาพนั้น
คำว่าสัตว์ในพุทธศาสนามีหลายความหมายว่า
สิ่งนั้นเติบโตเป็นสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
อินทรียภาพที่เราเรียกกันว่ามนุษย์นี้จัดเป็นมนุษย์นับจากวินาทีแรกที่ปฏิสนธิ
ทัศนะของพระพุทธศาสนาข้างต้นนี้สำคัญมาก
เพราะนี้คือเหตุผลที่จะทำให้พุทธศาสนาสรุปว่า การทำแท้งคือการฆ่ามนุษย์
ทารกที่เพิ่งปฏิสนธิ พุทธศาสนาถือว่าเป็นคนแล้วโดยสมบูรณ์
ความเป็นคนในที่นี้ไม่ได้วัดจากการมีอวัยวะครบถ้วน
หากแต่วัดจากการมีขันธ์ห้าครบถ้วน ขันธ์กับอวัยวะเป็นคนละอย่างกัน
นักปราชญ์ที่สนับสนุนให้มีการทำแท้งโดยไม่ถือว่าผิดศีลธรรมมักอ้างว่า
ทารกที่เพิ่งปฏิสนธิไม่ใช่คน เหตุผล คือ
สิ่งนี้เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ปรากฏอวัยวะให้เห็นรางๆ เท่านั้น
ความเป็นคนต้องวัดจากการมีอวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์ในทัศนะของนักปราชญ์เหล่านี้
การอ้างว่าทารกที่เริ่มปฏิสนธิ คือ คนที่เหมือนกับอ้างว่า
เมล็ดมะม่วงกับต้นมะม่วงเป็นสิ่งเดียวกันนั้นเอง
สำหรับพระพุทธศาสนา
การมีอวัยวะครบหรือไม่ครบไม่ใช่เกณฑ์สำหรับวัดว่าอินทรียภาพนั้นเป็นคนหรือไม่
เพราะหากใช้เกณฑ์นี้วัด คนพิการก็คงมีความเป็นคนน้อยกว่าคนปกติ สิ่งที่ใช้วัด คือ
การมีขันธ์ห้าครบถ้วน มนุษย์ไม่ว่าจะมีร่างกายพิกลพิการหรือปกติ
พุทธศาสนาถือว่ามีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาในแง่ของขันธ์
คนพิการก็มีขันธ์เท่ากับคนปกติ
ขันธ์ห้ามีขั้นตอนการพัฒนาสองขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือ ตอนที่เราอยู่ในครรภ์
ขั้นตอนที่สองคือ ตอนที่เราคลอดไปจนถึงตาย
อินทรียภาพที่เพิ่งปฏิสนธิแม้จะมีขันธ์ห้าครบ
แต่ขันธ์เหล่านี้อยู่ในภาวะที่ยังไม่แสดงตัวเต็มที่ ขันธ์เหล่านี้อยู่ในสภาพแฝง
(Potentiality) ทารกนั้นอาจจะยังไม่มีความคิด ความรู้สึก
แต่เขามีสมรรถนะที่จะคิดและรู้สึกสมบูรณ์ในตัว
เขาอาจจะยังไม่มีอวัยวะครบถ้วนและชัดเจนเหมือนเรา
แต่เขามีสมรรถนะที่จะเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในวันข้างหน้า
ขันธ์ห้าจะเปลี่ยนสภาพจากการเป็นภาวะแฝงมาเป็นภาวะที่ปรากฏ (Actuality)
เมื่อคนเราคลอดออกจากครรภ์มารดา ได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่างๆ มีความคิด อารมณ์
ความรู้สึก และทัศนะต่อสรรพสิ่ง