สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องพุทธศาสนากับการทำแท้ง

ความหมายของการทำแท้ง
การทำแท้งและกฎหมาย
สิทธิของแม่ : วิธีการของนักสตรีศึกษา
ข้อเท็จจริงทางศีลธรรมของการทำแท้ง
ทัศนะทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศีลธรรมในการทำแท้ง
ความเป็นคนเริ่มต้นเมื่อใดตามทัศนะของพุทธศาสนา
การทำแท้งคือการฆ่ามนุษย์ตามทัศนะพุทธศาสนา
เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมการทำแท้ง
บทสรุป
เอกสารอ้างอิง

การทำแท้งคือการฆ่ามนุษย์ตามทัศนะพุทธศาสนา

นักปรัชญาบางคนที่สนับสนุนให้มีการทำแท้งให้ความเห็นว่า การฆ่าจะมีความหมายก็ต่อเมื่อสิ่งที่ถูกฆ่านั้นมีความสำนึกในตัวเอง รู้ว่าตัวคืออะไร การฆ่าสิ่งที่ไม่มีความสำนึกว่าตนมีอยู่เป็นสิ่งไร้ความหมาย ดังนั้น การทำแท้งไม่ถือว่าเป็นการฆ่า แม้จะมีรายงานทางการแพทย์ว่า ทารกในครรภ์ที่อยู่ระหว่างการทำแท้งได้นั้น จะแสดงอาการตอบสนองสิ่งกระตุ้นได้แล้วก็ตาม (อาการตอบสนองนั้นอาจอธิบายได้ด้วยโครงสร้างทางสรีรวิทยาที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการมีความสำนึกในตัวเอง)

ในทัศนะของพุทธศาสนา การฆ่าไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าอินทรียภาพนั้นอยู่ในสติสัมปชัญญะเพราะเงื่อนไขทางกายภาพบางประการมีค่าเท่ากับการฆ่าคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ การฆ่าคนที่สลบหรือนอนหลับมีค่าเท่ากับการฆ่าคนที่กำลังตื่น เหตุผลคือ คนเราไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด ขันธ์ห้าของเขายังมีครบถ้วน คนไข้ที่หลับไม่ตื่นชั่วนิรันดรก็มีขันธ์ห้าเท่ากับคนปกติธรรมดาที่กำลังเดินอยู่บนถนน ทารกที่เพิ่งปฏิสนธิก็เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นเพียงก้อนเนื้อ แต่พุทธศาสนาก็มองว่าก้อนเนื้อนั้นประกอบด้วยขันธ์ห้าครบถ้วน แม้ขันธ์ส่วนที่เป็นนามธรรมคือ จิตและเจตสิกจะยังไม่ทำงานอันส่งผลให้ทารกนั้นอยู่ในภาวะที่ปราศจากรู้สำนึกตน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ การฆ่าคนป่วยที่อยู่ในอาการหลับนิรันดร์เป็นการฆ่าที่สมบูรณ์ฉันใด การฆ่าทารกในครรภ์นั้นก็ฉันนั้น

พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับการทำแท้งในรูปแบบใด ๆ เหตุผลสำคัญคือชีวิตมนุษย์ถูกถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่าในอันที่จะดำรงอยู่ในช่วงชีวิตของตน เช่น การทำลายมนุษย์ตัวอ่อนซึ่งถือกำเนิดในครรภ์นับเป็นการทำลายโอกาสที่หาได้ยากยิ่งสำหรับชีวิตที่มีค่าของมนุษย์ มีกรณีตัวอย่างบ้างไหมที่ชีวิตของสตรีตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงเช่นนั้น? พระพุทธศาสนาให้เหตุผลสนับสนุนการทำแท้งในกรณีเช่นนั้นหรือไม่? มีหลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่แสดงเหตุผลสนับสนุนการทำลายชีวิตเพื่อปกป้องตนเอง ในหลายเรื่องนั้น หลายโอกาสก็เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์โดยตรง และพระสงฆ์เหล่านั้นก็มิได้ผิดวินัยบัญญัติปาราชิกข้อที่ 3 ในเรื่องนี้เจตนามีบทบาทสำคัญในการตัดสินจริยธรรมเรื่องการทำลายชีวิตมนุษย์ เกี่ยวกับการทำแท้ง วินัยบัญญัติไดกำหนดระดับต่าง ๆ ของความผิดในการทำแท้งไว้ตามเจตนา มูลเหตุจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำและผลที่จะตามมาของการกระทำนั้น (วินย.3/83-4/175) มีเรื่องเล่าว่าถ้าภิกษุถูกสตรีขอร้องให้จัดการทำแท้งไม่ว่าจะโดยตัวเธอเองหรือสตรีอื่น ๆ ก็ตาม ภิกษุยินยอมทำตามคำขอร้องของเธอ การกำหนดโทษก็จะแตกต่างออกไปซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเจตนาและมูลเหตุจูงใจทั้งของภิกษุและสตรีนั้น และผลที่จะตามมาต่าง ๆ ด้วย

อนึ่ง พระพุทธศาสนาถือว่า “กรรม” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเจตนาเป็นพื้นฐาน จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ดังพุทธพจน์ว่า “เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ” แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เจตนาเราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้วจึงทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ (อัง.ฉักกะ. 22/163/395) และพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลหว่านพืชชนิดใด ย่อมได้รับผลชนิดนั้น ผู้ทำความดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว” (สัง.ส. 15/256/272.) เจตนาอันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเป็นเครื่องตัดสินการกระทำ ถ้าเจตนาดีก็มีองค์ประกอบด้วยกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ จัดเป็นกุศลกรรม นั่นคือ กรรมใดทำไปแล้ว ไม่เกิดความเดือดร้อนใจภายหลัง กรรมนั้นดี ส่วนเจตนาที่เป็นเครื่องชี้ของการกระทำที่ไม่ดี คือ เกิดจากรากเหง้าของความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความอยากได้ โทสะ การคิดประทุษร้าย และโมหะ ความหลง นั่นคือ กรรมใดทำไปแล้ว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนใจภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี ดังพระคาถาที่ว่า “กรรมใดทำแล้ว ย่อมเดือดร้อนใจภายหลัง มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ เสวยผลแห่งกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี” (สัง.ส. 15/103/68)

เรื่องกรรมที่ปรากฏในคำสอนเรื่องการทำแท้ง กรรมสำคัญมากในคำสอนนี้ ศีลข้อแรกคือการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์นั้นอ้างถึงสัตว์มีชีวิตทุกชนิดเริ่มตั้งแต่สัตว์ไปจนถึงมนุษย์ การฆ่าสัตว์มีชีวิตที่ประกอบด้วยเจตนาเป็นอกุศลกรรม มีวิบากที่เป็นอกุศล การฆ่ามนุษย์เป็นความผิดร้ายแรงที่สุด เป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและระเบียบขอกฎหมายในสังคม แน่นอนว่าการทำแท้งเป็นการฆ่าที่ได้วางแผนไว้แล้ว ความตั้งใจที่จะทำนั้นเกี่ยวข้องกับการฆ่า คือ ความเกลียด ความโกรธ ความกลัว ความผิด และความรังเกียจตัวเอง หญิงนั้นอาจจะมั่นใจตัวเองว่าการทำแท้งนั้นถูกต้องในกรณีของเธอ แต่ว่าเธอไม่อาจมั่นใจกฎแห่งกรรม เนื่องจากการทำแท้งเธออาจได้รับความเจ็บปวดจากการเสียเลือดมาก เป็นหมันหรือการติดเชื้อหรือความผิด การใส่ร้ายตนเองหรือความทุกข์อันเนื่องมาจากผลของกรรม

ในเกณฑ์ตัดสินทางพุทธจริยธรรมถือเอาเจตนาและผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีหรือไม่ดีนี้มาตัดสิน เช่น พยาบาลฉีดยาคนไข้ด้วยหวังจะช่วยชีวิต แต่ทำให้คนไข้เสียชีวิตเพราะความประมาท กรรมของเธอไม่บริสุทธิ์เพราะสร้างความเดือดร้อนขึ้นภายหลังการกระทำ กรรมจะดีหรือไม่ดี ดูที่สองส่วนรวมกัน คือ เจตนากับผลลัพธ์

สำหรับการทำลายชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไปที่สอดคล้องกับการทำแท้ง จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบของการฆ่าสัตว์ ดังนี้ คือ

1. ปาโณ สัตว์นั้นมีชีวิต = ข้อเท็จจริง
2. ปาณสัญญิโต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต = รู้ข้อเท็จจริง
3. วธกจิตตัง มีจิตคิดจะฆ่า = มีเจตนา
4. วธกปโยโค มีความพยายามจะฆ่า = มีการกระทำ
5. เตน มรณัง สัตว์นั้นตายเพราะความพยายามนั้น = มีผล

องค์ประกอบทั้ง 5 นี้ ถ้ากล่าวถึงการทำแท้งของแพทย์ ก็ถือว่าคนทั้งหมดย่อมมีศีลขาด ถ้าจะกล่าวว่าเป็นบาปหรือไม่นั้น ก็ต้องดูที่การมีเจตนาที่จะฆ่า หรือมีการจงใจฆ่า เพราะการฆ่าที่มีเจตนานั้นจิตจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการกระทำ ที่เป็นอกุศล จิตนั้นมีโลภะ โทสะ และโมหะ ร่วมอยู่ด้วย ถือเป็นบาป และการฆ่านั้นจึงจะสำเร็จโดยสมบูรณ์ อีกประการหนึ่งจะต้องพิจารณาจากองค์ประกอบดังนี้คือ ระยะก่อนฆ่า และระยะที่ลงมือฆ่า กล่าวคือระยะก่อนฆ่านั้นเป็นขั้นวางแผนและเตรียมการ ยังไม่ลงมือกระทำ ขั้นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการฆ่า เพียงแต่มีความพยาบาทอาฆาต อิจฉาริษยา ทั้งกาย วาจา และใจ เท่านั้น ส่วนระยะที่ลงมือฆ่านั้น เป็นการกระทำทางกายต่อสัตว์นั้น จนกระทั่งสัตว์นั้นตายด้วยการกระทำนั้น จึงจะถือว่าเป็นการฆ่าที่สมบูรณ์

ดังนั้น ปัญหาของการทำแท้ง จึงเป็นปัญหาทางจริยธรรมที่ทางพุทธศาสนาได้วางหลักการปฏิบัติในเรื่องนี้เป็น 2 ตอน ตามที่พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต),(2536: 19) กล่าวไว้คือ

1. การรู้ความจริง (ของธรรมชาติ)
2. การตัดสินใจที่จะกระทำ (ของตัวคน)

การถือเอาความจริงเป็นหลักเป็นสิ่งที่พึงรู้ตามกฎเกณฑ์แห่งจริยธรรม บุคคลจะทำอะไรไป จะได้รับผลอย่างไร ก็เป็นไปตามกฏแห่งเหตุผล หรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุปัจจัยจากการกระทำของตนเอง ก็คือ ต้องยอมรับความจริงตามธรรมชาติว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้ความจริงว่าเป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัยมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติแล้ว ก็จะต้องตัดสินใจกระทำอย่างไร เพื่อให้ได้ผลที่สอดคล้องกับความจริงที่เป็นอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อจริยธรรมนั้นเป็นเรื่องของความเป็นไปตามหลักความจริงอย่างนี้แล้ว การกระทำก็เกิดผลตามหลักความจริงนั้นและก็ได้รับผลต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามกฏธรรมชาตินั้น

ในหลักการนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า ให้ผู้ปฏิบัติใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินตามความเป็นจริง กล่าวคือ เมื่อวามเป็นจริงเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะตัดสินอย่างไร เมื่อเรายอมรับความจริงตามธรรมชาติแล้วเราก็ต้องยอมรับความจริงต่อการตัดสินใจนั้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เมื่อรู้และยอมรับความจริงแล้ว การตัดสินใจทำอย่างไรลงไปแล้ว ก็ต้องยอมรับผิดชอบต่อการกระทำของเราตามความจริงนั้น (ประยุทธ์ ปยุตโต, 2536: 20)

ในเรื่องการทำแท้งนี้ ตามหลักทางพุทธศาสนาถือว่าชีวิตมนุษย์เริ่มตั้งแต่เป็นกลลรูป ตั้งแต่ปฐมจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณแล้ว ถ้าใครไปทำให้ชีวิตนี้สิ้นสุดก็ถือว่าฆ่ามนุษย์ตั้งแต่บัดนั้น ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เหล่านี้คือความรู้ที่เป็นจริง ซึ่งพระพุทธองค์ได้บัญญัติเป็นวินัยของพระภิกษุว่า ถ้าภิกษุใดทำลายชีวิตมนุษย์อย่างนี้ ก็เป็นอันว่าขาดจากความเป็นภิกษุทันที จะรวมอยู่กับหมู่คณะไม่ได้ ห้ามร่วมสังฆกรรมด้วยกัน การฆ่าหรือการทำลายชีวิตสัตว์นั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ก็ถือว่าเป็นการทำลายชีวิตสัตว์ทั้งนั้น แต่จะมีบาปมากบาปน้อยหรือมีโทษมากหรือโทษน้อยก็แล้วแต่สัตว์นั้นมีคุณมากหรือคุณน้อย การฆ่าสัตว์ต่างชนิดกันหรือแม้แต่ต่างตัวในชนิดเดียวกัน ก็มีผลกรรมไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อนำหลักการนี้มาจัดวางเป็นวินัยของพระภิกษุหรือกฏกติกาของสังคม จึงมีการบัญญัติโทษที่แตกต่างกัน เช่น โทษสูงสุดของการฆ่าสัตว์ทางวินัยของพระภิกษุคือขาดจากความเป็นภิกษุ ทางสังคมโทษสูงสุดก็คือขั้นประหารชีวิต เป็นต้น

ฉะนั้น ในพุทธศาสนามีหลักการวินิจฉัยเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ

  • หลักความจริงคือชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นในทางนามธรรมนั้น เริ่มตั้งแต่มีปฐมจิต คือ ปฏิสนธิวิญญาณแรก และในทางรูปธรรมนั้นก็เริ่มตั้งแต่เป็น กลลรูป
  • หลักความจริงที่เป็นกฎเกณฑ์เพื่อสนับสนุนจริยธรรม เป็นกฎเกณฑ์ของสังคมที่ต้องยอมรับความจริงนั้น

จากหลักการดังกล่าวมา เมื่อมีข้อตกลงในหลักความจริงแล้ว ก็ต้องมีการบัญญัติกฎเกณฑ์หรือกฏกติกาทางสังคม เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตัดสินใจว่าดี ชั่ว ถูก ผิด เหมาะ ไม่เหมาะ ควรหรือไม่ควร และจะต้องทำเพื่อเกื้อหนุนหรือเป็นเครื่องสนับสนุนจริยธรรม เพื่อช่วยให้จริยธรรมดำรงอยู่ได้ในสังคม ทำให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม มีความสงบสุขร่มเย็นโดยทั่วถึงกัน

อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบซึ่งเป็นมาตรฐานหรือเกณฑ์ในการตัดสินใจนั้นจะต้องเป็นประโยชน์ในทุกขั้นตอนของการกระทำซึ่งต้องอาศัยสภาพแวดล้อมของสังคมนั้นๆ เป็นเครื่องตัดสินหรือเป็นตัวชี้นำเป็นประการสำคัญ สำหรับหลักเกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ตามหลักพุทธปรัชญาว่า การกระทำแบบใดจะมีโทษมากหรือโทษน้อยมีบาปมากหรือบาปน้อย โดยมีหลักการที่ควรพิจารณา ดังนี้ (ประยุทธ์ ปยุตโต, 2536: 30)

  1. ต้องดูที่สัตว์นั้นเองว่า ถ้าสัตว์นั้นเป็นสัตว์เล็กเป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์มีคุณน้อย หรือเป็นสัตว์ที่มีโทษ การทำลายชีวิตจึงเป็นบาปน้อย ถ้าสัตว์นั้นมีคุณความดีมาก เช่น บิดา มารดา การฆ่าหรือทำลายชีวิตก็เป็นบาปมากมีโทษมากที่เรียกว่า อนันตริยกรรม ที่จัดว่าเป็นบาปหนักที่สุดในทางพระพุทธศาสนา (อัง.ปัญจก.22/129/137) และผู้ใดมีคุณประโยชน์ต่อสังคมมาก มีคุณธรรมมาก การฆ่าก็เป็นบาปมาก หรือการฆ่ามนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีศักยภาพในการทำความดีมาก ก็เป็นบาปมากกว่าการฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีศักยภาพในการทำความดีน้อย และระหว่างสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน สัตว์ที่มีคุณมากหรือน้อย การฆ่าก็ให้โทษมากโทษน้อย แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการทำลายชีวิตเหมือนกัน
  2. ต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำ ถ้าผู้กระทำด้วยเจตนาที่รุนแรง มีความรู้สึกเกลียดชัง เคียดแค้นมุ่งร้าย มุ่งจะทำลาย กลั่นแกล้ง รังแก ข่มเหง เบียดเบียน อย่างนี้ถือว่าเป็นบาปมาก มีโทษมาก แต่ถ้ามีเจตนาไม่รุนแรง หรือมีเจตนาในทางที่ดี ก็มีโทษน้อย เช่น คนป้องกันตัวเองไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร
  3. ต้องดูที่ความพยายาม ถ้ามีการเตรียมการ มีการวางแผนการอย่างจริงจัง มีขั้นตอน ทำด้วยความมุ่งมั่นที่จะฆ่าให้ตายด้วยความอาฆาตอย่างรุนแรงก็เป็นบาปมาก แต่ถ้าทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แม้จะมีกิเลสรุนแรง แต่ก็มีบาปเบากว่า

 

จากเหตุผลดังกล่าวมาจะเห็นได้ว่า ในเรื่องการฆ่าสัตว์นี้จะต้องมีเกณฑ์ตัดสินทางจริยธรรม ที่มีหลักสัจธรรมและหลักศีลธรรมที่เป็นหลักใหญ่ทางพระพุทธศาสนา มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินด้วย ถ้าหากใช้เพียงเจตนาอย่างเดียว มาเป็นเกณฑ์หลัก อาจจะทำให้เกิดความคลุมเครือเกี่ยวกับสภาพของภาวะกุศลและอกุศลได้ ดังนั้นเพื่อให้การยืดหยุ่นต่อเกณฑ์ตัดสินทางจริยธรรมในเรื่องนี้ โดยใช้เกณฑ์รองลงมาตัดสินจะทำให้การตัดสินเรื่องการฆ่านี้หรือที่เป็นความดี ความชั่ว หรือมีโทษมาก โทษน้อยให้เป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบมากขึ้น

ในพระคัมภีร์กล่าวว่า มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ว่าการทำแท้งไม่ประสบความสำเร็จเพราะยาทำแท้งไม่ให้ผล บางครั้งการทำแท้งก็ให้ผลตรงกันข้ามซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตั้งเจตนาไว้ กรณีเช่นนั้น โดยบังเอิญมารดาอาจโชคร้าย เช่น การทำแท้งด้วยวิธีที่ผิด แต่ว่าทารกมีชีวิตรอด บนพื้นฐานนี้พระคัมภีร์อธิบายการละเมิดวินัยของพระสงฆ์ไว้ดังนี้

  • ถ้าสตรีนั้นกินยาทำแท้งที่ภิกษุให้แล้วทารกเสียชีวิต ภิกษุนั้นชื่อว่าต้องถูกขับออกจากหมู่แม้ว่าภิกษุนั้นจะแสดงความเสียใจก็ตาม
  • ถ้าทารกนั้นไม่เสียชีวิตแต่มารดาเสียชีวิต เช่นนี้เป็นความผิดหนัก หนักยิ่งกว่าการถูกขับออกจากหมู่
  • การทำลักษณะเดียวกันนั้นแต่มารดาและทารกไม่เสียชีวิต
  • ถ้ามารดาและทารกเสียชีวิต จะมีโทษผิดตามข้อหนึ่งเพราะทารกเสียชีวิตตามที่ตนตั้งใจ
  • ถ้าภิกษุแนะนำวิธีทำแท้งแก่สตรีโดยให้บีบเค้น หรือให้กินยาขับแล้วทารกนั้นเสียชีวิต ภิกษุนั้นต้องถูกขับออกจากหมู่

ในกรณีข้อ 5 นั้น พระคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า ถ้าสตรีนั้นใช้วิธีซึ่งแตกต่างไปจากวิธีที่ภิกษุแนะนำ หรือใช้วิธีของบุคคลอื่นแล้วทารกเสียชีวิตภิกษุนั้นไม่ต้องถูกขับออกจากหมู่ ถ้าชีวิตของสตรีตกอยู่ในอันตรายอันเนื่องจากการตั้งครรภ์ ในกรณีเช่นนี้ ความตั้งใจของสตรีนั้นหรือของหมอของเธอที่จะไม่ทำแท้งทารกนั้น แต่ว่าจะทำการรักษาทางยา กรณีนี้ทารกแท้งไปโดยอุบัติเหตุขณะทำการรักษาด้วยยา นี่ไม่ใช่การทำแท้งตามที่เขาตั้งใจและดูเหมือนว่าจะถูกต้องทางศีลธรรม ดังนั้นสามารถพูดได้ว่า ถ้าชีวิตมารดาตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากการตั้งครรภ์ พระพุทธศาสนาแนะนำให้พยายามรักษาชีวิตทั้งของมารดาและทารกไว้ ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเช่น ทารกเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ ข้อนี้ไม่นับเป็นการกระทำที่เป็นบาป

หลักฐานในพระคัมภีร์กล่าวว่า โทษหนักของการทำลายครรภ์ให้ตกไปไม่เกี่ยวข้องกับความแก่ของลูกอ่อนในครรภ์ ในอรรถกถาพระคัมภีร์วินัยกล่าวว่า โทษถูกกำหนดไว้นับตั้งแต่ลูกอ่อนในครรภ์ถือกำเนิดครั้งแรกที่เรียกว่า กลละ คือ เหมือนกับหยดน้ำมันที่ปลายเส้นผม (วินย.1/97/172, วินย.อ. 437-8) แม้ว่าการทำลายลูกอ่อนในครรภ์นี้จะรุนแรงเท่ากับการฆ่าผู้ใหญ่ แต่มูลเหตุจูงใจและความพยายามในการฆ่าลูกอ่อนในครรภ์กับผู้ใหญ่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงกำหนดโทษไว้หนัก เปรียบเหมือนการฆ่ามดกับช้าง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นสัตว์เหมือนกันแต่โทษของการฆ่ามดรุนแรงน้อยกว่าการฆ่าช้าง เพราะการฆ่ามดใช้ความพยายามน้อยกว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ Treyor Ling กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ“องค์ประกอบทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการเติบโตและการควบคุมประชากร” ว่า

“โดยทั่วไปในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท บาปเพราะการล่วงละเมิดศีล เกี่ยวกับการทำแท้งเพิ่มขึ้นตามขนาดของลูกอ่อนในครรภ์ โดยทั่วไปพระพุทธศาสนาสอนว่า โทษหนักหรือเบาของการกระทำในการพรากชีวิตขึ้นอยู่กับขนาด ลักษณะและคุณของสัตว์ที่คนเราพรากชีวิตนั้น เช่น ฆ่ายุงมีโทษน้อยกว่าฆ่าสุนัข ฆ่าสุนัขมีโทษน้อยกว่าฆ่าช้าง ฆ่ามนุษย์มีโทษหนักกว่าฆ่าช้าง การฆ่าพระสงฆ์มีโทษหนักที่สุด การฆ่าลูกอ่อนในครรภ์ที่มีอายุ 1 เดือนมีโทษหนักกว่าการพรากชีวิตที่เพิ่งจะอุบัติขึ้นในครรภ์” (Ling, 1995: 53-60)

ความจริงเกณฑ์เรื่องขนาดตามที่กล่าวข้างบนนั้นใช้เพียงกับสัตว์เท่านั้น มิได้ใช้กับมนุษย์ พระพุทธศาสนามีทัศนะว่า ชีวิตของคนทุกคนมีคุณค่าเท่ากันหมด คุณค่าของคนมีพื้นฐานอยู่ที่คุณธรรมพิเศษที่เขานั้นเป็นเจ้าของในกรณีของคนที่ยังไม่เกิด เนื่องจากเรายังไม่รู้ว่า ลูกอ่อนในครรภ์มีคุณธรรมมากหรือน้อย การกำหนดระดับความผิดในการทำแท้งขึ้นอยู่กับความแรงกล้าของมูลเหตุจูงใจที่ชั่วร้าย และของวิธีการที่ใช้ มีข้อโต้แย้งว่า การทำแท้งลูกอ่อนในครรภ์อายุ 5 เดือน โดยการบีบรัดต้องใช้แรงมากกว่าการทำเช่นนั้นกับลูกอ่อนในครรภ์อายุ 2 เดือนโดยการขูดมดลูก ดังนั้นการทำแท้งประการหลังไม่ดีไปกว่าประการแรก จึงอาจกล่าวได้ว่าไม่เหมือนกับการฆ่าสัตว์ การฆ่าลูกอ่อนในครรภ์ที่สตรีมีครรภ์แก่ขั้นสุดท้ายทีโทษหนักกว่าครรภ์ยังอ่อนอยู่ แม้ว่าครรภ์อ่อนนั้นจะเป็นการกระทำที่รุนแรงก็ตาม ทัศนะเช่นนี้ศึกษาได้จากหนังสือชื่อ “จริยศาสตร์ชีวะ : จริยศาสตร์การใช้ยาและชีวิตศาสตร์เบื้องต้น” ของ ดร. พินิต รัตนกุล ว่า

“ในกรณีการทำแท้ง ขั้นตอนการเติบโตของลูกอ่อนในครรภ์ที่ถูกทำแท้งนั้นมีอิทธิพลต่อระดับผลกรรมของคนที่ทำแท้งนั้น ขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้แสดงถึงระดับต่าง ๆ แห่งความเข้มแข็งของลูกอ่อนในครรภ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อน้ำหนักแห่งผลกรรมด้ว (Ratanakul,1968: 74)

จากลักษณะข้างบนอาจสรุปได้อย่างไม่ผิดว่า ครรภ์แก่ 2 – 3 เดือนสุดท้ายมิได้เลวร้ายเท่ากับการฆ่าทารกที่เกิดใหม่แต่ว่าโทษที่รุนแรงของการฆ่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้อสรุปที่ว่า ระดับแห่งความทุกข์ที่เป็นเหตุเกิดขึ้นนั้นเป็นเกณฑ์วัดว่าการกระทำนั้นเลวร้ายมากเพียงใด นักวิชาการชื่อ Florida (1991: 39-50) คัดค้านในหนังสือชื่อ “หลักการทำแท้งในพระพุทธศาสนา” ว่าการทำแท้งลูกอ่อนในครรภ์ที่ยังอ่อน ๆ อยู่ผิดศีลธรรมน้อยกว่าเพราะเจ็บปวดน้อยกว่า

พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไรต่อการทำแท้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืนหรือการได้เสียกันระหว่างบุคคลในครอบครัว? ต้องยอมรับว่า การตั้งครรภ์เช่นนั้นเป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของสตรี แต่ก็ควรจำไว้ว่า การทำลายครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์เช่นนั้นไม่ใช่การยุติความทุกข์ของเธอ แต่กลับสร้างความเศร้าโศกเสียใจมากยิ่งกว่า พระพุทธศาสนาสอนว่า ความรักต่อสัตว์มีชีวิตทั้งปวงเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่คนที่รักและคนที่ถูกรัก ดังนั้นในกรณีเช่นนี้ พระพุทธศาสนาไม่สอนให้ทำลายเด็กที่ไม่พึงประสงค์นั้น แต่เน้นย้ำว่า มารดาควรมีเมตตาและกรุณา ควรดูแลรักษาตนเองและคลอดลูกนั้นอย่างกล้าหาญ

ในกรณีที่หญิงมีครรภ์ป่วยหนักหรืออาจจะคลอดลูกที่พิการหรือเป็นเด็กที่พัฒนาทางจิตช้า ความทุกข์แสนสาหัสในเรื่องนี้เป็นสิ่งน่าสลดใจอย่างไม่ต้องสงสัย พระพุทธศาสนาแสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีอดีตกรรมเป็นของตนและเขาย่อมมีชตาชีวิตเป็นของตน ถ้ามารดาป่วยหนัก การทำลายชีวิตเด็กไม่ใช่หนทางแก้ไขเพื่อยุติความเจ็บป่วยของเธอ ความเจ็บป่วยของเธอนั้นเกิดจากผลของอกุศลกรรมในอดีตของเธอและกรรมเฉพาะนี้ไม่สามารถยุติได้โดยการทำลายชีวิตเด็กที่ยังไม่เกิดนั้น การกระทำที่ผิดศีลธรรมโดยการทำลายชีวิตเด็กที่ยังไม่เกิดมากลับจะก่อให้เกิดอกุศลกรรมวิบากอื่น ๆ ทั้งในชาตินี้หรือชาติหน้า ถ้าหญิงนั้นคลอดบุตรที่พิการหรือบุตรที่จิตพัฒนาช้า นี่ก็เนื่องมาจากอกุศลกรรมของหญิงนั้นเอง และของครอบครัวของเธอที่ได้เด็กที่ไม่พึงประสงค์นี้อีกทั้งต้องมาอยู่ร่วมกับเด็กนี้ด้วย เกี่ยวกับการทำแท้ง ไร้สาระที่จะพูดว่า เด็กเช่นนี้ดีกว่าการไม่เกิด สิ่งที่พระพุทธศาสนาแนะนำในเรื่องนี้คือ ต้องเมตตาต่อเด็กนั้น เพราะพวกเราไม่เสียอะไรต่อการให้ความเมตตาเป็นของขวัญแต่พวกเรากลับได้ประโยชน์อย่างมหาศาล

ในกรณีการตั้งครรภ์ที่ทิ้งภาระด้านการเงินให้แก่มารดาและเด็กนั้น พระพุทธศาสนาไม่สนับสนุนให้ทำลายชีวิตเด็กเพื่อลดความกดดันทางเศรษฐกิจของครอบครัว แต่ยืนยันว่า ความทุกข์ของบุคคลแม้จำเป็นก็ไม่อนุญาตให้เขาทำร้ายคนอื่น การกระทำเช่นนั้นไม่ทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ได้ สถานะทางการเงินอันเป็นเงื่อนไขที่เลวร้ายอาจไม่ดำรงอยู่ในครอบครัวอย่างถาวรก็ได้ การเงินอาจดีขึ้นทันทีทันใด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเนื่องเพราะโชคที่ไม่คาดฝันบางอย่างก็ได้ ท่าทีจงเกลียดจงชังของมารดาต่อเด็กที่ไม่พึงประสงค์ก็อาจไม่มีอยู่ต่อไป มีตัวอย่างมากมายเล่าว่า บางคนได้ฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อขอรับเด็กคืน ซึ่งครั้งหนึ่งเขาได้มอบให้คนอื่นเลี้ยงดู ดังนั้นสตรีควรคลอดลูกตนและอบรมเลี้ยงดูอย่างกล้าหาญแม้ต้องเผชิญกับวิกฤติทางการเงินก็ตามแทนที่จะทำลายเด็กนั้นไป

มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนก็คือ ให้ปฏิบัติสามัญลักษณะ 3 ประการ คือ 1 อนิจจัง ไม่เที่ยง 2 ทุกขัง เป็นทุกข์ 3 อนัตตา ความไม่มีตัวตนตามหลักคำสอนนี้ คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เหตุการณ์ทั้งหลายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่ปรารถนาในวันนี้อาจเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาวันพรุ่งนี้ก็ได้ ทารกจากการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์อาจเป็นเด็กที่เรารับได้ และรักใคร่ก็ได้ แม้หากหญิงนั้นยังคงไม่ต้องการทารกนั้นหรือไม่สามารถเลี้ยงดูหลังจากคลอดมาแล้ว ก็อาจมอบทารกนั้นให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่น มีหลายคู่มากที่แต่งงานแล้วไม่มีบุตรที่ต้องการลูกไปเลี้ยงดู การกระทำเช่นนี้น่ายกย่อง อีกทั้งมารดานั้นก็ไม่ต้องอับอายและเศร้าโศกเสียใจ

คำอ้างสิทธิ์ซึ่งยืนยันว่า สตรีมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและลูกของเธอนั้นเป็นอย่างไร? สิทธินี้ควรเป็นของเธอที่นอกเหนือจากสิทธิในชีวิตบนพื้นฐานที่ว่าเธอมีความรู้สึกที่มีเหตุผลมากกว่าลูกอ่อนในครรภ์มีหรือ? อีกครั้งหนึ่งที่ปัญหานี้บุคคลต้องปฏิบัติหลักสามัญลักษณะข้อที่ 3 คือ อนัตตาความไม่มีตัวตน เหตุผลสำคัญที่บุคคลต้องอ้างสิทธิเช่นนี้คือ การยึดถือประโยชน์ของตนเอง พระพุทธศาสนาสอนว่า ไม่มีตัวตนที่เราสามารถจะพบได้ว่าเป็นเจ้าของการกระทำทางกายและทางใจ ในคัมภีร์พระธรรมบทพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธอ และไม่ใช่ของบุคคลอื่น ควรรู้เถิดว่ามันเป็นผลของกรรมในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นสิ่งที่บุคลตั้งใจและคิดออกมา”(ธรรมบท, 2/64-5)

ความจริง ลูกอ่อนในครรภ์อาศัยอยู่ชั่วคราวในร่างของสตรีมีครรภ์นั้น ดังนั้นมันจึงมิใช่ส่วนหนึ่งของเธอ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่นั้นซึ่งชีวิตของเขาจะต้องไม่ถูกกำจัดออกไปโดยอ้างสิทธิว่า หญิงนั้นมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้กับร่างกายของเธอตามที่เธอต้องการ ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงไม่สนับสนุนการทำแท้งบนพื้นฐานของคำอ้างที่ว่า สตรีมีสิทธิที่จะตัดสินใจทำอะไรกับร่างกายของตนก็ได้

ส่วนการทำแท้งในฐานะเป็นวิธีการควบคุมประชากร หากใช้การทำแท้งเพื่อลดประชากรที่มากเกินไปของประเทศ นี่นับเป็นมาตรการที่น่าตกใจเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้วิธีการคุมกำเนิด พวกเรารู้ว่าประเทศจีนกำลังใช้ “นโยบายลูกคนเดียว” เพื่อควบคุมประชากรของตน บางทีนโยบายนี้จะไม่ขัดกับความตั้งใจของผู้หญิงหรือถ้าพวกหล่อนปรารถนาลูก 2 คน หรือมากกว่าในครอบครัว? ความจริงมันไม่เพียงแต่เป็นการฆาตกรรมเด็กที่ยังไม่เกิดเท่านั้น ยังเป็นการทำร้ายมารดาอีกด้วย แน่นอนมันเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน หากมีบางคนพูดว่า การทำแท้งควรได้รับการยินยอมตามความประสงค์ของครอบครัวที่มีการวางแผน หรือการควบคุมประชากรซึ่งจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งได้ ว่า มันเป็นสิทธิของเขาที่จะฆ่าผู้อาศัยบางคนตามที่ตนปรารถนาได้ ดังนั้นการทำแท้งในฐานะเป็นวิธีการควบคุมประชากรจึงไม่ได้รับการสนับสนุนในพระพุทธศาสนา

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย