สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องพุทธศาสนากับการทำแท้ง

ความหมายของการทำแท้ง
การทำแท้งและกฎหมาย
สิทธิของแม่ : วิธีการของนักสตรีศึกษา
ข้อเท็จจริงทางศีลธรรมของการทำแท้ง
ทัศนะทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศีลธรรมในการทำแท้ง
ความเป็นคนเริ่มต้นเมื่อใดตามทัศนะของพุทธศาสนา
การทำแท้งคือการฆ่ามนุษย์ตามทัศนะพุทธศาสนา
เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมการทำแท้ง
บทสรุป
เอกสารอ้างอิง

เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมการทำแท้ง

เพื่อให้มีลักษณะที่ยืดหยุ่น และมีผลเป็นไปในทางปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาจึงได้มีการพิจารณาเกณฑ์ตัดสินทางจริยธรรมการทำแท้งดังนี้ คือ

พิจารณาตัดสินตามเกณฑ์หลัก

การวินิจฉัยเกณฑ์ตัดสินปัญหาเรื่องการทำแท้งที่เป็นปัญหาจริยธรรมนี้ ต้องตัดสินความเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นหลักแกนกลาง แล้วขยายลดลงตามลำดับ นอกจากนั้นให้ใช้ความสำนึกกับความดีความชั่วของตนเองอย่างที่เรียกว่า เกิดมโนธรรม ที่เป็นฐานของหลักหิริโอตตัปปะ นอกจากนั้นก็พิจารณาผลของการกระทำ อันจะเกิดแก่ตนและผู้อื่น หรือบุคคลในสังคมที่เกี่ยวข้องโดยการวินิจฉัยถือเอาเจตนาเป็นหลักตัดสินว่าเป็นไปในทางดีหรือไม่ได้

พิจารณามูลเหตุว่า เป็นเจตนาที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ ไม่มีความโลภ เลี้ยงชีพโดยสุจริต อโทสะ ไม่มีความอาฆาตเคียดแค้น หรือมีความพยาบาทต่อผู้อื่น และอโมหะ ไม่มีความหลงผิด มีปัญญารู้เท่าทัน มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ หรือเกิดจากอกุศลมูล คือ มีโลภะ โทสะ โมหะ ที่เกิดขึ้นในลักษณะตรงกันข้ามกับข้างต้น

พิจารณาถึงสภาวะการณ์ที่มีสภาพเกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจหรือไม่ ส่งเสริมหรือบั่นทอนคุณภาพและสมรรถภาพของจิตใจหรือไม่ หรือช่วยให้กุศลธรรมทั้งหลายมีความเจริญงอกงามขึ้น ตลอดจนมีผลต่อบุคลิกภาพอย่างไร (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต), 2535: 179)

พิจารณาตัดสินตามเกณฑ์รอง

การพิจารณาในเกณฑ์รองนี้ เป็นลักษณะของความสำนึกเกี่ยวกับความดี ความชั่วของตนเอง โดยใช้หลัก “มโนธรรม” ในการพิจารณา ดังนี้คือ

  • ใช้มโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดของชั่วดีของตนเองโดยพิจารณาว่า การกระทำนั้นตนเองติเตียนตนเองได้หรือไม่ เสียความเคารพตนหรือไม่
  • พิจารณาความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์หรือบัณฑิตชนว่าเป็นสิ่งที่วิญญูชนยอมรับหรือไม่ ชื่นชมสรรเสริญหรือตำหนิติเตียนอย่างไร
  • พิจารณาลักษณะ และผลของการกระทำทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นโดยการพิจารณาอย่างแยบคายว่า
    - เป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่
    - เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขหรือเป็นไปเพื่อทุกข์ทั้งแก่ตนและผู้อื่นหรือไม่

 

จากเหตุผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลักเกณฑ์นี้ว่าโดยสาระเป็นอันเดียวกัน หรือมุ่งพิจารณาความเกื้อกูลหรือไม่เกื้อกูลต่อคุณภาพของชีวิตจิตใจ และเป็นการยอมรับหรือไม่ยอมรับของนักปราชญ์ การติเตียนหรือสรรเสริญของวิญญูชน ซึ่งจะปรากฏอยู่ในรูปของบัญญัติทางศาสนาบ้างขนบธรรมเนียมประเพณีบ้าง กฎหมายบ้าง เป็นต้น แม้ข้อบัญญัติทางสังคมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นมติของวิญญูชนติเตียนเสมอไป แต่ก็พอจะพูดออกไปได้ว่า ส่วนที่แตกต่างนี้เป็นข้อยกเว้น ซึ่งเป็นกิจของวิญญูชนนั่นแหละ ที่จะต้องหมั่นตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ในแต่ละเวลาแต่ละสมัย แต่ละครั้ง แต่ละคราวเรื่อๆ ไป นั่นคือ การใคร่ครวญแล้วจึงทำ

ฉะนั้น ในการพิจารณาเกณฑ์ตัดสินความดีและความชั่วโดยดูที่ผลนี้ สามารถพิจารณาได้ 3 ลักษณะ คือ

1. พิจารณาว่า การกระทำนั้นส่งผลเป็นทุกข์หรือสุขแก่ตนเอง
2. พิจารณาว่า การกระทำนั้นส่งผลเป็นทุกข์หรือสุขแก่คนอื่น
3. พิจารณาว่า การกระทำนั้นส่งผลเป็นทุกข์หรือสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

ในการพิจารณาว่า การกระทำนั้นส่งผลเป็นทุกข์หรือเป็นสุขนี้ บางครั้งเป็นเรื่องซับซ้อนละเอียดอ่อน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการทำแท้งซึ่งเป็นปัญหาจริยธรรมนี้ เราอาจไม่สามารถที่จะตัดสินได้ง่ายๆหรือหยาบๆ ว่า นี้คือการกระทำที่ก่อให้เกิดทุกข์ นี่คือการกระทำก่อให้เกิดสุข อย่างไรก็ตาม หลักทางพุทธศาสนาเชื่อว่า เมื่อเราใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบถึงที่สุดแล้ว เราจะสามารถวินิจฉัยได้ทุกกรณี เพียงแต่ว่าเราอาจจะวินิจฉัยได้ยากหรือง่ายเหมือนกันหรือแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง

ข้อสังเกต ข้างบนนี้แสดงว่าพระพุทธศาสนามองเรื่องการทำแท้งว่าเป็นการฆ่ากรรมมนุษย์ นี่อาจก่อให้เกิดผลของกรรมที่เหมาะสมอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่การทำแท้งจะไม่มีความเกลียดชังต่อเด็กที่ยังไม่เกิด ไม่มีความเกลียดใด ๆ หรือความชังในจิตใจ ครั้งหนึ่งการทำแท้งที่ทำลงไปแล้ว ผลที่เจ็บปวดเป็นสิ่งที่หวังได้แน่ มันก็เหมือนกับการปลูกเมล็ดพืช เมื่อเมล็ดพืชถูกปลูกลงไป ผลย่อมจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เรื่องชาดกในพระพุทธศาสนากล่าวถึงบุคคลที่ทำแท้งตกอยู่ในนรก พร้อมทั้งการฆ่ามารดา และการผิดประเวณี (ชาตก, 5/269) อีกคัมภีร์หนึ่งชื่อ เปตวัตถุ พวกเราได้พบสองเรื่องเกี่ยวกับภรรยาหลวงขี้ริษยา ซึ่งทำแท้งแก่ภรรยาน้อยทั้งสองเรื่องนั้น สตรีนั้นกลับไปเกิดใหม่เป็นปีศาจตัวเหม็น และต้องกินลูกของตนอย่างตะกละเพราะผลของการทำชั่วของตน

เกิดคำถามขึ้นว่าสมมติว่าสตรีคนหนึ่งทำแท้ง ต่อมาเธอเสียใจในการกระทำของตนเพราะกลัวผลของกรรม พุทธศาสนาจะให้คำแนะนำหรือคำปลอบใจอย่างไรแก่เธอ? สำหรับเธอจะต้องคิดไหมว่าเรื่องของเธอนั้นได้จบไปแล้ว ณ ที่นี้? น่าสังเกตว่ากรรมวิบากไม่ตายตัวแน่นอนกับเป้าหมายเวลา แต่ยังคงมีพลังอยู่จนกระทั่งเงื่อนไขทั้งหลายนั้นจะเหมาะสมสำหรับการกระทำเหล่านั้น อันจะมาส่งผลต่อไป และเงื่อนไขเหล่านี้ไม่สามารถนับเป็นจำนวนได้ บรรดาเงื่อนไขเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือ การกระทำในปัจจุบันและอนาคตของพวกเรา บางอย่างการทำชั่วของพวกเราอาจทดแทนด้วยการทำดีได้ สำหรับสตรีที่ทำแท้งไปแล้ว พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ทุกข์ทรมานอยู่กับความผิดของตน และความเสียใจที่ไร้ประโยชน์ แต่สอนให้ยอมรับความผิดของตน และแก้ไขโดยการงดเว้นความชั่วในอนาคต มีพระอรหันต์หลายองค์ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาที่ทำความผิดอันไม่พึงประสงค์ ถ้าสตรีนั้นทำแท้งสิ่งที่ดีที่สุดที่หล่อนต้องทำก็คือ ยอมรับโทษของตน งดเว้นความชั่วในอนาคต ทำจิตให้ผ่องใส และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยมุ่งไปสู่ความหลุดพ้นคือ พระนิพพาน

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย