ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
แนวคิดภายนอกนิยม
ปฏิเสธคำถามของญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐานหรือไม่
นายวิสิทธิ์ ตออำนวย
ความหมายของแนวคิดภายนอกนิยมและญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐาน
ปัญหาของญาณวิทญาเชิงธรรมชาติแบบแข็งกับข้อโต้แย้งด้วยทัศนะของJames
ปรัชญาภาษาของไควน์
ทางออกของญาณวิยาเชิงธรรมชาติแบบแข็ง
จากKuhn
ถึงJames ทางออกของสหนัยนิยมแบบภายนิยมในทัศนะของไควน์
บรรณานุกรม
ความหมายของแนวคิดภายนอกนิยมและญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐาน
ภายนอกนิยมเป็นทัศนะที่ตรงข้ามกับภายในนิยม (internalism)
ที่เสนอว่าการสร้างความเชื่อจะเกิดขึ้นภายในตัวของผู้เชื่อเอง
สภาพแวดล้อมรอบๆตัวของผู้เชื่อไม่ได้มีบทบาทในการสร้างความเชื่อของผู้เชื่อแต่อย่างใด
ทั้ง 2 ทัศนะนี้ต้องอธิบายควบคู่กับแนวคิดพื้นฐานนิยม (fundamentalism)
และสหนัยนิยม (coherentism) ด้วย
กล่าวคือหากเป็นพื้นฐานนิยมแบบภายในก็จะต้องเชื่อว่าความเชื่อของผู้เชื่อแต่ละคนนั้นเองเป็นพื้นฐานให้แก่การสร้างความเชื่อ
ส่วนพื้นฐานนิยมแบบภายนอกนิยมก็ต้องเชื่อว่าสภาพแวดล้อมเป็นพื้นฐานต่อการสร้างความเชื่อ
หากความเชื่อใดไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นสภาพแวดล้อมมายืนยันความเชื่อได้
ความเชื่อนั้นก็จะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ซึ่งคล้ายกับแนวคิดหลักฐานนิยม
evidentailism ผู้ที่นำเสนอความคิดนี้ก็เช่น William Kingdon Clifford แนวคิดนี้
เมื่อคิดตามตรรกะจนถึงที่สุด เราไม่สามารถที่จะสร้างความเชื่อได้เลย
เนื่องจากเราจะต้องหาหลักฐานให้รัดกุมมากพอที่จะยืนยันได้ว่าความเชื่อนั้นถูกต้อง
แต่ในความเป็นจริงแล้วเราคงไม่สามารถสร้างความเชื่อได้เลย หากเชื่อตามคำอธิบายนี้
ตัวอย่างที่จะทำให้เข้าใจง่ายที่สุด ภายใต้กรอบเงื่อนไขของเวลา
เช่นไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ ก็จะเกิดปัญหาเรื่องการอนุมานความรู้แบบที่ Hume เสนอ
ว่าความรู้ที่เราเชื่อ แน่ใจได้อย่างไรว่าต่อไปความรู้นั้นจะยังคงเป็นจริงอยู่
หรือตัวอย่างเช่น การตัดสินว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่
แม้เราจะหาหลักฐานอยู่ทั้งชีวิต
ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเราได้หาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีได้หมดครบถ้วนแล้วหรือยัง
จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการให้คดีมีอายุความ
แนวคิดดังกล่าวยังเกิดคำถามขึ้นอีกว่า ในการยืนยันความเชื่อหนึ่งๆนั้น
หลักฐานในลักษณะใดจึงจะเรียกได้ว่าเหมาะสม
หลักฐานบางแบบอาจเหมาะสมกับการยืนยันความเชื่อในสถานการณ์หนึ่ง
แต่อาจใช้ไม่ได้กับอีกสถานการณ์ที่ต่างออกไป เช่น การที่ Hume
เสนอว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าวัตถุทุกอย่างจะต้องตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
เนื่องจากเราไม่อาจมีประสบการณ์ต่อเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง ในแง่นี้หลักฐานที่ Hume
เสนอ มีความเหมาะสมหากถกเถียงในทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับวิธีการทางตรรกวิทยา
โดยมุ่งหาค่าความจริงเชิงตรรก แต่วิทยาศาสตร์ อาจท้าทายว่า หากเชื่อตามที่ Hume
เสนอคือมีความเป็นไปได้ที่วัตถุจะลอยขึ้นฟ้า ก็ลองไปกระโดดตึกพิสูจน์ดู
ซึ่งคงไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น แม้แต่ตัว Hume เอง ซึ่งไม่ถือว่า Hume
ขัดแย้งในตัวเอง เนื่องจากการไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัตถุจะตกจากที่สูงเสมอนั้น
ก็ไม่ได้หมายความว่าวัตถุจะต้องไม่ตกลงลงสู่ที่ต่ำเสมอเช่นเดียวกัน
ในแง่นี้วิทยาศาสตร์มีความคล้ายคลึงกับปฏิบัตินิยม (pragmatism)
แต่จะแตกต่างกับหลักฐานนิยม นั่นคือความรู้ที่วิทยาศาสตร์เสนอ
เช่นการเชื่อว่าวัตถุจะตกจากที่สูงสู่ที่ต่ำเสมอนั้น
จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์มากกว่าการเชื่อว่าอาจมีบางครั้งที่วัตถุจะไม่ตกลงสู่ที่ต่ำ
จะเห็นว่าการที่วิทยาศาสตร์เน้นประโยชน์นั้น ทำให้วิทยาศาสตร์
ไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามว่า
เรามั่นใจได้แล้วหรือยังว่าวัตถุจะต้องตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอจริงๆ
เมื่อไม่ต้องตอบคำถามนี้
หลักฐานเพียงจำนวนหนึ่งที่สามารถใช้ยืนยันสมมติฐานนี้ได้แล้วเกิดประโยชน์
วิทยาศาสตร์ก็ยอมรับ William James ซึ่งเป็นนักปฏิบัตินิยมที่มีชื่อเสียง
ได้โต้แย้งทัศนะของ Clifford โดยเปรียบเทียบว่า หากเรายืนอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง
ซึ่งมีหมอกปกคลุมอยู่เบื้องล่าง
เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าทิศใดจึงเป็นทางปีนลงเขาที่ปลอดภัย
เพราะไม่สามารถหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอได้
หากไม่มั่นใจเราก็จะต้องอยู่บนยอดเขาต่อไปให้หนาวตายโดยไม่คิดจะเสี่ยงเลยอย่างนั้นหรือ
เหมือนกับทหารที่รู้ว่าการศึกสงครามอาจต้องนำมาซึ่งการบาดเจ็บและสูญเสีย
เช่นนี้แล้วก็อย่าคิดที่จะออกไปรบแต่ต้นจะดีกว่า
ในส่วนของสหนัยนิยมแบบภายในจะเชื่อว่า
การสร้างความเชื่อต้องเกิดจากความสอดคล้องกันของความเชื่อที่ผู้เชื่อมี
และความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเหล่านี้
เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวของผู้เชื่อเท่านั้น
ซึ่งความคิดนี้จะเกิดปัญหาเรื่องความเป็นอัตวิสัยของความเชื่อ
ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าความเชื่อใดถือเป็นความรู้ได้บ้าง
จึงไม่สามารถประเมินความเชื่อระหว่างกันของบุคคลได้เลย
ในขณะที่สหนัยนิยมแบบภายนอกจะเชื่อว่า
การสร้างความเชื่อนั้นไม่ได้เกิดจากความสอดคล้องกันของความเชื่อที่อยู่ในตัวผู้เชื่อ
แต่ต้องสอดคล้องกับความเชื่อของผู้อื่น เพื่อให้พ้นจากปัญหาการเป็นอัตวิสัย
ทำให้ความเชื่อมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากได้รับการยืนยันจากคนหลายคน
ในแง่นี้ทำให้เกิดการประเมินความเชื่อได้
ส่วนญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐานนั้น
เป็นทัศนะที่พยายามจะให้เหตุผลสนับสนุนว่ามนุษย์สามารถที่จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับโลกได้
ความรู้ที่เกี่ยวกับโลกหมายถึงเวลาเราบอกว่ารู้ ข้อความที่บอกว่ารู้นั้น
จะต้องมีข้อเท็จจริงรองรับข้อความนั้นอยู่เสมอ
เช่นเรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางการมองเห็นว่า เราเห็นเพื่อนของเรานั่งอยู่
ก็ต้องมีเพื่อนคนนั้นนั่งอยู่จริงๆ และเมื่อนำคำอธิบายนี้มาประกอบกับทัศนะของ Plato
ใน Theaetetus ที่กล่าวว่า Knowledge is Justified True Belief
แปลง่ายๆได้ว่าความรู้คือความเชื่อที่ถูก จะได้ว่า
1.ข้อความจะต้องเป็นจริง
2.ผู้ที่กล่าวข้อความนั้นจะต้องเชื่อว่าข้อความนั้นเป็นจริง
3.หากข้อความนั้นสามารถ justified ได้ ข้อความนั้นก็ยิ่งน่าเชื่อถือ
การ justified ว่าข้อความนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่
เท่ากับว่าเราสามารถนำคำตอบที่ได้จากการ justified
ไปประเมินร่วมกับข้อความอื่นๆได้ว่า ข้อความนั้นดีกว่า (หรือควรเชื่อมากกว่า)
ข้อความอื่นๆหรือไม่ การยืนยันสิ่งใดดีกว่าหรือควรมากกว่าเป็นเรื่องของบรรทัดฐาน
ดังนั้นกล่าวโดยสรุป
ญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐานจึงหมายถึงการยืนยันว่าข้อความใดดีกว่าหรือควรเชื่อมากกว่า
ที่จะถือได้ว่าข้อความนั้นเป็นความรู้