สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

วิวัฒนาการและโลกทัศน์ของแนวคิดยุคใหม่

คลื่นการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
ลักษณะสำคัญของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อสังคมโลก
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
ผลกระทบด้านการเมือง

คลื่นการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

คลื่นการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้

1 คลื่นลูกที่หนึ่ง

เกิดจากการปฏิวัติเกษตรกรรมเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว ในช่วงปลายยุคหินใหม่ มนุษย์ในยุคนั้นได้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเร่ร่อน ล่าสัตว์ และเก็บพืชผลไม้ป่าเป็นอาหาร มาเป็นการเริ่มเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ตั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นหลักแหล่ง อารยธรรมเริ่มแรกของมนุษย์จึงเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาลในดินแดนเมโสโปเตเมีย และที่ราบลุ่มแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ในบริเวณตะวันออกกลาง เทคโนโลยีทางด้านการชลประทานช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ทำให้เมโสโปเตเมียเติบโตขึ้นเป็นนครรัฐที่เจริญรุ่งเรือง ในขณะที่อียิปต์เป็นอาณาจักรที่มีอำนาจ การประดิษฐ์ตัวอักษร และความเชื่อในเทพเจ้าเป็นลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของอารยธรรมของคลื่นลูกที่หนึ่ง ทำให้ผู้ปกครองซึ่งเป็นกษัตริย์หรือนักนักบวชมีอำนาจดุจเทพเจ้า สามารถควบคุมแรงงาน และทำให้ประชาชนอุทิศตนเพื่อความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เช่น การสร้างพีรามิด รวมทั้งการขยายอำนาจไปในบริเวณใกล้เคียงจนเป็นจักรวรรดิในเวลาต่อมา

อารยธรรมโลกยุคแรกยังเกิดขึ้นในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ ในบริเวณที่ปัจจุบันคือ ประเทศปากีสถาน และที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลืองหรือแม่น้ำฮวงโหในประเทศจีน เมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาลการชลประทานและการค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำสินธุและเมโสโปเตเมีย ได้ช่วยให้อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุหรืออารยธรรมฮารัปปาเจริญรุ่งเรือง ก่อนที่จะถูกชนเผ่าอารยันจากทางเหนือรุกราน และขยายอาณาเขตจากลุ่มแม่น้ำสินธุสู่ลุ่มแม่น้ำคงคา พร้อมทั้งนำระบบวรรณะ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาสู่อินเดีย ส่วนอารยธรรมจีนอยู่ในลักษณะโดดเดี่ยว เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบด้วยเทือกเขา ทะเลทราย และมหาสมุทร ชาวจีนเรียกดินแดนของตนว่า “อาณาจักรกลาง” ซึ่งหมายถึงโลกที่เป็นระเบียบและความมั่นคง ส่วนดินแดนอื่นที่รายล้อมจีน คือชนชาติที่ป่าเถื่อนและวุ่นวาย เช่นเดียวกับเมโสโปเตเมียและอียิปต์ ผู้ปกครองจีนทรงอ้างตนว่าเป็น “โอรสแห่งสวรรค์” ที่ลงมาปกครองโลกมนุษย์

ขณะเดียวกันในแถบเมดิเตอเรเนียนก็ได้เกิดอารยธรรมที่เจริญขึ้นจากการค้าขาย การหัตกรรมและการแสวงหาอาณานิคมเมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฟินิเชียเดินเรือค้าขายและตั้งอาณานิคมรอบทะเลเมดิเตอเรเนียน ต่อมาราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ก็ได้มีนครรัฐกรีกและอาณานิคมของพวกกรีกในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน เอเธนส์และนครรัฐอื่นๆ บนคาบสมุทรกรีกกลายเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและศิลปวิทยาการ แม้นครรัฐแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกัน แต่ชาวกรีกก็มีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกัน เช่น ภาษา ศิลปวิทยาการ และวรรณคดี จุดเด่นของนครรัฐเอเธนส์ก็คือ การปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก อารยธรรมกรีกยังปรากฏในแถบเกาะซิซีลี และทางใต้ของอิตาลี ขณะที่อารยธรรมอีทรัสกันซึ่งพัฒนาขึ้นทางเหนือของอิตาลีได้มีอำนาจเหนือชาวโรมัน ซึ่งต่อมาจะได้สร้างจักดิวรรดิและอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

ในสมัยคลื่นลูกที่หนึ่งซึ่งเป็นยุคของการเกษตรกรรมและการค้าขายนี้ โลกมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ในราว 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 500 นักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า “ยุคคลาสสิค” (Classical Age) อารยธรรมต่างๆ โดยเฉพาะกรีก โรมัน เปอร์เซีย จีน และอินเดีย เริ่มขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางด้วยการทำสงครามและยึดครองดินแดน ทำให้ชนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของตน อารยธรรมส่วนใหญ่ในยุคนี้มีกองทัพที่แข็งแกร่งเพื่อขยายอาณาเขตและปราบปรามชนเผ่าเร่ร่อนที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของตน ขณะเดียวกันก็มีความเจริญในด้านการจัดระเบียบในการปกครอง การสร้างบ้านเมืองที่สวยงามสะดวกสบาย และความสามารถในด้านศิลปะ และวิทยาศาสตร์หลายแขนง นับเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน โดยการทำสงครามขยายอาณาเขตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช จากคาบสมุทรกรีกไปสู่อียิปต์ บาบิโลเนีย เปอร์เซีย แบคเทรีย และอินเดีย นอกจากนี้ยังมีการค้าทางไกลผ่าน “เส้นทางสายไหม” (Silk Road) เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ระหว่างจีน เปอร์เซีย และโรมัน

ยุคคลาสสิคยังเป็นยุคของนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนต่างๆ อาทิ ขงจื๊อในจีน พระพุทธเจ้าในอินเดีย โสเครติส เพลโต และอริสโตเติลในกรีก และพระเยซูคริสต์ในดินแดนปาเลสไตน์ เป็นต้น ขงจื๊อมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการปกครองและระบบราชการของจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น จนกระทั่งจีนมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน ส่วนศาสนาพุทธแม้จะเกิดในอินเดียแต่กลับไปเจริญเติบโตในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักคิดชาวกรีกคนสำคัญๆ ได้เป็นที่มาของวิชาปรัชญาตะวันตกในปัจจุบัน ส่วนศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศาสนาของจักรวรรดิโรมัน ก่อนที่จะแพร่หลายในยุโรป รัสเซีย ทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก

จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในสมัยคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็น กรีก โรมัน จีน อินเดีย และเปอร์เซีย มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมของดินแดนต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา มีแต่เพียงอเมริกา แอฟริกาที่อยู่ใต้ทะเลทรายซาฮารา และหมู่เกาะแปซิฟิกเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอารยธรรมอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ในช่วงเวลาดังกล่าว

การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ได้ทำให้ประวัติศาสตร์อารยธรรมโลกเข้าสู่ “ยุคกลาง” (Middle Age) “ยุคแห่งศรัทธา” (Age of Faith) ซึ่งอยู่ในช่วง ค.ศ. 500 ถึง ค.ศ. 1150 ซึ่งเป็นยุคที่ดินแดนส่วนใหญ่ของโลกมีความปั่นป่วนและความชะงักงันทางวัฒนธรรม ที่เรียกกันว่ายุคมืด (Dark Age) เนื่องจากเกิดการรุกรานของอนารยชนเผ่าเยอรมัน (Germanic Tribes) ในจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในซีกโลกตะวันออกจักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ เช่น เปอร์เซีย จีน และอินเดีย เกิดการแตกแยกเป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่ทำสงครามกันตลอดเวลา

ในยุคนี้ศาสนามีบทบาทสำคัญ ในการยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนในดินแดนต่างๆ ให้มีเอกภาพ โดยอาศัยศรัทธาต่อศาสนาเป็นแรงผลักดัน คริสต์ศาสนาช่วยยึดเหนี่ยวจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ให้ดำรงอยู่ตลอดมาในยุคกลาง ในขณะที่จักรวรรดิอื่นๆ ล่มสลาย คริสต์ศาสนายังก่อให้เกิดการขึ้นสู่อำนาจของพระเจ้าชาเลอมาญ (Charlemagne) ผู้สถาปนาระบบฟิวดัล (Fudalism) ด้วยการพระราชทานที่ดินผืนใหญ่แก่ขุนนาง การเรียนรู้ในวัดวาอาราม และการยอมรับนับถือศริสต์ศาสนาในรัสเซีย ส่วนในอาหรับศาสนาอิสลามได้ถือกำเนิดขึ้นในคริตศตวรรษที่ 7 จนสามารถรวบรวมชาวอาหรับให้เป็นปึกแผ่น พร้อมทั้งขยายอิทธิพลจากแอฟริกาเหนือ สเปน ไปสู่อินเดีย ศาสนาพุทธเผยแผ่จากอินเดียไปยังจีนผ่านเส้นทางสายไหมและแพร่หลายในหมู่ประชาชน ขณะที่จักรพรรดิจีนยึดถือลัทธิขงจื๊อเป็นหลักในการปกครอง ศาสนาฮินดูจากอินเดียแพร่สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้เกิดอาณาจักรขอมที่เรืองอำนาจในเวลาต่อมา แม้ว่ายุโรปจะอยู่ในยุคมืด แต่ในส่วนอื่นๆ ของโลกยังคงมีความเจริญสืบต่อมา อาทิ จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่ยังคงศึกษาอารยธรรมกรีก – โรมัน ส่วนนักปราชญ์อิสลามก็มีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาการหลายแขนง ส่วนสมัยราชวงศ์ถังได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของจีน

ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 เป็นช่วงของการขยายตัวของคลื่นลูกที่หนึ่ง ซึ่งได้แก่การฟื้นตัวทางการค้าในยุโรป แม้ว่ากองทัพของชาวคริสต์ที่ทำสงครามครูเสด (Crusade Ware) ต่อต้านอิสลามในตะวันออกกลางจนพ่ายแพ้เป็นส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการนำความรู้ของโลกอิสลามเข้ามาถ่ายทอดในยุโรปขณะเดียวกันความเป็นรัฐชาติก็ได้เกิดขึ้นในยุโรป ทำให้ยุโรปหลุดพ้นจากการครอบงำของศาสนาจักรโรมันคาทอลิกและระบบฟิวดัล บรรดานครรัฐในอิตาลี อาทิ ฟลอเรนซ์ เจนัว และเวนิส ซึ่งเฟื่องฟูขึ้นในยุคนี้เป็นจุดกำเนิดของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือเรอเนสซองส์ (Renaissance) การประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ ทำให้ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ ของกรีกและโรมันแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ยุโรปเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการสำรวจค้นพบทางทะเลสามารถเดินเรือมาทางตะวันออกและค้นพบทวีปอเมริกา รวมทั้งจับจองเป็นอนาจักร ซึ่งจะนำความมั่งคั่งและอำนาจมาสู่ประเทศสเปน โปรตุเกส และฮอลันดา

2. คลื่นลูกที่สอง

เริ่มต้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งมีภูมิหลังมาจาก “ยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา” (Age of Enlightenment) หรือ “ยุคแห่งเหตุผล” (Age of Reason) ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่พัฒนามาจาก “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” (Scientific Revolution) ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปัญญาชนในยุคนี้ปฏิเสธความคิดความเชื่อที่เกิดจากศรัทธาในศาสนาของยุคกลาง นิยมการค้นหาความจริงโดยหลักของเหตุและผล มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นในความก้าวหน้าของมนุษย์ นำความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ไปอธิบายปัญหาสังคม จนนำไปสู่ความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ นักปรัชญาในยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญาที่สำคัญ ได้แก่ จอห์น ล็อค (Johnlock) วอลแตร์ (Vottaire) มองเตสกิเออ (Montesquieu) และชอง ชาค รุสโซ (Jean Jaque Rousseau)

ยุคจักรวรรดินิยมเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมีไอน้ำและไฟฟ้าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้นำ ติดตามด้วยสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ อันประกอบด้วยลัทธิอุตสาหกรรม ทุนนิยม และชาตินิยม ในค.ศ. 1858 อังกฤษปกครองอินเดียอย่างเป็นทางการ หลังจากครอบงำเศรษฐกิจของอินเดียมาเป็นเวลานาน ใน ค.ศ. 1862 ฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนโดยเริ่มจากการยึดครองเวียดนามตอนใต้ ระหว่าง ค.ศ.1884-1885 มหาอำนาจจักรวรรดินิยมพบปะกันที่กรุงเบอร์ลินเพื่อตกลงแบ่งแอฟริกาออกเป็นส่วนๆ โดยไม่สนใจสิทธิของชนพื้นเมือง ใน ค.ศ. 1898 สหรัฐอเมริกาทำสงครามกับสเปน ได้ครอบครองคิวบาและฟิลิปปินส์ และก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจระดับโลก มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจและศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยข้ามฝากมหาสมุทรแอตแลนติกมาร์สหรัฐอเมริกา

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของโลก การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้นำไปสู่การให้ความสำคัญในเรื่องผลิตผลและประสิทธิภาพของสิ่งที่เรียกกว่า “การทำลายที่สร้างสรรค์” ซึ่งนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ หลายประการ ขณะเดียวกันก็ให้ความสะดวกสบายและความเจริญก้าวหน้าแก่มนุษย์จวบจนทุกวันนี้ แบบแผนการทำงานในโรงงานยังเข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมในครัวเรือน (Domeotic System) ซึ่งต้องนำงานมาส่งให้แรงงาน อันทำให้รูปแบบของสินค้า แรงงาน และสถานที่ทำงานเปลี่ยนแปลงไป โดยอาศัยพลังงานและเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ ถ่านหิน และไอน้ำในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก มาเป็นพลังงานไฟฟ้า เคมี และน้ำมันในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 รวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้น วิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ แม้กระทั่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงต่อระบบการทำงานส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์แทบทุกด้าน

ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 พลังของจักรวรรดินิยม การพัฒนาอุตสาหกรรม และชาตินิยมแพร่ไปทั่วโลก วิกฤตที่รุนแรงที่สุดก็คือสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) คลื่นลูกที่สองจึงครอบคลุมความสัมพันธ์แบบจักรวรรดินิยมกับประเทศอาณานิคมและทุนนิยมที่แผ่ขยายไปทั่วโลก โดยมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้นำที่สำคัญ



ความหายนะของสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ค.ศ. 1929-1941) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและลุกลามไปทั่วโลก ครอบคลุมช่วง 45 ปีแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 การพัฒนาอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีท้าทายค่านิยมดั้งเดิม ขณะที่กระแสการปฏิวัติในรูปแบบต่างๆ แพร่ขยายไปทั่วโลก อาทิ การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917 การปฏิวัติในจีน ค.ศ. 1949 และการเรียกร้องเอกราชในอินเดีย ค.ศ. 1947 เป็นต้น

3. คลื่นลูกที่สาม

เป็นยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีระดับสูง เป็นคลื่นลูกใหม่ซึ่งแทนที่คลื่นลูกเก่าที่กำลังมีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของโลกปัจจุบัน เริ่มด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเหล็กกล้า รถยนต์ และเครื่องบิน ซึ่งขยายตัวเต็มที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1950-1970 ท่ามกลางความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น (ค.ศ. 1945-1991) และการปลดปล่อยประเทศอาณานิคมต่างๆ ให้เอกราช หลายประเทศเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางเศรษฐกิจโลกยุคโลกาวัตน์ที่ต้องพึ่งพากันและกันมากกว่าแต่ก่อน การล่มสลายของค่ายสังคมนิยมนับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเย็น ซึ่งเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ซึ่งได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศ แต่นอกจากกระแสโลกาภิวัตน์แล้ว การก่อการร้ายก็แพร่ขยายมากขึ้นเช่นกันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 การก่อการร้ายเป็นรูปแบบสงครามที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ เข้าโจมตีศูนย์กลางของชาติที่มีอำนาจ แต่มีอุดมการณ์ต่างกัน ดังเช่น กรณีเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ที่อาคารเวิลด์เทรด์เซนเตอร์ ในนครนิวยอร์ก ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

ญี่ปุ่นฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) แทนยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา ซึ่งหันไปผลิตสินค้าประเภททุน (Capital Goods) ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาแรงงานราคาถูกในญี่ปุ่นไม่มีอีกต่อไป ญี่ปุ่นจึงปรับตัวไปสู่การผลิตที่ใช้เครื่องจักเพิ่มขึ้น (Capital - intensive Production) และปรับการผลิตจากสินค้าอุปโภคบริโภคไปสู่สินค้าประเภททุน

ต่อมาประเทศแก๊งทั้งสี่ (Gang of Four) ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง เข้าแทนที่ญี่ปุ่นในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และเปลี่ยนการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization) มาเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก (Export – oriented Industrialization) กลุ่มประเทศแก๊งทั้งสี่ได้รับประโยชน์จากจากการลงทุนของบรรษัทระหว่างประเทศและได้ก้าวไปสู่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Asian Nics) และในที่สุดเมื่ออัตราค่าจ้างมีราคาสูงขึ้น ประเทศเหล่านี้จึงได้ปรับเปลี่ยนมาสู่การผลิตที่ใช้เครื่องจักรเพิ่มขึ้นในทศวรรษ 1980

ปัจจุบันกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น กำลังแปรสภาพจากสังคมเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Industrial Economy) ไปเป็นสังคมเศรษฐกิจบริการ (Service Economy) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นการผลิตที่ใช้สารสนเทศเพิ่มขึ้น และใช้นโยบายกีดกันการค้าเข้าแทนที่นโยบายการค้าเสรีที่เคยใช้มาก่อน รวมทั้งใช้นโยบายเสรีนิยมทางการเงิน (Financial Liberalize) ทำให้ทุนและเงินตรากลายเป็นปัจจัยการผลิตที่ไร้เชื้อชาติและสัญชาติ และสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศโดยเสรีโดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้การลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างประเทศมีความสำคัญแซงหน้าการลงทุนโดยตรง

ธุรกิจการเงินและธุรกิจหลักทรัพย์ระหว่างประเทศเข้าไปถือหุ้นในบรรษัทระหว่างประเทศ ตลาดการเงินระหว่างประเทศจึงเชื่อมโยงกับตลาดการผลิตระหว่างประเทศ อันเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย