ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
» ภูมิศาสตร์-ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของทำเลและที่ตั้ง
» แนวคิดทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทำเลและที่ตั้ง
» แนวคิดเชิงสิ่งแวดล้อมนิยมและแนวคิดเชิงกำหนดนิยม
» แนวคิดเชิงความเป็นไปได้และแนวคิดเชิงความน่าจะเป็น
» ความเชื่อมโยงของแนวคิดทางภูมิศาสตร์กับโบราณอุบายฮวงจุ้ยและชัยภูมิ
» การสร้างเมืองหลวงและเมืองรองของบรรพกษัตริย์ไทย
» นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ อัจฉริยภาพในการเลือกชัยภูมิ
» การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชื่อมโยงของโบราณอุบาย
» ความเป็นมงคลและอัปมงคลในการสร้างบ้าน
» การเปรียบเทียบแนวคิดทางภูมิศาสตร์
» บทสรุป
ความเป็นมงคลและอัปมงคลในการสร้างบ้าน
แท้จริงแล้ว
คนไทยก็มีความเชื่อเรื่องความเป็นมงคลและอัปมงคลในการสร้างบ้านเช่นเดียวกัน เช่น
ก่อนสร้างบ้านต้องมีการยกเสาเอก ถ้าเป็นบ้านที่ต้องมีบรรได
ขั้นบรรไดต้องมีจำนวนเป็นเลขคี่ และถ้าจะให้อยู่ดีมีสุขต้องปลูกต้นขนุนไว้หลังบ้าน
และต้นมะยมไว้หน้าบ้าน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจและน่าภูมิใจมากไปกว่านี้คือ
ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้ใช้ประสบการณ์และการเรียนรู้จากธรรมชาติมาเป็นประโยชน์ในการสร้างที่พักอาศัย
ถามคนทั่วไปว่าบ้านทรงไทยมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร? เชื่อว่าทุกคนตอบได้ว่า
เป็นบ้านที่ยกเสาสูง สร้างด้วยไม้ หลังคามีความลาดเทมาก และมีชานบ้าน เป็นต้น
แต่ถ้าถามต่อไปว่าทำไมบ้านทรงไทยจึงมีลักษณะเป็นเช่นที่กล่าว?
เชื่อเช่นเดียวกันว่าหลายคนอาจตอบหรืออธิบายไม่ได้
เพราะคนไทยมักชอบเห็นในสิ่งที่ตนเห็นมากกว่าการทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนเห็น
ลักษณะบ้านทรงไทยดังที่กล่าวข้างต้นคือ
ความสามารถของบรรพบุรุษในการสร้างที่อยู่อาศัยให้กลมกลืนกับธรรมชาติจะได้พักอาศัยอย่างสุขสบาย
ไม่ต้องกลัวภัยธรรมชาติที่รุนแรง รบกวน
ความที่ประเทศไทยของเราอยู่ในเขตอากาศร้อนและฝนตกค่อนข้างชุกและในปริมาณที่ค่อนข้างมาก
การสร้างบ้านที่มีเสาสูงนอกจากเป็นการป้องกันภัยน้ำท่วมแล้ว
ยังเป็นที่พักผ่อนที่เย็นสบายในเวลากลางวัน
เนื่องจากมีลมโชยมาแทนที่อากาศร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นตามหลักกายภาพ
การที่หลังคาบ้านมีความลาดเทมากก็เพื่อให้เกิดการระบายน้ำฝนได้อย่างดี
เมื่อยามมีฝนตกหนักและที่บ้านทรงไทยใช้ไม้เป็นวัสดุที่สำคัญก็เพราะประเทศของเราเคยเป็น
เมืองไม้ มาก่อนนั่นเอง
มิใช่เฉพาะการสร้างบ้านหรืออาคารที่พักอาศัยเท่านั้น
ภูมิปัญญาของบรรพชนที่สะท้อนให้เห็นถึงการเรียนรู้ธรรมชาติยังปรากฏให้เห็นได้ในรูปของศาสนสถาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลาการเปรียญและอุโบสถ อาคารทางศาสนาทั้ง 2 ลักษณะ
สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจหรือศาสนพิธีที่พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งไปรวมตัวกัน
ความเป็นเมืองร้อนและเป็นเมืองฝนคือปัจจัยทางธรรมชาติที่มีอิทธิพลทำให้รูปลักษณ์ของศาลาการเปรียญ
ซึ่งเป็นอาคารค่อนข้างใหญ่
เมื่อเทียบกับอาคารที่พักอาศัยมีความสูงโปร่งที่อากาศสามารถถ่ายเทได้จากทุกทิศทาง
กรณีของอุโบสถมีลักษณะเป็นอาคารที่ผนังโดยรอบและมิดชิด
เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป และสิ่งมีคุณค่าทางศาสนาอย่างอื่น
ซึ่งโดยรูปลักษณ์ผู้เข้าร่วมศาสนกิจในอาคารเช่นนี้จะรู้สึกร้อนและอบอ้าว ตรงกันข้าม
ผู้ที่มีโอกาสเข้าไปในอุโบสถจะมีความรู้สึกสงบและร่มเย็น (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลัง
ชี่ ซึ่งหมายถึง พลัง ธรรมะ ในตัวมนุษย์เอง)
อันเนื่องมาจากความสามารถและความฉลาดของช่างโบราณที่สร้างอุโบสถให้มีหลังคาหลายชั้น
ทำหน้าที่เป็นช่องระบายความร้อนของอากาศที่ลอยตัวสูงขึ้น
อากาศที่เย็นกว่าจะเคลื่อนที่ผ่านช่องประตูและหน้าต่างของอุโบสถ
สิ่งที่น่าเรียนรู้มากไปกว่านั้นคือการใช้วัสดุกายภาพประเภทหินอ่อนและหินแกรนิตเป็นพื้นหรือผนังอุโบสถ
ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในอุโบสถมีความสงบเย็นเพิ่มขึ้นอีก
เพราะคุณสมบัติในการดูดซับความเย็นของวัสดุดังกล่าว