ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
การเข้ามาของพวกโปรตุเกสกับคริสตศาสนา
ความปรารถนาของนักบุญฟรังซิส เซเวียร์
ธรรมทูตคณะโดมินิกันในสยาม
มรณสักขีองค์แรกในแผ่นดินสยาม
สิทธิอุปถัมภ์ศาสนา (Padroado)
ระบบ ปาโดรอาโด ของโปรตุเกส
การเข้ามาของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส
การเข้ามาของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส
การตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ
ในปี ค.ศ. 1580 (พ.ศ. 2123)
ประเทศโปรตุเกสตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนจนถึงปี ค.ศ. 1640 (พ.ศ. 2183)
ในช่วงระยะเวลาที่โปรตุเกสอ่อนแอนี้เองได้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร
นั่นคือการก่อตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ หรือที่รู้จักกันในนาม โปรปากันดา
ฟีเด (Propaganda Fide)
ทั้งนี้เป็นเพราะปาโดรอาโดทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานแพร่ธรรมของพระศาสนจักร
ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างสิทธิพิเศษปาโดรอาโดกับบุคคลากรของสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ
รวมถึงในมิสซังสยามด้วย
ในปี ค.ศ. 1622 (พ.ศ. 2165) สมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ 15
ทรงตั้งสมณกระทรวงเผยแผ่ความเชื่อขึ้น
การก่อตั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การแพร่ธรรม
เราเห็นแจ้งว่าปาโดรอาโดด้านหนึ่งเป็นการช่วยพระศาสนจักรในการแพร่ธรรม
แต่ในอีกด้านหนึ่งการแพร่ธรรมได้รับผลกระทบ
เพราะเหตุว่าอาณานิคมของโปรตุเกสกว้างใหญ่ไพศาล
กษัตริย์ไม่สามารถดูแลและช่วยคริสตชนได้ทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ หลายอย่างตามมา
คำว่า Mission หรือที่เราเรียกกันว่า มิสซัง นั้น
ใช้โดยสมณกระทรวงตั้งแต่แรกๆ เลยทีเดียว เพราะคำๆ นี้หมายถึงการส่งออกไป
ได้แก่การส่งบรรดา ผู้แทนพระสันตะปาปา (Apostolic vicars)
ออกไปทำงานในนามของพระสันตะปาปาโดยพยายามหลีกเลี่ยงกับสิทธิพิเศษของโปรตุเกสและสเปนด้วย
แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ จึงทำให้เกิดปัญหาในหลายแห่ง
การตั้งคณะสงฆ์มิสซังต่างประเทศ
คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส เป็นคณะสงฆ์ที่มีความสำคัญต่อมิสซังสยามมากที่สุด
และเป็นผู้ริเริ่มรวมทั้งก่อตั้งมิสซังสยามขึ้นมาด้วย
นอกจากนี้ยังได้สร้างสรรค์มิสซังสยามในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่แรกเริ่มมาจนถึงปัจจุบันนี้
บรรดาผู้แทนพระสันตะปาปาซึ่งเดินทางมายังตะวันออกไกลและอินโดจีนก็เป็นพระสังฆราชจากคณะนี้
ผู้ที่มีส่วนในการก่อตั้งที่ควรกล่าวถึงคือ คุณพ่ออเล็กซานเดอร์ เดอ โรดส์
(Alexandre de Rhodes) สงฆ์ธรรมทูตคณะเยสุอิต เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา
เดินทางมาทำงานแพร่ธรรมในหลายประเทศของตะวันออกไกล เช่น ประเทศจีน โคจินจีน
ตังเกี๋ย ญี่ปุ่น มาเก๊า
การทำงานในประเทศเหล่านี้ประสบกับปัญหาหลายประการคือ ปัญหาการเบียดเบียนศาสนา
ปัญหาการขาดแคลนธรรมทูต
และดูเหมือนว่าปัญหาการขาดแคลนธรรมทูตจะยิ่งใหญ่กว่าปัญหาการเบียดเบียนด้วยซ้ำ
คุณพ่อเดอโรดส์เห็นว่าควรจะเสนอกรุงโรมให้ก่อตั้งคณะสงฆ์พื้นเมือง
เพื่อทำหน้าที่แพร่ธรรมในหมู่ประชาชนของตนได้ ประมาณปี ค.ศ. 1650 (พ.ศ. 2193)
คุณพ่อได้เดินทางไปยังกรุงโรม เพื่อชี้แจงความต้องการต่างๆ ของบรรดามิสซัง
ต่อพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10
พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้ท่านเลือกหาผู้ที่พระองค์จะทรงแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช
และส่งไปยังภาคตะวันออกไกล
อีกบุคคลหนึ่งซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการก่อตั้งคณะสงฆ์นี้ขึ้นมาได้แก่
ขุนนางผู้ดีชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งคือ ดัสเชส แห่งอัยกียอง (Duchess แห่ง Aiguiilon)
หลานของพระคาร์ดินัลรีเชอเลอ (Richelieu)
ขุนนางผู้ดีผู้นี้ได้ยินถึงเรื่องแผนการและโครงการของคุณพ่อเดอโรดส์
ก็มีความปรารถนาที่จะใช้อิทธิพลของเธอเองช่วยให้โครงการนี้บรรลุผลสำเร็จ
ปี ค.ศ. 1653 (พ.ศ. 2196)
คุณพ่อเดอโรดส์เดินทางถึงกรุงปารีสได้พบกับคุณพ่อฟรังซัว ปัลลือ (Francois Pallu)
และเพื่อนอีกหลายคน
คุณพ่อได้ชี้แจงให้บุคคลเหล่านี้ทราบถึงสภาพการณ์ทางภาคตะวันออกไกล
และพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ปี ค.ศ. 1657 (พ.ศ. 2200)
คุณพ่อปัลลือเดินทางไปกรุงโรมพร้อมกับ คุณพ่อปีแอร์ ลังแบร์ต เดอลาม็อต (Pierre
Lambert de la Motte) ได้เข้าพบพระคาร์ดินัลและขอให้อภิเษกพระสงฆ์ 3
องค์เป็นพระสังฆราช ประมุขมิสซัง (Vicar Apostolic) หรือผู้แทนพระสันตะปาปา
เพื่อเดินทางไปยังภาคตะวันออกไกล ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจปกครองโปรตุเกส
ที่สุด เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1658 (พ.ศ. 2201)
พระสันตะปาปาได้ลงนามในใบแต่งตั้งพระสังฆราช 3 องค์
เพื่อไปแพร่ธรรมในเอเชียในนามของผู้แทนพระสันตะปาปา ได้แก่ คุณพ่อปัลลือ
เป็นพระสังฆราชแห่งเฮลิโอโปลีส ปกครองมิสซังต่างๆ
ในแคว้นตังเกี๋ยและอีกหลายจังหวัดในประเทศจีน คุณพ่อลังแบร์ต เดอลาม็อต
เป็นพระสังฆราชแห่งเบริธ (Berythe) ประมุขมิสซังแคว้นโคชินไชนาและ 5
จังหวัดในประเทศจีน และ คุณพ่ออิกญาซิโอ โกโตแลนดี (Ignatius Cotolendi)
เป็นพระสังฆราชแห่งเมแตลโลโปลิศ ประมุขมิสซังนานกิง และประเทศจีนตะวันออก
แต่ได้ถึงแก่มรณภาพเสียก่อน
คำสั่งสอน ค.ศ. 1659 (พ.ศ. 2202)
สมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ
ได้มอบข้อคำสอนที่มีชื่อเสียงมากซึ่งเราเรียกกันว่า คำสั่งสอน ค.ศ. 1659
ให้แก่บรรดาพระสังฆราชทั้ง 3 ผู้แทนพระสันตะปาปาแห่งอินโดจีน มีชื่อว่า Instructio
Vicariorum Apostolicoum ad regna Sinarum Tonchini et Cocincinae proficiscentium
1659 เอกสารฉบับนี้โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ก่อนออกเดินทาง Antequam discedant จุดสำคัญๆ ของคำสั่งสอนส่วนนี้
ได้แก่
คุณสมบัติของผู้ที่จะร่วมงานและท่าทีในการเลือกผู้ร่วมงาน
มีดังต่อไปนี้
1) เป็นผู้มีความร้อนรนในทางศาสนา
และความเลื่อมใสศรัทธาที่มาจากพระเจ้าพระองค์เอง
2) หลังจากพิจารณาบุคคลต่างๆ ที่มาสมัครด้วยความรอบคอบแล้ว
ผู้แทนพระสันตะปาปาต้องเลือกผู้ที่มีอายุ
และสุขภาพที่เหมาะสมกับงานที่ต้องพบกับความยากลำบากต่างๆ ได้
3)
เลือกแล้วต้องส่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติที่ถูกเลือกเหล่านั้นให้แก่สมณทูตแห่งปารีส
เพื่อให้สมณทูตลงชื่อบุคคลเหล่านั้นในจดหมายที่จะอำนวยความสะดวกต่างๆ
ให้แก่คณะผู้แทนพระสันตะปาปาได้
การติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้แทนพระสันตะปาปา สมณกระทรวง และสมณทูต
ต่างกระทำด้วยความแน่นอนและปลอดภัยทั้งวิธีการที่ใช้ รวมทั้งด้วยคนที่ไว้ใจได้
มีความรับผิดชอบที่จะส่งจดหมายอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะจบส่วนนี้
สมณกระทรวงสั่งให้พวกเขารีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และเดินทางอย่างลับที่สุดด้วย
ในระหว่างการเดินทาง In ipso intinere
เพื่อหลีกเลี่ยงแคว้นและสถานที่ต่างๆ ภายใต้การยึดครองของโปรตุเกส
ทิศทางและเส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางที่ผ่านซีเรียและเมโสโปเตเมีย
ไม่ใช่เส้นทางที่ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกและแหลมกู๊ดโฮป นั่นหมายความว่า
ให้เดินทางผ่านเปอร์เซียและอาณาจักรมองโกล
ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาต้องเขียนบรรยายการเดินทาง
รวมทั้งบรรยายถึงแคว้นต่างๆ ที่พวกเขาผ่านไปด้วย ให้สังเกตสิ่งต่างๆ
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการประกาศความเชื่อ
นำความรอดสู่วิญญาณและเพื่อสิริมงคลของพระเป็นเจ้า
พวกเขาจะต้องสังเกตสภาพของคริสตศาสนาที่มีอยู่แล้วด้วยว่าเป็นอย่างไร
สังเกตสภาพของมิสซังและธรรมทูตต่างๆ ด้วย พวกเขาต้องเขียนสิ่งต่างๆ
เหล่านี้และส่งกลับไปให้สมณกระทรวง
ภารกิจที่ต้องกระทำ In ipsa missione สรุปส่วนสำคัญๆ ได้ดังต่อไปนี้
ต้องก่อตั้งคณะสงฆ์พื้นเมืองขึ้น
และนี่ต้องถือว่าเป็นเหตุผลหลักของการเดินทางครั้งนี้
ห้ามธรรมทูตยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและการค้าขาย
พวกเขาต้องอยู่ห่างจากเรื่องทางการเมืองและธุรกิจ
และมิให้เข้ารับหน้าที่บริหารบ้านเมือง
สมณกระทรวงได้ห้ามเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังและเคร่งครัดเสมอมาและห้ามเช่นนี้ต่อไป
หากว่ามีใครถลำเข้าไปสู่ความโง่เขลานี้จะต้องถูกปลดออกจากหน้าที่โดยไม่ต้องลังเลเลย
ให้ปลดและขับไล่ออกจากมิสซัง เพื่อมิให้เป็นผู้นำความพินาศและทำร้ายงานของพระเจ้า
ต้องประยุกต์และปรับตัวกับวัฒนธรรมและประเพณีของประชาชน
พวกเขาต้องไม่วิจารณ์การกระทำและการปฏิบัติใดๆ ของประชาชน
ไม่ว่าในที่ส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ พวกเขาต้องไม่ถกเถียงอย่างรุนแรง
รวมทั้งต้องไม่ให้ความเห็นใดๆ ด้วย
แต่ต้องสอนความเชื่อซึ่งไม่โจมตีและทำร้ายวัฒนธรรมและประเพณีของชนชาติใดเลย
เนื่องจากเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะรักและให้คุณค่าต่อสิ่งที่เป็นของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาติของตนเอง พวกเขาต้องพยายามแปลหนังสือต่างๆ
ของบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักร และหนังสือชนิดต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นภาษาพื้นเมือง
ต้องจัดตั้งการศึกษาทั้งทางศาสนาและทางวิทยาการ
ต้องจัดตั้งโรงเรียนขึ้นทุกแห่งด้วยความเอาใจใส่อย่างที่สุด
และด้วยความมานะอย่างที่สุด เพื่อบรรดาเยาวชนของแคว้นต่างๆ โดยไม่คิดค่าจ้างใดๆ
ให้สอนภาษาลาตินและข้อคำสอนของคริสตศาสนาด้วย
เพื่อว่าจะไม่มีคาทอลิกคนใดต้องส่งบุตรหลานของตนไปรับการศึกษาประเภทอื่น
เวลาเดียวกันบรรดาธรรมทูตต้องพยายามหากระแสเรียกในท่ามกลางเยาวชนเหล่านั้น
หากเห็นว่าเขามีความศรัทธาและใจกว้าง
การเดินทางมาประเทศสยาม
ในปี ค.ศ. 1660 (พ.ศ. 2203)
ได้ตั้งสามเณราลัยมิสซังต่างประเทศที่กรุงปารีส (M.E.P)
เพื่ออบรมและส่งธรรมทูตใหม่ไปยังภาคตะวันออกไกล
เมื่อได้จัดการเรื่องสามเณราลัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สังฆราชและธรรมทูตร่วมทีมได้ทะยอยออกเดินทาง
ท่านปฏิบัติตามความประสงค์ของสมณกระทรวงที่ได้ขอให้ไปอย่างลับๆ
และหลีกเลี่ยงดินแดนที่ชาวโปรตุเกสอยู่ การเดินทางเช่นนี้จะกินเวลา 3 เท่า
เปรียบกับการโดยสารทางเรือและจะยากเหลือเกินดังจะพูดต่อไปนี้
กลุ่มแรกที่ออกเดินทาง คือ พระคุณเจ้าลังแบรต์ เดอ ลา ม็อต
สังฆราชแห่งเบริธ ผู้รับแต่งตั้งปกครองมิสซังโคชินไชน่า และภาคใต้ของประเทศจีน
และพระสงฆ์อีก 2 องค์ (มีปริญญาเอกทางเทวศาสตร์ทั้งสององค์)
ทั้งสามองค์ออกเดินทางจากเมืองท่า Marseilles วันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1660 (พ.ศ.
2203) ผ่านเกาะมอลตา ไซปรัส ประเทศซีเรีย เปอร์เซีย อินเดีย ทะเลแบงคอล
ถึงประเทศสยามที่เมืองตะนาวศรี ในที่สุดถึงกรุงศรีอยุธยาวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.
1662 (พ.ศ. 2205) ในการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลา 22 เดือน ถึงที่หมายทั้ง 3 คน
กลุ่มที่สอง คือ พระคุณเจ้าอิกญาซิโอ โกโตลังดี สังฆราชแห่งเมแตลโลโปลิศ
ผู้รับแต่งตั้งปกครองมิสซังนานกิง ประเทศจีน และพระสงฆ์ 2 องค์ ฆราวาส 1 คน ทั้ง 4
ลงเรือที่เมืองเดียวกันวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ.1661 (พ.ศ. 2204) (9
เดือนหลังกลุ่มแรก) เดินทางไปตามเส้นทางเดียวกัน แต่ใน 4 คนนี้เลียชีวิต 2
คนกลางทาง คือ ฆราวาสตายก่อนในเปอร์เซีย และพระสังฆราชตายในอินเดีย
พระคุณเจ้าปัลลือจะพบพระสงฆ์ 2 องค์ที่เหลือในอินเดีย เขาจะร่วมเดินทางต่อไปกับท่าน
กลุ่มที่สาม คือ พระคุณเจ้าปัลลือ สังฆราชแห่งเอลิโอโปลิศ
ผู้รับแต่งตั้งปกครองมิสซังตังเกี๋ย และภาคตะวันตกของประเทศจีน กับพระสงฆ์ 7 องค์
ฆราวาส 2 คน รวมกันมี 10 คน(รวมทั้งคุณพ่อลาโนด้วย) เดินทางไปตามเส้นทางเดียวกัน
แต่กลุ่มนี้จะประสบเคราะห์ร้ายกว่าเพื่อน ใน 10 คนนี้จะถึงจุดหมายปลายทางเพียง 4 คน
อีก 6 คนจะตายกลางทาง ถึงกรุงศรีอยุธยาวันที่ 24 มกราคม ค.ศ.1664 (พ.ศ. 2203)
ใช้เวลาเดินทาง 2 ปี กับ 3 อาทิตย์ พระสงฆ์จากกลุ่มที่ 2 ที่สมทบกลุ่มที่ 3
ได้เดินทาง 28 เดือน
สรุปแล้วธรรมทูตออกจากฝรั่งเศส 17 คน จะถึงประเทศสยาม 9 คน ตายกลางทาง 8 คน
การเดินทางตามเส้นทางที่สมณกระทรวงกำหนดไว้นั้นลำบากเหลือเกิน
พระคุณเจ้าปัลลือได้เขียนจากอินเดียถึงสตรีใจบุญในฝรั่งเศสว่า
เราได้เริ่มทอดสะพานระหว่างยุโรปกับเอเชีย
ข้าพเจ้าจะยินดีมากทีเดียวที่ถวายร่างกายและกระดูกของข้าพเจ้า
รวมทั้งของลูกที่รักของข้าพเจ้า (ธรรมทูต)
ใช้เป็นตอหม้อให้สะพานนั้นแข็งแรงเพื่อเปิดทางเตรียมให้ธรรมทูตใจกล้าจะได้ผ่านในอนาคตต่อไป