ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
โลกแบบในทัศนะของอริสโตเติล
เอกภาพ (The Unities)
ความเป็นสากล (universality)
ความแตกต่างระหว่างกวีนิพนธ์กับประวัติศาสตร์
ประวัติของอริสโตเติล
โศกนาฏกรรม - หัสนาฏกรรม
การเรียนรู้และการอนุมาน (learning and inference)
ความรู้สึกสงสารและความกลัว (pity and fear)
katharsis (catharsis) การระบายอารมณ์ความรู้สึก
หนังสือเล่มที่สองของ Poetics ที่หายไป
หัสนาฏกรรม
เปรียบเทียบระหว่างละครโศกนาฏกรรมกับมหากาพย์
katharsis (catharsis) การระบายอารมณ์ความรู้สึก
ศัพท์สำคัญอีกคำหนึ่งและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง
ในทฤษฎีศิลปะการเลียนแบบของอริสโตเติล คือศัพท์คำว่า katharsis (catharsis)
สำหรับศัพท์นี้เป็นที่ตรึงใจและมีปัญหาทางวิชาการค่อนข้างมาก
อย่างน้อยที่สุดนับจากคริสตศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา
และแนวคิดดังกล่าวในการตีความทางวรรณคดี
ดูเหมือนว่ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ 3 แนวหลัก เกี่ยวกับการตีความคำว่า
katharsis ประกอบด้วย
-ตัวแทนทางด้านการแพทย์ (representing the medical)
-ตัวแทนด้านศีลธรรมจรรยา (moral) และ
-ตัวแทนกระบวนการรับรู้ (cognitive view)
การตีความทางการแพทย์
อิทธิพลส่วนใหญ่สืบทอดมาจากผลงานของ Jacob Bernays,
ซึ่งวางรากฐานอยู่ในการใช้ประโยชน์แนวคิด katharsis ของอริสโตเติลในเรื่อง Poetics
(1341b36-1342a16) เพื่ออธิบายกระบวนการอันหนึ่งโดยผ่านดนตรี
ซึ่งให้ผลในการรักษาทางการแพทย์ด้วยการชำระล้างอารมณ์ความรู้สึกที่มากเกินไปทางพยาธิวิทยา.
Bernays สันนิษฐานว่า แบบฉบับของ katharsis ในเชิงบำบัดนี้ แน่นอน
เกิดขึ้นในละครโศกนาฏกรรม ตามทัศนะในการตีความดังกล่าว
ผู้ชมจะได้รับการสันนิษฐานว่าทุกข์ทรมานจากความสงสารและความกลัวมากเกินไป
และแสวงหาการเยียวยาสำหรับอาการที่มากเกินไปนี้
โดยผ่านวิธีการรักษาแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง(homeopathic cure)
ซึ่งสามารถหาได้โดยการแสดงความรู้สึกสงสารและความกลัวเพิ่มเติมในละครโศกนาฏกรรม
และประสบกับความพึงพอใจอันเนื่องมาจากความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อการรักษาสัมฤทธิผล
ถือเป็นเรื่องยุ่งยากมากเกี่ยวกับการตีความดังกล่าว
ซึ่งร่ำร้องการเลียนแบบในทางศิลปะด้วยการถูกทำให้เป็นเช่นเดียวกับกระบวนการบำบัด
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใดในเรื่อง Poetics ที่ให้การสนับสนุนทัศนะอันนี้
ว่าเป้าหมายซึ่งเป็นสาระสำคัญของการเลียนแบบเป็นเรื่องของการบำบัด
ที่จริงมีหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนที่น้อมนำไปสู่ข้อสรุปที่ต่างไปเลยทีเดียว
การตีความเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา การตีความเรื่องของ katharsis
ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการทำให้ศีลธรรมบริสุทธิ์โดยนักการละครและนักวิจารณ์ชาวเยอรมันที่ยิ่งใหญ่
G. E. Lessing, ทัศนะของเขา บ่อยครั้งมักจะร่วมไปกับแง่มุมต่างๆ
เกี่ยวกับทฤษฎีการล้างบาป(purgation theory)
ซึ่งมีอิทธิพลมากกับบรรดานักวิจารณ์ต่อมา
การตีความทำนองนี้ได้รับการวางอยู่บนพื้นฐานย่อหน้าหนึ่งใน the Nicomachean Ethics
(1106b16-23) ที่ยืนยันว่า
เป้าหมายของเราจักต้องประสบกับอารมณ์ความรู้สึกทางด้านศีลธรรม นั่นคือ
ในความสอคล้องต้องกันกับวิธีการอันเหมาะสมระหว่างการมากจนเกินไป
กับการน้อยจนเกินไป(ขาดแคลน)
ทฤษฎีการชำระล้างเกี่ยวกับความรู้สึกสงสารและความกลัว
ซึ่งในเชิงพยาธิวิทยากล่าวว่าจักต้องถูกเคลื่อนย้ายออกไป
ในขณะที่การตีความไปในเชิงการทำให้บริสุทธิ์
ทำให้ประสบการณ์เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้เป็นไปในหนทางและภาพรวมที่เหมาะสม
อันเป็นเครื่องหมายหนึ่งของความดี. แนวคิดเรื่อง katharsis
ในฐานะเป็นการทำให้บริสุทธิ์ในแนวทางศีลธรรมดังกล่าว คือการชำระล้าง
ไม่มีหลักฐานใดในเชิงสนับสนุนในตัวบทเรื่อง Poetics เช่นกัน
การตีความในเชิงกระบวนการรับรู้ เมื่อเราหันไปสู่การตีความศัพท์คำว่า
Katharsis ในเชิงกระบวนการรับรู้ เราได้พบกับพยานหลักฐานสนับสนุนอย่างชัดแจ้งใน the
Poetics. หลักฐานดังกล่าวได้รับการสำรวจอย่างสมบูรณ์ที่สุดโดย Kurt von Fritz,
Pedro Laín Entralgo, และ Leon Golden. อันดับแรก เราหวนรำลึกถึงย่อหน้าสำคัญใน
chapter 4 (1448b4-17) ซึ่งอริสโตเติลบอกกับเราว่า การเลียนแบบหรือการสำเนานั้น
โดยธรรมชาติแล้วคือส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์นับจากวัยเด็กเป็นต้นมา
นั่นคือพื้นฐานของเราเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้มาแต่แรก
และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งมวลได้รับความพึงพอใจจากมัน
ความพึงพอใจนี้ไม่ได้สืบทอดมาจากธรรมชาติของวัตถุที่เป็นตัวแทนในการเลียนแบบ
อริสโตเติลกล่าวว่า เรารู้สึกพึงพอใจในวัตถุต่างๆ ที่ถูกเลียนแบบ อย่างเช่น
สัตว์ป่าอันร้ายกาจและซากศพต่างๆ
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เราเจ็บปวดและรังเกียจเมื่อเราพบเห็นพวกมันในความเป็นจริง
สำหรับอริสโตเติล
ความรู้สึกพึงพอใจที่เกิดขึ้นจากการเลียนแบบคือความพึงพอใจเกี่ยวกับการเรียนรู้และอนุมานได้
ซึ่งไม่ใช่เพียงความพอใจยินดีส่วนใหญ่ของบรรดานักปรัชญาเท่านั้น
แต่เป็นความรู้สึกพอใจเพลิดเพลินสำหรับคนทั่วไปด้วย แม้จะในหนทางที่จำกัดกว่า
อริสโตเติลยังสนับสนุนธรรมชาติกระบวนการรับรู้และเป้าหมายต่างๆ
ของการเลียนแบบต่อมา เมื่อเขาได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ใน chapter 9
ถึงมิติทางปรัชญาซึ่งเกิดขึ้นจากความสามารถของมันในการแสดงออกอย่างเป็นสากลมากกว่าเป็นเรื่องราวเฉพาะต่างๆ(its
capacity to express universals rather than particulars). ใน chapter 14
(1453b8-14) เขาได้บอกกับเราว่า
เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักกวีที่จะจัดหาความพึงพอใจจากความรู้สึกสงสารและความกลัวโดยผ่านการเลียนแบบ
และอีกครั้งที่เรียกร้องความสนใจในบทบาทหน้าที่กระบวนการรับรู้เกี่ยวกับการจำลองแบบ
ซึ่งความพึงพอใจโดยสาระแล้วที่เรารับรู้ เป็นการเรียนรู้และการอนุมาน(learning
and inference)
ใจความเกี่ยวกับ katharsis ในฐานะกระบวนการรับรู้
เป็นผลผลิตทางแนวคิดสำคัญของคริสตศตวรรษที่ 20.
ส่วนการแปลที่บ่งถึงการชำระล้างและการทำให้บริสุทธิ์(purgation and
purification)มีอิทธิพลครอบงำการตีความเกี่ยวกับคำว่า katharsis
นับจากคริสตศตวรรษที่ 16 จนมาถึงช่วงสิ้นสุดของคริสตศตวรรษที่ 19 ซึ่ง Ingram
Bywater ได้รวบรวมเอาไว้ในภาคผนวกงานพิมพ์ที่สำคัญเรื่อง Poetics ของเขา
Donald Keesey ในการสำรวจของเขาช่วงปี 1979 เกี่ยวกับการตีความศัพท์คำว่า
katharsis ในคริสตศตวรรษที่ 20
ได้หมายเหตุสิ่งที่ปรากฏเกี่ยวกับความแตกต่างอย่างหลากหลายของความกระจ่างในการวิเคราะห์เมื่อไม่นานมานี้.
Matthias Luserke, ในงานรวบรวมเอกสารของหลายๆ คนของเขา ช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 และ
20 ซึ่งสัมพันธ์กับการตีความคำว่า katharsis, รวมถึงความเรียง 2
ชิ้นที่อุทิศให้กับการให้ความชัดเจนเกี่ยวกับทฤษฎี katharsis ในรูปแบบบริสุทธิ์
หรือรูปแบบที่ได้รับการแก้ไข. อย่างไรก็ตาม คำว่า Katharsis
ทัศนะเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้
ปัจจุบันกำลังได้รับการผลักดันในฐานะทางเลือกหนึ่งในการตีความตามจารีตเกี่ยวกับการชำระล้างและการทำให้บริสุทธิ์(purgation
and purification)
Gerald Else, แม้ว่าเขาไม่เคยยอมรับการตีความในเชิงสติปัญญาเกี่ยวกับคำว่า
katharsis, ซึ่งเปิดประตูสู่หนทางการตีความ
โดยการโจมตีของเขาอย่างแหลมคมเกี่ยวกับทฤษฎีการชำระล้าง
เขาได้เรียกร้องความสนใจต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ทฤษฎีดังกล่าวสันนิษฐานล่วงหน้าว่า
พวกเราไปดูละครโศกนาฏกรรม(อย่างไม่รู้ตัว
ถ้าคุณเป็นแบบนั้น)ในฐานะผู้ป่วยที่ต้องการได้รับการบำบัด ปลดเปลื้อง
ฟื้นฟูสู่สุขภาวะทางจิต. แต่ทว่า ไม่มีสักคำในงาน Poetics ที่สนับสนุนทัศนะเช่นนี้
ไม่มีการแย้มนัยว่าตอนจบของละครคือการเยียวยารักษา หรือช่วยบรรเทาภาวะพยาธิวิทยา
Gerald Else, ในความโน้มเอียงของเขา ได้นิยามคำว่า katharsis ในฐานะ
การแสดงละครโศกนาฏกรรมรทำให้เกิดความบริสุทธิ์ โดยการพิสูจน์ว่า
แรงกระตุ้นของมันไม่ใช่เรื่องสกปรกทางศีลธรรมหรือเป็นมลพิษทางศีลธรรม(morally
polluted)(miaron).
ดังผลที่ตามมาเกี่ยวกับการกำหนดหรือมุ่งมั่นให้ผู้ชมได้รับความยินยอมกับประสบการณ์ความรู้สึกสงสารต่อตัวเอกในละครโศกนาฏกรรม.
ทั้งๆ ที่ Else จะไม่เต็มใจนักที่จะยอมรับการตีความ katharsis
ว่าเป็นการทำให้กระจ่างชัด(clarification), แต่ทัศนะของเขาต้องการให้ katharsis
ได้รับการวางอยู่บนพื้นฐานรูปแบบบางประการของกระบวนการรับรู้ นับจากการตัดสินว่า
การแสดงมิได้เป็นมลพิษทางศีลธรรม
จักต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ทางด้านสติปัญญาเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ
ภายใต้สิ่งที่การแสดงได้ถูกนำเสนออกมา
คำว่า katharsis ในทัศนะเกี่ยวกับการรับรู้(cognitive)ได้รับการสนับสนุนทั้งโดยการวิเคราะห์เกี่ยวกับข้อถกเถียงภายในเรื่อง Poetics และโดยข้อถกเถียงต่างๆ ที่วางอยู่บนพื้นฐานที่คำต่างๆ ถูกใช้ในการบำบัดทางจิตในสมัยโบราณและสมัยใหม่. ทั้ง Pedro Lain Entralgo, นักประวัติศาสตร์ทางการแพทย์โบราณ และ Bennett Simon, จิตแพทย์เชิงปฏิบัติ ได้ให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างในลักษณะเชิญชวนสู่หนทางที่คำต่างๆ ในบริบทตัวอักษรที่ส่งผลต่อผู้ชม. Lain Entralgo บันทึกว่าในจิตใจของผู้ดูละครโศกนาฏกรรม มีความเรียกร้องต้องการอย่างลึกซึ้งสำหรับการแสดงออกและความกระจ่างชัดเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ และยังบันทึกต่อไปว่า ความพึงพอใจทางอารมณ์และทางร่างกายใดๆ ที่รู้สึกได้ในละครโศกนาฏกรรม คือผลลัพธ์ขั้นทุติยภูมิของความพึงพอใจทางสติปัญญาขั้นปฐมภูมิ(any emotional and somatic pleasure felt in tragedy is a secondary resultant of a primary intellectual pleasure)
ในการพิจารณาถึงความพึงพอใจทางอารมณ์และทางร่างกาย เขากล่าวว่า การก่อเกิดภาวะเช่นนั้นได้ (ความพึงพอใจต่างๆ) จักต้องไปเกี่ยวข้องกับระเบียบของความดีของวิญญาน(the good order of the soul), ทั้งที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ได้ให้เหตุผลว่า ละครโศกนาฏกรรมควรนำพาคนบางคนไปสู่การปรับเปลี่ยนและความรู้สึกใหม่เกี่ยวกับสิ่งซึ่งคนๆ หนึ่งเป็น และคนๆ นั้นดำรงความสัมพันธ์กับผู้คนรายรอบเขา ผู้ชมได้เรียนรู้ความรู้สึกใหม่เกี่ยวกับความเป็นไปได้ต่างๆ ในภาวะความเป็นมนุษย์ และในความปรองดองกับอำนาจที่มีพลังมากกว่าปัจเจกชนใดๆ. ในการบำบัด เราคาดหวังถึงทัศนะที่แผ่ขยายออกไปอันหนึ่งของความเป็นไปได้ต่างๆ ที่เปิดประตูสู่ความสัมพันธ์กับตัวเองและคนอื่นๆ. ด้วยเหตุนี้ การบำบัดที่ดีและละครที่ดีจึงมีจุดร่วมกันในชุดหนึ่งของกระบวนการภายใน
แต่อย่างไรก็ตาม Simon เข้าใจได้อย่างถูกต้อง ในฐานะผู้ปกป้องทฤษฎีการชำระล้างของศัพท์คำว่า katharsis ซึ่งโดยสาระแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างการบำบัดกับสุนทรียศาสตร์ เขาบันทึกว่า สำหรับชนชาวกรีกแล้ว โรงละครแต่เดิมมิได้มีเจตนาสร้างขึ้นมาเพื่อการบำบัดสำหรับผู้คนที่มีความเศร้าโศกหรือจิตใจปั่นป่วนโดยเฉพาะ แต่มันได้รับการคาดหวังให้จัดหารูปแบบของความพึงพอใจหนึ่งขึ้นมาในวัฒนธรรมกรีก และเป็นส่วนหนึ่งที่สมบูรณ์ของการศึกษา (paideia) (การศึกษาในความหมายที่กว้างที่สุด - education in the broadest sense) ของชาวเอเธเนียนแต่ละคน" (144-45). นี่คือสาระหนึ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งกระตุ้นชักนำด้วยคำพูดของการโต้ตอบด้วยสติปัญญาและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งกระบวนการทั้งสองต่างมีส่วนร่วมปันกัน
พยานหลักฐานสำหรับการตีความศัพท์คำว่า katharsis ในฐานะการทำให้สติปัญญาชัดเจน(intellectual clarification) วางอยู่บนพื้นฐานข้อถกเถียงด้วยเหตุผลภายใน the Poetics ที่ได้รับการเสนอโดย Leon Golden, Martha Nussbaum, และ Christian Wagner บุคคลเหล่านี้ได้นำเสนอหนทางที่ขยายกว้างออกไป หรือเปลี่ยนแปลงการตีความนี้. Nussbaum ได้ให้เหตุผลสำหรับคำว่า katharsis ในฐานะความกระจ่างชัด(clarification) แต่เป็นความกระจ่างชัดที่มิได้ขึ้นอยู่กับเรื่องสติปัญญาโดยเฉพาะเท่านั้น ความกระจ่างชัดนี้ยังถูกให้กำเนิดโดยอารมณ์ความรู้สึกด้วย. สำหรับ Wagner ยืนยันว่า ความกระจ่างชัดนั้นที่เกี่ยวพันกับละครโศกนาฏกรรม ถูกจำกัดสู่ประเด็นปัญหาทางด้านจริยธรรมต่างๆ