สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
กบฏผีบุญ
โดย ภูมิวัฒน์ นุกิจ
กบฏผู้มีบุญหรือขบถผีบุญ
หรือกบฏผีบ้าผีบุญตามที่รัฐนิยามให้ ที่เกิดขึ้นในระหว่าง พ.ศ.2443-2446
หรือในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย
และไม่ค่อยมีใครจะกล่าวถึงกันมากนักในปัจจุบัน
เพราะด้วยความพยายามของผู้ปกครองที่จะสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชของสยามประเทศหรือที่รู้จักกันในนามของ
การปฏิรูปจักรี โดยใช้มาตรฐานทางการเมืองการปกครองแบบแผนเดียวกันตลอดอาณาเขต
ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในสังคมภาคต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง
ยกเว้นภาคกลาง ซึ่งเป็นศูนย์รวมอำนาจ
เพราะการปฏิรูปดังกล่าวก่อให้เกิดความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเศรษฐกิจในภาคกลาง
ที่เห็นได้ชัดก็คือการที่ชาวนาภาคกลาง
ได้พ้นจากสภาพการเป็นไพร่ทาสของขุนนางศักดินาต่างๆ
แล้วหันมาผลิตข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะในเขตเพาะปลูกใหม่ที่ได้บุกเบิกขึ้นสำหรับปลูกข้าวเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ เช่น
เขตรังสิตและมีนบุรี
ผลที่ตามมาก็คือชาวนาในภาคกลางได้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองจากสังคมจารีตสมัยเก่าเข้าสู่สังคมสมัยใหม่
และเปลี่ยนจากการผลิตแบบยังชีพเข้าสู่การผลิตเพื่อขายในระบบทุนนิยม
ส่วนการปฏิรูปจักรีนั้นยังส่งผลต่อการปฎิรูประบบภาษีเพื่อสร้างรายได้แก่รัฐ
โดยการจัดเก็บในรูปแบบของภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ
แล้วรวบรวมเข้าสู่ส่วนกลางคือกระทรวงพระคลังโดยผ่านกลไกของระบอบเทศาภิบาล
แทนการเก็บเงินค่าราชการแบบเดิมซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของระบอบกษัตริย์นั้นจะใช้การเกณฑ์แรงงานและการส่งส่วยแบบในอดีต
การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากเมื่อมีการปลดปล่อยทาสไพร่เพื่อไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่
และประกอบกับรัฐบาลเองก็ต้องการเงินมากกว่าแรงงาน
การเก็บเงินค่าราชการก็ได้เริ่มขึ้น
โดยเริ่มต้นจากการเร่งรัดเงินส่วยจากมูลนายที่มีหน้าที่ในการรวบรวมเงินส่วยหรือเงินค่าราชการ
เมื่อไม่มีเงินจ่าย มูลนายต้องคืนไพร่สมให้หลวงหมด (ไพร่สม
เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านาย และขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการ
ไพร่สมจะตกเป็นของมูลนาย
ตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิตอยู่ในตำแหน่งราชการ
เมื่อมูลนายถึงแก่กรรมไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง
นอกจากบุตรของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อไปจากบิดา)
นโยบายนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้พลเมืองระดับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
เพราะพวกมูลนายไปเร่งรัดเอาเงินซึ่งเก็บมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เสมอกัน ในปี ร.ศ.115
(พ.ศ.2439) รัฐบาลจึงออกกฎให้ทุกคนเสียค่าราชการคนละ 6 บาท เป็นมาตรฐานแต่นั้นมา
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ
มาตรฐานดังกล่าวข้างต้นถูกกำหนดขึ้นมาจากมาตรฐานเศรษฐกิจของภาคกลาง
ซึ่งได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเงินตราแล้วอย่างชัดเจน
และได้เริ่มมีการเรียกเก็บภาษีจากประชาชน
ซึ่งรัฐบาลมีคำสั่งให้ข้าหลวงต่างพระองค์เข้าจัดระบบภาษีทั้งหมด ตัวอย่างเช่นในปี
ร.ศ.118 (พ.ศ. 2442)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอิสาน
(ข้าหลวงใหญ่เมืองอุบลราชธานีระหว่าง ร.ศ.112-130 / พ.ศ.2435-พ.ศ.2453)
ประกาศให้เก็บค่ารัชชูปการชายฉกรรจ์ผู้มีอายุระหว่าง 18-60 ปี คนละ 3.50 บาท
ยกเว้นคนพิการ ข้าราชการ เจ้านายระดับท้องถิ่นและครอบครัว ชาวต่างชาติ นักบวชและพระ
ช่างผีมือและเศรษฐี