วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
สุภาษิตล้านนา
การให้ความหมายทางสังคมต่อความเป็นเพศ
อุษณีย์ เทพมณี
การศึกษาสุภาษิตล้านนานั้นมีนักปราชญ์และผู้รู้หลายท่านได้ศึกษาในหลาย ๆ
ด้านไว้ค่อนข้างละเอียดพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ดี
การศึกษาสุภาษิตล้านนาในครั้งนี้มุ่งศึกษาที่มีเนื้อหาสั่งสอนเตือนใจชายและหญิงโดยเฉพาะ
ซึ่งสุภาษิตล้านนาที่เลือกศึกษาได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องความเป็นเพศอันเป็นสิ่งที่ได้มาจากระบวนการขัดเกลาทางสังคมและนำมาสู่คำสอนหรือสุภาษิตล้านนา
สุภาษิตล้านนาที่สอนเฉพาะหญิงและชายที่เลือกมาศึกษาครั้งนี้มีทั้งหมด 20 บท
โดยใช้สุภาษิตที่ยุทธ เดชคำรณ ได้รวบรวมไว้ในหนังสือภาษิตล้านนา
เนื่องจากมีสุภาษิตล้านนามากบทและมีความหลากหลายทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของความคิด
ความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ ของชาวล้านนาได้ดี ซึ่งสุภาษิตทั้ง 20 บทนี้
เป็นเหมือนข้อสรุปทางความคิดในเรื่องการสอนและเป็นข้อเตือนใจสำหรับชายหญิงของสังคมชาวล้านนาที่มีมาแต่อดีตและยังสามารถใช้ได้ดีในปัจจุบันทั้งแก่ผู้ที่มีครอบครัวแล้วและมีบทบาทหน้าที่เป็นสามีเป็นภรรยา
หรือข้อการปฏิบัติของหนุ่มสาวล้านนา เป็นต้น
การศึกษาวิเคราะห์สุภาษิตล้านนาที่สอนเฉพาะชายและหญิงในครั้งนี้ทำให้สามารถทราบถึงค่านิยมและความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นเพศที่สังคมคาดหวังและกำหนดขึ้นเป็นคำสอนที่มีการยอมรับร่วมกัน
ผู้ที่ปฏิบัติจะถือว่าได้รับการยอมรับจากสังคมส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนมักจะได้รับการติฉินนินทาหรือถูกปฏิเสธจากสังคม
นอกจากนี้ยังทำให้เราเข้าใจถึงที่มาของสุภาษิตสอนชายและหญิง
ว่าเป็นผลของความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นเพศและการแบ่งบทบาทของชายหญิง
ซึ่งมีความเชื่อเช่นนี้มาเป็นเวลานาน
และความเชื่อนี้ถือเป็นสิ่งที่มีมาตามธรรมชาติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความเชื่อเช่นนี้ก็เป็นผลของการขัดเกลาทางสังคม
การศึกษาสุภาษิตล้านนาที่เคยมีผู้ศึกษาไว้นั้น
ส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมสุภาษิตล้านนาทั้งหมดที่มีแล้วนำมาจัดเข้าเป็นหมวดหมู่โดยเรียงลำดับอักษรหรือเรียงตามหมวดของลักษณะความหมายเช่น
สุภาษิตที่เกิดจากธรรมชาติ สุภาษิตที่เกิดจากประเพณี สุภาษิตที่เกิดจากอุบัติเหตุ
เป็นต้น
สมร เจนจิจะ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ลานนาภาษิต
ซึ่งได้จำแนกสุภาษิตล้านนา จำนวน 536 บท ตามรูปแบบกลุ่มคำ ซึ่งมีตั้งแต่ 4 พยางค์
จนถึง 20 พยางค์ และจำแนกตามความหมายตามที่กล่าวมาข้างต้น
แต่ไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงตัวคำสอนของสุภาษิตที่ว่านั้นแต่อย่างใด
การศึกษาวิเคราะห์สุภาษิตล้านนาที่สอนเฉพาะชายและหญิงในครั้งนี้จึงเป็นการมุ่งวิเคราะห์ถึงความเป็นเพศที่แฝงอยู่ในสุภาษิต
ซึ่งการสร้างความเป็นเพศที่ว่านั้นมาจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่มีความสลับซับซ้อนและเป็นการสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน
เนื่องด้วยความเป็นเพศเป็นคำที่ยังใช้กันไม่แพร่หลายนัก
จึงมีผู้รู้เพียงไม่กี่ท่านที่ได้ให้ความหมายไว้ เช่น วารุณี ภูริสินสิทธิ์
ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง
องค์ความรู้ที่สร้างความหมายให้กับความแตกต่างทางร่างกายเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง และจิตวิทยาระหว่างผู้หญิงและชาย เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคม
เป็นการจัดการเชิงสังคมและเป็นพฤติกรรมที่ถูกเรียนรู้จากสังคมจนกลายเป็นความคาดหวังของสังคม
( วารุณี ภูสินสิทธิ์ , 2543 หน้า 198 )
การศึกษาสุภาษิตล้านนาในการให้ความหมายทางสังคมต่อความเป็นเพศครั้งนี้ได้นำแนวคิดการสร้างความเป็นเพศผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของอาจารย์วารุณี
ภูริสินสิทธิ์มาใช้ในการวิเคราะห์ควบคู่กับแนวคิด การแบ่งบทบาทหญิงและชายของอาจารย์
พงสวัสดิ์ สวัสดิ์พงษ์ ซึ่งเนื้อหาของทั้งสองแนวคิดมีดังนี้ คือ
-
แนวคิดการสร้างความเป็นเพศผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม อาจารย์ วารุณี ภูริสินสิทธิ์ ได้กล่าวไว้ว่า ความเป็นเพศเป็นตัวกำหนดความเป็นตัวตนทักษะ และความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นของคนในแต่ละเพศซึ่งคุณลักษณะของแต่ละเพศที่ปรากฏไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่ถูกสร้างขึ้นโดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่ซับซ้อน โดยจะเริ่มตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งโตขึ้น การที่สังคมกำหนดความเป็นเพศขึ้น โดยให้ผู้หญิงมีคุณลักษณะบางอย่าง และผู้ชายมีคุณลักษณะบางอย่างและเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ผู้หญิงต้องคู่กับความเป็นแม่บ้านเป็นผู้ดูแลครอบครัว หรือคู่กับความสาวความงามในจริยวัตร ในขณะที่ผู้ชายคือผู้นำของครอบครัว ผู้กล้าและเป็นผู้ตัดสินใจ เป็นต้น ความเชื่อที่สังคมกำหนดในลักษณะนี้นำไปสู่การกำหนดบทบาทหน้าที่ของคนสองเพศ ( อ้างแล้ว 2543 หน้า 199)
-
แนวคิดการแบ่งบทบาทหญิงชาย : อาจารย์ พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิ์พงษ์ ได้กล่าวไว้ว่า2 บทบาทเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวหรือเป็นสภาพแวดล้อมของบุคคลและบุคคลต้องแสดงบทบาทตามความคาดหวังของสังคมที่กำหนดไว้อย่างแน่ชัด ซึ่งแนวคิดการแบ่งบทบาทหญิงชายนี้จะช่วยเป็นกรอบในการทำความเข้าใจ และพิจารณาบทบาทของหญิงชายที่ถูกกำหนดไว้แล้วเฉพาะตัว เช่น ผู้หญิงจะต้องมีบทบาทในการเป็นภรรยา แม่ แม่บ้าน โดยมีกลุ่มกิจกรรมประเภทงานบ้าน เช่น ปรนนิบัติสามี เลี้ยงดูบุตร ดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในบ้าน ส่วนผู้ชายมีบทบาทเป็นสามี พ่อ พ่อบ้าน มีหน้าที่ต้องปกป้องภรรยา ลูก หาเลี้ยงครอบครัว เป็นผู้นำครอบครัว เป็นต้น Turner (อ้างในวณี บางประภา ธิติประเสริฐ,2533 หน้า 11) กล่าวว่าการแบ่งแยกบทบาทในครอบครัวมักถูกกำหนดมาล่วงหน้าว่า สามีต้องทำอะไร ภรรยาต้องทำอะไร และบุตรต้องทำอะไร
จากสุภาษิตล้านนาที่เกี่ยวกับชายและหญิงทั้ง 20 บท
ที่เลือกมาศึกษาในครั้งนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
สุภาษิตที่สอนเฉพาะเพศชาย
-
กันเข้าวัดหื้ออู้คำปราชญ์ กันเข้ากาดหื้อเป็นพ่อค้า
-
กันเป็นผู้ชายอย่าฟังคำส่อ กันเป็นพ่ออย่าหลงคำแม่น้า
-
คนชาย ถ้าหมั่นแล้ว บ่แคล้วแพ้ใจสาว
-
จะเอาเมีย อย่างกลัวการ เป็นทหารอย่ากลัวศึก
-
ผู้ชายจะยังเป็นลูก จนถึงวันที่มีเมีย
-
หญ้าเป็นข้าควาย ผู้ชายเป็นข้าหญิง
สุภาษิตที่สอนเฉพาะเพศหญิง
-
ผ่อชายมีผญา หื้อผ่อเมื่อยามกินเหล้า
-
จะมีผัวอย่ากลัวมีท้อง
-
มีผัวมีลูก เหมือนเชือกผูกมัดแข้ง มัดขา
-
มีผัวมีลูก มีโซ่ผูกพันชั่วชีวิต
-
หญิงเดือน หญิงด่า หื้อพิจารณาถี่ ๆ
-
เป็นสาว เปิ้นช่างว่าร้าย เป็นแม่ร้างแม่ม่ายเปิ้นช่างดูแคลน
สุภาษิตที่สอนทั้งชาย หญิง
-
หญิงเยียะการสบาย ชายเยียะการหลายแท้นอ
-
หญิงเป็นเสาเรือนเอก ชายเอกเขนกสั่งการ
-
หญิงรักที่น้ำใจ ชายรักที่หุ่นร่าง
-
หญิงรักแล้ว ตึงรักหลาย ๆ ชายรักที่หุ่นร่าง
-
หญิงลุกเช้า ชายลุกขวาย สองตายายอยู่กันจนเฒ่า
-
ถ้าผัวว่าแล้ว เมียแก้วอย่าเกิน ถ้าผัวทำเพลิน เมียต้องว่าห้าม
-
หญิงเป็นผู้จ่าย ชายเป็นผู้ริ
-
ผัวเป็นหิง เมียเป็นข้อง ตีกลองทิงมอง ม่วนล้ำ
ความเป็นเพศที่สังคมมีให้มนุษย์
คาดหวังให้ผู้ชายเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัว
คาดหวังให้ผู้ชายมีความขยันหมั่นเพียร
คาดหวังให้ผู้ชายมีความรู้ความสามารถ
คาดหวังให้ผู้หญิงมีความประพฤติดี ซื่อสัตย์
คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นภรรยาที่ดี
คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นมารดาที่ดี