ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
ความเป็นมาของจิตวิทยา
กลุ่มต่าง ๆ ของจิตวิทยา (School of Psychology)
การเรียนรู้
กลุ่มต่าง ๆ ของจิตวิทยา
(School of Psychology)
กลุ่มต่าง ๆ มีความเชื่อหลักแตกต่างกันอยู่ 7 สำนัก ดังต่อไปนี้
- กลุ่มโครงสร้างแห่งจิต (Structuralism) ทิทเช เนอร์ (Titchener)
อธิบายโครงสร้างของจิตแยกออกเป็น 3 ส่วน คือ การสัมผัส การรับรู้ และ ความรู้สึก
มีวิธีการหลักในการศึกษาจิตใจ คือ การพินิจภายในจิตใจ
- กลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism) เจมส์ (William James) เห็นว่า
นักจิตวิทยาควรสนใจศึกษาหน้าที่ของจิตใจ ไม่ใช่โครงสร้าง
(สนใจว่าอะไรที่จิตทำมากกว่าจิตคืออะไร)
มองว่าจิตสำนึกของมนุษย์ทำให้กระบวนการคิดการตัดสินใจช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้
ดิวอี้ (John Dewey)
เห็นว่าจุดเน้นการศึกษาไม่ควรอยู่ที่เนื้อหาแต่อยู่ที่ความต้องการของนักเรียน
มีการพัฒนาวิธีวิจัยมากขึ้น เช่น วิธีแบบสอบถาม การทดสอบ
และวิธีพรรณนาเกี่ยวกับพฤติกรรมเชิงปรนัย
- กลุ่มจิตวิทยาเกสทอลท์ จิตวิทยา เกสทอลท์
เป็นปฏิกิริยาต่อต้านการเน้นวิธีแยกย่อยมากเกินไป ต่อต้านความเชื่ออย่างมืดบอด
ต่อต้านการวิเคราะห์และการแยกย่อย
พวกเขาเชื่อว่าความเข้าใจพฤติกรรมจะต้องใช้แนวองค์รวม
- กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ฟรอยด์ (Sigmund Freud) แพทย์ชาวออสเตรีย สนใจค้นหาสาเหตุทางจิตที่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติในตัวมนุษย์ ฟรอยด์ศึกษาข้อมูลจากผู้ป่วยจำนวนมากประกอบกับการวิเคราะห์ตนเองทำให้เชื่อว่า ความผิดปกติของจิตมีรากฐานมาจากความขัดแย้งทางเพศและเป็นไปอย่างไร้สำนึก ความคิดจิตวิเคราะห์มีอิทธิพลมากต่อจิตวิทยาถือเป็นคลื่นลูกที่หนึ่งในองค์การจิตวิทยา โดยแนวคิดที่น่าสนใจ มีดังนี้
ระดับชั้นแห่งจิต
- จิตสำนึก (Conscious) บรรจุสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส พร้อมทั้งประสบการณ์ที่ตระหนักรู้ได้ในช่วงเวลานั้น
- จิตก่อนสำนึก (preconscious) เป็นที่รวมประสบการณ์ทั้งหมดซึ่งไม่ได้สำนึกถึงในขณะนั้นแต่สามารถระลึกได้หากใช้ความพยายาม
- จิตไร้สำนึก (unconscious) เป็นแหล่งสำคัญที่พฤติกรรมมนุษย์ก่อรูปและถูกปรุงแต่งขึ้นโดยอาศัยแรงขับ และแรงกระตุ้นที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจ
โครงสร้างของบุคลิกภาพ
- อิด (id)
เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานที่ต้องการการตอบสนองทันที
- ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ (life wish) เห็นได้จาก แรงกระตุ้นที่จะมีชีวิตอยู่ การสร้างสรรค์ ความรัก ลิปิโด (libido) ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับเรื่อง เพศ ความผูกพันอื่น ๆ
- ความปรารถนาที่จะตาย (death wish) เห็นได้จากแรงกระตุ้นที่ทำพฤติกรรมเชิงทำลายต่าง ๆ
- อีโก (Ego) ซึ่งพัฒนาขึ้นมา
เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของอิดให้เข้ากับความเป็นจริงของโลกภายนอก
หน้าที่ของอีโกเป็นการรักษาความสมดุลของบุคลิกภาพระหว่างอิดและซูเปอร์อีโก
- ซูเปอร์อีโก (Super ego) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่บอกถึง ถูก ผิด ดี เลว
ในชีวิตมนุษย์ ซูเปอร์อีโก เป็นส่วนที่พัฒนามาทีละน้อย
ตั้งแต่วัยเด็กเพื่อให้เข้ากับค่านิยมและมาตรฐานของสังคม แบ่งเป็น
- สัมปชัญญะ หรือ สำนึก เป็นส่วนที่หักห้ามความต้องการหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
- ตนในอุดมคติ เป็นส่วนที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่พึงปรารถนาเพิ่มขึ้น
ขั้นตอนของพัฒนาการ
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ให้ความสำคัญต่อพัฒนาการมนุษย์ในช่วง 5 ขวบปีแรก
ของชีวิตถือว่าเป็นจุดวิกฤตของพัฒนาการ
เป็นช่วงที่บุคลิกภาพของบุคคลได้ก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ
- ขั้นปาก 0 1 ปี เป็นขั้นที่ความเอาใจใส่และกิจกรรมของทารก
จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ปาก ท่ออาหารและกระเพาะ เด็กจะเพลิดเพลินกับการได้รับอาหาร
เชื่อมโยงเข้ากับเจตคติของผู้ใหญ่ที่แสดงออกมาในระหว่างให้อาหาร
หากเด็กเกิดความเครียด และคับข้องใจ
พัฒนาการจะถูกยับยั้งนำไปสู่กิจกรรมที่ผิดปกติในวัยผู้ใหญ่ เช่น
กิจกรรมเกินพอดีในการดื่ม สูบ รับประทาน หรือพูด
และยังสัมพันธ์กับความรู้สึกปลอดภัยด้วย
- ขั้นทวารหนัก 2 3 ปี ขั้นนี้ความสนใจของเด็กจะเลื่อนไปสู่กิจกรรมขับถ่าย
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พ่อแม่ฝึกคัดขับถ่ายให้เด็ก
วิธีฝึกของพ่อแม่มีผลต่อเจตคติบางประการ เช่น ความสะอาด และการควบคุม
ส่งผลต่อพัฒนาการบุคลิกภาพของเด็ก
การฝึกอย่างเข้มงวดหรือปล่อยปละละเลยล้วนหยุดยั้งพัฒนาการขั้นนี้
เมื่อโตขึ้นมีแนวโน้มจะตระหนี่ ดื้อ เจ้าระเบียบ นิยมความสมบูรณ์แบบ
ขั้นนี้เป็นขั้นที่เด็กพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของ กับการรู้จักอำนาจ
และควบคุมตนเอง
- ขั้นอวัยวะเพศ 3 5 ปี เด็กเริ่มโตพอที่จะตระหนักถึงร่างกายของตนเองโดยเฉพาะอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นแหล่ง ผัสสะของความพอใจที่เด็กเพิ่งมีประสบการณ์ ขั้นนี้เด็กชายจะรักแม่ และต่อต้านพ่อ (Oedipus complex) ส่วนเด็กหญิงจะรัก พ่อ และต่อต้านแม่ (Electra complex) เด็กเผชิญกับความวิตกกังวลและรู้สึกผิดในการต่อต้านพ่อหรือแม่ เมื่อต่อต้านไม่สำเร็จ เด็กจะเลียนแบบพ่อแม่ซึ่งเป็นเพศเดียวกับตน เรียกว่า การเทียบเคียงแบบป้องกันตน (defensive identification) และซูเปอร์อีโกได้เริ่มก่อตัวขึ้น
กลุ่มพฤติกรรมนิยม
แนวคิดนี้ให้ความสำคัญต่อประสบการณ์ภายนอก
พฤติกรรมภายนอก การกระทำและการตอบสนอง วัตสัน (John B. Watson)
ได้เสนอว่านักจิตวิทยาในฐานะนักวิทยาศาสตร์
ควรศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ส่วนที่สังเกตได้ ไม่ควรศึกษามโนทัศน์ประเภทจิตใจ
จิตรู้สึก ฯลฯ
คือศึกษาพฤติกรรมที่เขาทำไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดหรือรู้สึกเขาได้พยายามอธิบายพฤติกรรมในรูปแบบของสิ่งเร้าและการตอบสนอง
แนวคิดนี้ต่างจากจิตวิเคราะห์มาก และจัดว่าเป็นคลื่นลูกที่สองของจิตวิทยา
จุดเริ่มมาจากนักสรีระวิทยา ชาวรัสเซีย ชื่อ อิวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov)
ทำการทดลองให้สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง โดยอินทรีย์ (สุนัข)
เกิดการเชื่อมโยงสิ่งเร้า 2 สิ่ง คือ เสียงกระดิ่งกับผงเนื้อ
จนเกิดการตอบสนองโดยน้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง
ส่วนประกอบของกระบวนการวางเงื่อนไข
- สิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข UCS (Unconditional Stimulus)
- สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข CS (Conditional Stimulus)
- การตอบสนองอย่างไม่มีเงื่อนไข UCR (Unconditional Response)
- การตอบสนองอย่างมีเงื่อนไข CR (Conditional Response)
สกินเนอร์ (B.F. Skinner) ได้กำหนดการวางเงื่อนไขการกระทำ
ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันมากในปัจจุบัน โดยวิธีการวางเงื่อนไขจะใช้การเสริมแรง
โดยทดลองกับสัตว์ในห้องปฏิบัติการและค้นคว้าจนพบว่าใช้ได้ดีกับมนุษย์
หลักการวางเงื่อนไขผลกรรม (Operant Conditioning) มีแนวคิดว่า การกระทำใด ๆ
(Operant) ย่อมก่อให้เกิดผลกรรม (Consequence หรือ Effect)
การเรียนรู้เงื่อนไขผลกรรมนี้ต้องการให้เกิดพฤติกรรมโดยใช้ผลกรรมเป็นตัวควบคุม ผลกรรมที่เกิดขึ้น
- ถ้าเป็นผลกรรมที่ต้องการ เป็นผลกรรมเชิงบวก เรียก การเสริมแรง
- ถ้าเป็นผลกรรมที่ไม่ต้องการ เป็นผลกรรมเชิงลบ เรียกว่า การลงโทษ
การเสริมแรง หมายถึง การทำให้มีพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากผลกรรม ได้แก่
- เสริมแรงทางบวก เช่น ทำงานเสร็จแล้วแม่ให้ถูโทรทัศน์
- เสริมแรงทางเชิงลบ เช่น การขึ้นสะพานลอยเพื่อพ้นจากการถูกจับ
การลงโทษ หมายถึง การให้ผลกรรมที่ไม่ต้องการ หรือ ถอดถอนสิ่งที่ต้องการแล้วทำให้พฤติกรรมลดลง ได้แก่
- การลงโทษทางบวก เช่น เด็กส่งเสียงดัง แล้วถูกดุ
- การลงโทษทางลบ เช่น ทำการบ้านไม่เสร็จแล้วแม่ไม่ให้ไปเล่นเกมส์
กลุ่มปัญญานิยม
ช่วงปี 1960 เป็นต้นมา
นักจิตวิทยาปัญญานิยมเริ่มต่อต้านแนวความคิดพฤติกรรมนิยม
แบบเก่าที่ปฏิบัติกับบุคคลราวกับเป็นกล่องดำ ซึ่งสามารถเข้าใจได้อย่างง่าย ๆ
โดยการวัดสิ่งเร้าที่เข้าไปข้างใน (กล่องดำ) และการตอบสนองที่ออกมาข้างนอก
แต่นักจิตวิทยาปัญญานิยมยืนยันว่านักจิตวิทยาต้องพยายามเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นภายในกล่องดำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของจิต เช่น ความคิด การรับรู้ ความจำ การใส่ใจ
การแก้ปัญหา และภาษา
โดยมุ่งแสวงหาความรู้ที่ชัดเจนถึงวิธีการที่กระบวนการเหล่านี้ทำงาน
และนำมาประยุกต์ใช้ รวมทั้งการพินิจ-ภายในอย่างไม่เป็นทางการ
ก็ควรนำมาใช้เพื่อค้นหา ส่วนวิธีแบบปรนัย (objective methods)
นำมาใช้เพื่อทดสอบยืนยัน จิตวิทยาแนวปัญญาจึงเป็นการรวมลักษณะต่าง ๆ ของ
กลุ่มโครงสร้าง-จิต กลุ่มหน้าที่ของจิต จิตวิทยาเกสทอลท์
และกลุ่มพฤติกรรมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน
กลุ่มมนุษยนิยม
พัฒนาขึ้นมาประมาณ คศ. 1960
โดยเป็นแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งมีอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow)
เป็นผู้นำกลุ่ม ได้พัฒนาทฤษฎีที่ต่างออกไปจากกลุ่มจิตวิเคราะห์และกลุ่มพฤติกรรมนิยม
จัดเป็นคลื่นลูกที่สามของจิตวิทยาลักษณะเด่นคือ มิได้เป็นทฤษฎีที่จัดระบบไว้เดี่ยว
ๆ แต่เป็นการสะสมแนวคิดจากปรัชญา และแนวคิดจิตวิทยาร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน
นักจิตวิทยามนุษยนิยม เช่น มาสโลว์ และ โรเจอส์ (Carl Rogers)
เชื่อว่ามนุษย์ตามธรรมชาติมีความโน้มเอียงที่จะมีการพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
เขาจะพัฒนาไปถึงจุดสูงสุดตามศักยภาพของเขา
มนุษย์มีความสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตเขา
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสำคัญต่อประสบการณ์ของมนุษย์ให้ความสำคัญต่อวิธีการที่บุคคลรับรู้ตนเองอย่างเป็นอัตนัยไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์
ค่านิยม ทางเลือก หรืออื่น ๆ
การทำความเข้าใจบุคคลในวิธีการที่เขารับรู้ตนเองและรับรู้โลกที่แวดล้อมเขาโดยมองจากแง่มุมของตัวเขาเอง
แนวคิดเกี่ยวกับตนเองของบุคคลเป็นตัวแปรแทรก จากโลกพฤติกรรมนิยม สิ่งเร้า
การตอบสนอง มาเป็นสิ่งเร้า บุคคล การตอบสนอง ทำให้อธิบายได้ว่า สิ่งเร้าเดียวกัน
ถูกวางเงื่อนไขเดียวกัน เหตุใดบุคคลจึงมีพฤติกรรมตอบสนองต่างกันออกไป
เพราะเขารับรู้สิ่งเร้าและเงื่อนไขต่างกันนั่นเอง
กลุ่มเหนือตน
จิตวิทยาแนวนี้อาจเริ่มจากเจมส์ (William
James)
นักจิตวิทยาอเมริกันคนแรกที่สนใจประสบการณ์ลึกซึ้งหรือประสบการณ์อัศจรรย์ทางจิตที่เกิดขึ้นกับคน
แต่สนใจในแง่จิตวิทยามากกว่าแง่ศาสนา
เจมส์เสนอว่าประสบการณ์อัศจรรย์นี้เป็นรากฐานของศาสนาต่าง ๆ
เป็นตัวแทนของแรงกระตุ้นตามธรรมชาติในเชิงบวก
นักจิตวิทยาบางคนก็สนใจประสบการณ์เหนือตน เช่น จุง (Carl Jung)
ได้เขียนถึงประสบการณ์เหนือตนไร้สำนึกของมนุษย์ และแสดงออกโดยอ้อมด้วยการ ฝัน
พิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ แสดงออกโดยตรงจากประสบการณ์อัศจรรย์ทางจิต คำว่าเหนือตน
มาสโลว์คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกแนวคิดใหม่ของจิตวิทยา
และมาสโลว์เห็นว่าจิตวิทยาเหนือตนเป็นคลื่นลูกที่ 4
ของจิตวิทยาต่อจากแนวคิดมนุษยนิยม
แนวคิดหลัก คือ การให้ความสนใจสิ่งที่อยู่เหนือความต้องการ
และความสนใจของมนุษย์ออกไปมาสโลว์ พบว่า บางคนที่พัฒนาความต้องการไปจนถึงขั้นสูงสุด
คือ สัจจการแห่งตนมีประสบการณ์อัศจรรย์ทางจิตเกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่บางคนกลับไม่เคยพบ
จึงทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างสัจจการแห่งตน กับเหนือตนหรือล่วงพ้นต้น
จิตวิทยาเหนือตนไม่ใช่ระบบความคิดแบบแบ่งแยก
แต่สนใจที่จะเปิดเผยธรรมธรรมชาติของมนุษย์ในระดับที่ลึกซึ้ง
แต่ก็ไม่ปฏิเสธความเป็นปัจเจกบุคคล สนใจต่อพัฒนาการทางจิตเท่า ๆ
กับพัฒนาการทางจิตวิญญาณ สนใจประสบการณ์ธรรมดา เท่า ๆ กับประสบการณ์อัศจรรย์
สนใจแกนในการปฏิบัติของจิตวิทยาเหนือตน รวมไปถึง การทำสมาธิ การฝึกสติ
การพิจารณาใคร่ครวญ และสนใจค้นหาปรากฏการณ์ต่าง ๆ
และเปรียบเทียบกับแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มต่าง ๆ
อาจถือได้ว่าจิตวิทยากลุ่มนี้เป็นการรวมกันระหว่างแนวคิดของจิตวิทยาตะวันตก
กับแนวคิดภูมิปัญญาตะวันออกบางแนวคิด
สาระสำคัญของวิชาจิตวิทยา คือ การศึกษาถึงเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์
และมีสาขาต่างๆ ของจิตวิทยามากมาย ได้แก่
- จิตวิทยาการทดลอง
นักจิตวิทยาใช้วิธีการทดลอง เพื่อศึกษาบุคคลตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัวอย่างไร - จิตวิทยาสรีระ
ค้นคว้าหาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการทางชีววิทยาและพฤติกรรม - จิตวิทยาพัฒนาการ
เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ ตัวประกอบที่มีผลต่อพฤติกรรม ความสามารถเฉพาะอย่างตั้งแต่เกิดจนชรา - จิตวิทยาสังคม
สนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีอิทธิพลต่อทัศนคติ และพฤติกรรม ศึกษาพฤติกรรมกลุ่ม - จิตวิทยาบุคลิกภาพ
มุ่งศึกษา ความแตกต่างระหว่างปัจเจกบุคคลสนใจศึกษาคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละบุคคล - จิตวิทยาคลินิก
ประยุกต์กฎของจิตวิทยากับการวินิจฉัยและการบำบัดอาการทางจิต โรคประสาท และปัญหาการปรับตัว - จิตวิทยาการปรึกษา
คล้ายกับจิตวิทยาคลินิก แต่ปัญหาของผู้ป่วยรุนแรงน้อยกว่า เช่น ปัญหาการปรับตัว การเรียน อาชีพ ปัญหาส่วนตัวและสังคม - จิตวิทยาอุตสาหกรรม
ทำงานกับบริษัทหรือเป็นที่ปรึกษาองค์การต่าง ๆ เกี่ยวกับการคัดเลือกคน การพัฒนา การฝึกอบรมการทำงาน - จิตวิทยาการศึกษา
ชำนาญ เกี่ยวกับ เรื่องการเรียนการสอน อาจทำงานในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยทำการวิจัย ศึกษาเรื่องการเรียนรู้มนุษย์
จิตวิทยา
จิตวิทยาพื้นฐาน
จิตวิทยากับผู้นำ
จิตวิทยาการเรียนรู้