ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พระเรวตขทิรวนิยเถระ

เอตทัคคะในทางผู้อยู่ป่า

        พระเรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ วังคันตะ มารดาชื่อ นางสารี เกิดในหมู่บ้านของตำบลนาลันทา แคว้นมคธ ซึ่งบิดาของท่านเป็นนายบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเป็นน้องชายคนสุดท้องของพระสารีบุตรเถระ เดิมชื่อว่า เรวัตะ

7 ขวบ ได้แต่งงาน
ขณะเมื่อท่านอยู่ในวัยเด็ก อายุประมาณ 7-8 ขวบเท่านั้น บิดามารดาของท่านได้ปรึกษากันว่า:- “บุตรธิดาของเราออกบวชไปแล้ว 6 คน ยังเหลือเรวตะเพียงคนเดียว ถ้าเรวตะ ออกบวชอีก ก็จะไม่มีผู้ใดสืบทอดวงศ์ตระกูล เราควรผูกมัดเราวตะ ไว้ด้วยการให้มีภรรยา รับผิดชอบต่อครอบครัวเสียแต่ในวัยเด็กนี้จะดีกว่า ถ้าปล่อยไว้อาจถูกพระสงฆ์พุทธสาวกพาไปบวชอีก"

เมื่อปรึกษาและมีความเห็นชอบตรงกันแล้ว จึงจัดการสู่ขอนางกุมาริกาผู้มีฐานะชาติตระกูลเสมอกัน แล้วกำหนดวันวิวาหมงคล ครั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ และถึงกำหนดนัดวันวิวาห์แล้ว ขณะทำพิธีแต่งงาน ญาติมิตรต่างทยอยกันเข้าหลั่งน้ำ และกล่าวคำอวยพรคู่บ่าวสาวตามประเพณี บังเอิญมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว เป็นคุณยายอายุประมาณ 120 ปี กล่าวคำอวยพรให้เจ้าบ่ายเจ้าสาวปรองดองครองรักกันยาวนานมีอายุยืนยาวเหมือนคุณยายนั้น เจ้าบ่าวเรวตะได้ฟังคำอวยพร และเห็นคุณยายร่างกายแก่หง่อม หลังค่อมโกง ผิวตกกระ งกๆ เงิ่นๆ หาความงามอันเป็นที่เจริญจิตเจริญใจมิได้เลย แล้วหวนคิดเปรียบเทียบกับเจ้าสาวของตนซึ่งจะมีสภาพร่างกายเหมือนคุณยายนี้ จึงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที และเริ่มคุ่นคิดหาวิธีเพื่อหลีกหนีชีวิตครอบครัวฆราวาส และมองเห็นว่าวิธีเดียวที่จะพ้นได้ ก็คือ ต้องออกบวชเหมือนพี่ๆ จึงจะหลุดพ้นได้



หนีเมียบวช
ดังนั้น ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนยานพาหนะเพื่อเดินทางไปสู่เรือนหอนั้น ท่านได้แกล้งแสดงอาการว่าท้องเสีย ขอตัวเพื่อลงไปถ่ายท้องในป่าข้างทาง ครั้งแรกๆ บิดามารดาได้สั่งให้คนคอยติดตามดูเพราะกลัวว่าจะหนี เรวตะเห็นว่ามีคนคอยติดตามดูอยู่จึงกลับมาด้วยดี บิดามารดาและคนคอยติดตามก็เชื่อว่าคงจะท้องเสียจริงๆ

จึงเลิกติดตาม เรวตะจึงได้โอกาสหนีไปได้สำเร็จและได้พบสำนักพระภิกษุผู้อยู่ในป่า จึงเข้าขอบรรพชาในสำนักของท่าน ส่วนพระภิกษุรูปนั้นพอทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ก็รับจักการบวชให้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตบิดามารดาก่อน เพราะพระสารีบุตรเถระได้สั่งไว้ว่า “ถ้าพบน้องชายของเราให้บวชได้ทันที” เนื่องจากถ้าไปขออนุญาตบิดามารดาก็จะไม่ได้บวช เพราะบิดามารดาของท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ พระสารีบุตรเถระได้ทราบข่าวว่า เรวตะน้องชายบวชแล้ว คิดจะไปเยี่ยม จึงกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึง 2 ครั้ง พระพุทธองค์ตรัสห้ามยับยั้งไว้ ส่วนสามเณรเรวตะคิดว่า ถ้าอยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์นี้ต่อไป บรรดาญาติๆ ทั้งหลาย อาจจะตามมาพบและนำตัวเรากลับไปก็ได้ จึงเรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์นั้น แล้วได้ลาไปบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในป่าไม้ตะเคียน (ขทิรวนิยะ แปลว่า ไม้ตะเคียน) ระยะทางไกลออกไปประมาณ 30 โยชน์ ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้น เพราะท่านอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานานจึงได้นามใหม่ว่า “พระเรวตขทิรวนิยเถระ”

พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยม
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรเถระกราบทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อไปเยี่ยมพระรวตะ อีกครั้ง พระบรมศาสดารับสั่งว่าจะเสด็จไปด้วย และรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายประมาณ 500 รูปเตรียมเดินทางไปด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยหมู่ภิกษุบริวารเสด็จดำเนินมาถึงทาง 2 แพร่ง พระอานนท์เถระกราบทูลว่า:-

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาร ทางไปสำนักของพระเรวตะ นั้น ทางนี้เป็นทางอ้อมประมาณ

60 โยชน์ เป็นที่อยู่ของมนุษย์สะดวกแก่การภิกขาจาร ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นทางตรงประมาณ 30 โยชน์ แต่เป็นถิ่นที่อยู่ของอมนุษย์ พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร พระเจ้าข้า”พระผู้มีพระภาค ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า:-

“อานนท์ พระสีวลีมากับพวกเราหรือเปล่า ?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมาด้วยพระเจ้าข้า”
“อานนท์ ถ้าอย่างนั้น ก็จงไปทางตรงนั่นแหละ”

การที่พระพุทธองค์ทรงรับสั่งอย่างนั้น ก็เพราะพระองค์ทรงทราบว่า เทวดาทั้งหลายในระหว่างหนทางนั้น จะพากันจัดที่พักและอาหารบิณฑบาตถวายพระสีวลี ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน บรรดาพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุขก็จะไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร และสถานที่พัก ด้วยอาศัยบุญของพระสีวลีนั้น

เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวารเหล่านั้นเสด็จมาใกล้จะถึงแล้ว พระเรวตะแสดงฤทธิ์เนรมิตป่าเป็นพระคันธกุฎี สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และเนรมิตสถานที่จงกรมพร้อมด้วยสถานที่พักกลางคืนและกลางวันเพื่อความสะดวกและผาสุกแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ตามเสด็จมาด้วยอีกอย่างละ 500 แห่ง แล้วออกไปถวายการต้อนรับ นำเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏีพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นเวลา 1 เดือน จึงเสด็จกลับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับแล้ว พระเรวตเถระจึงคลายฤทธิ์ สถานที่นั้นก็กลับกลายเป็นสภาพป่าไม้ตะเคียนตามเดิม

พระหลวงตานินทาพระเรวตะ
ในขณะที่พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พักที่ป่าไม้ตะเคียนนั้น มีพระชรา 2 รูป ร่วมคณะอยู่ด้วย ท่านทั้งสองนั่งสนทนากันว่า “พระเรวตะ ทำการก่อสร้างอารามยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จะมีเวลาบำเพ็ญสมณธรรมได้อย่างไร แม้แต่พระเชตะวันกับพระเวฬุวันก็ยังสู้อารามนี้ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคคงจะเห็นแก่หน้าว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรอัครสาวกจึงเสด็จมาเยี่ยม”

พระผู้มีพระภาคทรงทราบวาระจิตของพระชราทั้ง 2 รูป นั้นด้วย และทรงดำริว่า “ถ้าอยู่นานก็จะเป็นการรบกวนพระเรวตะ เพราะปกติพระภิกษุผู้อยู่ป่าย่อมต้องการความสงบ” แล้วจึงเสด็จกลับ พร้อมกันนั้นได้ทรงอธิษฐานให้พระหลวงตาทั้ง 2 รูป ลืมของใช้ส่วนตัวไว้ เมื่อตามเสด็จออกมาพ้นเขตอารามแล้ว พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์อธิษฐานพระภิกษุชราทั้ง 2 รูป พอนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้จึงพากันรีบกลับไปเอาแต่ทว่าคราวนี้สภาพหนทางและกุฏีที่พักอาศัยหายไปทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นป่าไปหมด พบของตนแขวนอยู่ที่ต้นตะเคียนบ้าง อยู่บนตอตะเคียนบ้าง สร้างความประหลาดใจแก่หลวงตาทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ที่พระเรวตเถระอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานาน ท่านได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิกกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้อยู่ป่าท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย