ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
อุปมาโวหารที่ปรากฏในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
ประเทือง ทินรัตน์
บทคัดย่อ
บทความเรื่อง อุปมาโวหารที่ปรากฏในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้เรื่องอุปมาโวหารที่พบได้ในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
โดยได้รวบรวมตัวอย่างอุปมาโวหารจากคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา มณฑลที่10
ฉบับภาษาสันสกฤตที่มีอรรถกถาของสายนาจารย์ และได้อาศัยฉบับของ H.H Wilson
เป็นฉบับประกอบ นอกจากนี้ยังได้อาศัยคำแปลและคำอธิบายของศาสตราจารย์ วีเรนทร์ กุมาร
วรมา (Professor Dr. Virendra Kumar Varma) ประกอบการพิจารณาด้วย
การศึกษาค้นคว้าและรวบรวมอุปมาโวหารดังกล่าวช่วยให้ได้พบอุปมาโวหาร
โดยเน้นเฉพาะในมณฑลที่ 10 จำนวน 80 ประการ อุปมาที่พบประกอบด้วยสิ่งต่างๆ
อย่างหลากหลาย เช่น เทพเจ้า ธรรมชาติ พระราชา ผู้คนในตำแหน่งฐานะและอาชีพต่างๆ
สัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง แมลง รถศึก เรือ สิ่งของที่เป็นอุปกรณ์และเครื่องใช้ เป็นต้น
จึงเห็นได้ว่าชาวอารยันอินเดียโบราณมีความสามารถในการมองหาสิ่งต่างๆ
มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนกำลังถ่ายทอดเพื่อทำให้สารที่ตนส่งไปถึงผู้รับสารนั้นมีความชัดเจน
และเป็นที่เข้าใจได้ถูกต้อง และอุปมาโวหารจะช่วยให้การสื่อสารประสบความสำเร็จ
อุปมาที่พบนั้นบางอย่างอาจจะแตกต่างไปหรือไม่มีในวรรณคดีสันสกฤตสมัยหลัง เช่น
อุปมาฤษีหิรัณยสตูปะ และอุปมาสตรีที่เกิดความกำหนัด เป็นต้น
แต่อุปมาบางอย่างที่พบบ่อยในวรรณคดีสันสกฤตสมัยหลัง ก็ไม่มีในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
เช่น อุปมาสัตว์ร้ายขนาดใหญ่คือ ราชสีห์ หรือ เสือโคร่ง เป็นต้น พบเฉพาะสัตว์ประเภท
หมาป่าเท่านั้น
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาเขตของชาวอารยันในยุคนั้นไม่มีสัตว์ร้ายดังกล่าว
หรือชาวอารยันอาจจะยังขยายอำนาจไปไม่ถึงบริเวณที่มีสัตว์เหล่านั้น
คัมภีร์พระเวทเป็นเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดฉบับหนึ่งของโลก คำว่าเวท
มาจากรากศัพท์ในภาษาสันสกฤตว่า วิทฺ แปลว่า รู้
หมายถึงความรู้ที่รวบรวมไว้ในบรรดาหนังสืออันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
หนังสือเหล่านี้เรียกคัมภีร์พระเวท
ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ทางวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
คัมภีร์พระเวทได้รับการสอนหรือสืบทอดต่อกันมาตลอดยุคอันยาวนานของชนชาติอารยัน
ในฐานะที่เป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุด
คัมภีร์พระเวทยังคงครองความโดดเด่นอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก
ชาวอารยันนับล้านคนนับถือคัมภีร์พระเวทว่าเป็นงานของพระเจ้าและนับถือว่าเป็นทิพยวิชาที่ฤษียุคโบราณได้ค้นพบ
ฤษีผู้ค้นพบความรู้เหล่านั้น เรียกว่า ฤษีแห่งพระเวท (Seers of the Vedas)
คัมภีร์พระเวทประกอบด้วยวิชาการทุกประเภทของฮินดู เช่น แนวคิดทางศาสนา
แนวคิดทางสังคมและแนวคิดทางปรัชญา เป็นต้น
วิถีชีวิตของชาวอินเดียมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์พระเวท
การศึกษาวัฒนธรรมอินเดียจึงต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องพระเวท
ตำนานเรื่องการแบ่งคัมภีร์พระเวท
มีความเชื่อสืบกันมาว่าเดิมพระเวทรวมกันอยู่เป็นคัมภีร์เดียว
ครั้นล่วงมาถึงยุคที่สองของโลก คือ ทวาปรยุค
ซึ่งเชื่อกันมาว่าเป็นยุคที่มีคนดีและคนไม่ดีจำนวนเท่ากัน คือ คนดีมี 2 ส่วน
และคนไม่ดีมี 2 ส่วน ได้มีมหาฤษีชื่อ วยาสะ แบ่งคัมภีร์พระเวทเป็น 4 คัมภีร์คือ
คัมภีร์ฤคเวท คัมภีร์ยชุรเวท คัมภีร์สามเวท และคัมภีร์อถรรวเวท
แล้วนำไปสอนศิษย์ซึ่งเป็นฤษีจำนวน 4 ตน ดังนี้ สอนคัมภีร์ฤคเวทให้แก่ฤษีไปละ
(Paila) สอนคัมภีร์ยชุรเวทให้แก่ฤษีไวศัมปายนะ (Vaiśampāyana)
สอนคัมภีร์สามเวทให้แก่ฤษีไชมินิ (Jainini) และสอนคัมภีร์อถรรวเวทให้แก่ฤษีสุมันตุ
(Sumantu)
คัมภีร์พระเวทในฐานะวรรณคดี
เมื่อกล่าวถึงวรรณคดีโบราณของอินเดีย
รู้กันโดยทั่วไปว่าวรรณคดีแบ่งเป็นหมวดใหญ่จำนวน 2 หมวด คือ วรรณคดีพระเวท (Vedic
Literature) และวรรณคดีหลังยุคพระเวท (Post-Vedic Literature)
วรรณคดีพระเวทประกอบด้วยสังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ อุปนิษัท
เวทางคะและอนุกรมณี
ส่วนวรรณคดีหลังยุคพระเวทประกอบด้วยวรรณคดีนักแต่งในสมัยหลังยุคพระเวท
วรรณคดีของพระพุทธศาสนา และวรรณคดีของศาสนาเชน
วรรณคดีพระเวทจริง ๆ คือ สังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัท
แต่ส่วนที่เป็นเวทางคะและอนุกรมณี นั้นเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระเวท
ในที่นี้จะเสนอไว้เฉพาะสังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัท
พอเป็นที่เข้าใจเท่านั้น
สังหิตาเป็นจุดเริ่มต้นของวรรณคดีอินเดียและเป็นที่มาของคัมภีร์พราหมณะ
คัมภีร์อารัณยกะ และคัมภีร์อุปนิษัท สังหิตาแบ่งเป็น 4 คัมภีร์ดังนี้
1. ฤคเวทสังหิตา เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุด เป็นการรวบรวมบทสวด(Hymns)
เอาไว้จำนวน 1,028 บท เพื่อใช้สำหรับสวดสรรเสริญเทพเจ้าในยัชญพิธี
บทสวดเหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของชาวอารยัน เช่น ชีวิตประจำวัน
ศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ เป็นต้น ภาษาที่ใช้ในการประพันธ์เป็นภาษาสันสกฤตสมัยพระเวท
(Vedic Sanskrit) ซึ่งมีความเก่าแก่กว่าภาษาสันสกฤตมาตรฐาน (Classical Sanskrit)
คัมภีร์ฤคเวทสังหิตาแต่งเป็นบทประพันธ์ร้อยกรอง
คำประพันธ์ที่ใช้เป็นฉันท์ยุคโบราณหลายชนิด คัมภีร์ฤคเวทสังหิตาแบ่งเป็นเล่ม
แต่ละเล่มเรียกว่า มณฑล (Mandala) มีทั้งหมดจำนวน 10 มณฑล
2.
ยชุรเวทสังหิตา เป็นคัมภีร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องระเบียบพิธีบูชายัญ
แต่งเป็นร้อยแก้ว แบ่งเป็น 2 คัมภีร์คือ กฤษณยชุรเวทสังหิตา (ยชุรเวทดำ)
และศุกลยชุรเวทสังหิตา (ยชุรเวทขาว)
มีตำนานอยู่หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของยชุรเวทสังหิตาทั้งสอง
แต่ความหมายของคำว่าดำ และขาว ในทางปฏิบัติหมายถึงปักษ์ข้างแรมและปักษ์ข้างขึ้น
กล่าวคือคัมภีร์ยชุรเวทดำใช้สำหรับสวดในพิธีในวันสุดท้ายของปักษ์ข้างแรม
ส่วนคัมภีร์ยชุรเวทขาวใช้สวดในพิธีในคืนพระจันทร์เต็มดวง
3. สามเวทสังหิตา เป็นคัมภีร์แห่งบทเพลง
มีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกเสียงเป็นทำนองที่ใช้ในการสวดแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ปูรวจิกะ
(ตอนต้น) และอุตตรจิกะ (ตอนปลาย)
บทสวดบางส่วนในคัมภีร์นี้คัดลอกมาจากคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
4. อถรรวเวทสังหิตา เป็นคัมภีร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำอำนวยพรแก่ญาติมิตร
และคำสาปแช่งคนที่เป็นศัตรู แต่งเป็นร้อยกรอง ประกอบด้วยฉันท์จำนวน 6,015 บท
และฉันท์ประมาณร้อยละ 50 คัดลอกมาจากคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
ความสำคัญของคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
คัมภีร์ฤคเวทสังหิตามีความสำคัญพอสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1. เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาคัมภีร์สังหิตาทั้งหมด
2. ได้รับการเอ่ยถึงก่อนคัมภีร์อื่นเสมอเมื่อกล่าวถึงคัมภีร์พระเวท
3. คัมภีร์สังหิตาอื่นๆ ได้คัดลอกบทประพันธ์จากฤคเวทสังหิตาไม่มากก็น้อย
4. วรรณคดีที่เกี่ยวเนื่องด้วยคัมภีร์พระเวทมักจะอ้างหลักฐานจากคัมภีร์ฤคเวทสังหิตาเสมอ
5. นักวิชาการยุคใหม่ที่ศึกษาคัมภีร์พระเวทถือว่าคัมภีร์ฤคเวทสังหิตามีความสำคัญในฐานะที่เป็นหลักฐานข้อมูลที่สำคัญของเรื่องราวต่างๆ เช่น เทพปกรณัมของอินเดีย เป็นต้น
ลักษณะบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
จากการศึกษาเนื้อหาในคัมภีร์ฤคเวทพบว่า บทสวดในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตาสามารถแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. บทสวดที่เกี่ยวกับศาสนา (Religious Hymns) มีเนื้อหาเป็นการสรรเสริญเทพองค์ต่างๆ ของชาวอารยันซึ่งมีอยู่ทั่วไปในทุกมณฑล
2. บทสวดที่เกี่ยวกับปรัชญา (Philosophical Hymns) เป็นบทสวดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความคิดเรื่องจักรวาล การสร้าง การดำรงอยู่ และการสิ้นโลกและจักรวาล ความคิดเกี่ยวกับเรื่องพระเป็นเจ้าตลอดจนเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นต้น บทสวดประเภทนี้ส่วนมากจะอยู่ในมณฑลที่ 10 ซึ่งเชื่อกันว่าแต่งขึ้นภายหลังมณฑลอื่นๆ
3. บทสวดที่เกี่ยวกับสังคมทั่วไป (Secular Hymns) มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของคนทั่วไปในสังคมของชาวอารยัน เช่น การมีครรภ์ การเกิด การแต่งงาน การรักษาโรค การพนัน การป้องกันลางร้าย รวมไปถึงการกำจัดผู้ที่เป็นศัตรูคู่แข่ง เป็นต้น บทสวดประเภทนี้ส่วนใหญ่ปรากฏอยู่ในมณฑลที่ 10
เทพและเทวีในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
เทพและเทวีองค์ต่างๆ ที่ชาวอารยันบูชาและสวดสรรเสริญในยุคพระเวทนั้นปรากฏอยู่ในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตาทุกมณฑล ได้แก่ พระอินทร์ พระอัคนี พระวรุณ พระอัศวิน พระสวิตฤ พระสูรยะ พระวายุ พระยม พระพฤหัสบดี กลุ่มเทพอาทิตยะ พระเวนะ เทพีราตรี เทพีอุษา เทพีศจี เทพีศรัทธา เทพีอรัณยานี และกลุ่มเทพวิศเวเทวา เป็นต้น
อุปมาโวหารในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตา
เนื่องจากคัมภีร์ฤคเวทสังหิตามีความยาวมาก (10 มณฑล) ในการศึกษาเนื้อหาด้านต่างๆ ของคัมภีร์นี้จะต้องใช้เวลานาน แม้จะศึกษาเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวก็ต้องใช้เวลานาน เรื่องอุปมาโวหารก็เช่นเดียวกัน หากจะศึกษาให้ครบทั้ง 10 มณฑลก็ต้องใช้เวลานาน ผู้เขียนจึงขอเสนอเฉพาะอุปมาโวหารในมณฑลที่สิบเท่านั้น ส่วนในมณฑลอื่นๆ หากมีโอกาสจะได้นำมาเสนอภายหลัง
อุปมาโวหารเป็นวิธีการพูดหรือเขียนที่ผู้ส่งสารใช้โดยการยกเอาบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของ เป็นต้น มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่กำลังกล่าวถึงอยู่ สิ่งที่ยกมาเปรียบเทียบเรียกว่าอุปมา
บทความนี้มีจุดประสงค์ให้ผู้อ่านได้เห็นว่าชาวอารยันอินเดียสมัยโบราณเมื่อ2,000 3,000 ปีล่วงมาแล้วมีวิธีการใช้อุปมาโวหารอย่างไร เมื่อต้องการให้ผู้รับสารเข้าใจเรื่องที่ส่งสารอยู่ได้ชัดเจนเขาจะนึกถึงสิ่งใดแล้วยกมาเป็นอุปมา
หมวดอุปมาที่พบ
อุปมาที่พบในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตาสามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้ 80 หมวด ได้แก่
จะเห็นว่าอุปมาในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตานั้นมีหลากหลาย
แสดงให้เห็นว่าชาวอารยันอินเดียในสมัยพระเวทเป็นคนช่างเปรียบเทียบเพื่อให้การสื่อสารของตนมีความชัดเจน
อุปมาที่พบมีทั้งเทพเจ้า ธรรมชาติ บุคคลฐานะต่างๆ อาชีพต่างๆ สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า
สัตว์ปีก แมลง อุปกรสิ่งทอ ยานพาหนะทั้งทางบกและทางน้ำ
ตัวอย่างการใช้อุปมาโวหาร
เนื่องจากอุปมาโวหารจากมณฑลที่10 ในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตามีอยู่เป็นจำนวนมาก
อุปมาเหล่านี้มีการใช้ไม่เท่ากัน
อุปมาบางอย่างมีการใช้เปรียบเทียบหลายครั้งแต่บางอย่างมีการใช้เพียงครั้งเดียว
ดังนั้นผู้เขียนจะยกตัวอย่างอุปมาที่มีการใช้เปรียบเทียบตั้งแต่ 3
ครั้งขึ้นไปมานำเสนอเป็นข้อๆ โดยอ้างหมายเลขบทสวดหรือ สูกตะ (Hymn)
และหมายเลขของบทประพันธ์หรือบทมนตร์ (Metre) ในบทสวดนั้นๆ กำกับไว้ในวงเล็บ
ตัวอย่างเช่น (106.5) หมายถึงอุปมาโวหารมาจากบทสวดบทที่ 106
ซึ่งปรากฏในบทมนตร์บทที่ 5 ในบทสวดนั้น ดังต่อไปนี้
อุปมาพระอินทร์
1) เหล่าวีรบุรุษนักรบได้รับการขอร้องให้แสดงวีรกรรมประดุจพระอินทร์
(103.6)
2) พระสวิตฤดำรงอยู่ในสมรภูมิประดุจพระอินทร์ (139.3)
3)
พระราชาได้รับการถวายพระพรให้ดำรงในราชสมบัติอย่างมั่นคงประดุจพระอินทร์ (173.2)
อุปมาพระอาทิตย์และพระจันทร์
1) เทพอัศวินประทานอาหาร (ให้มนุษย์) ประดุจพระอาทิตย์และพระจันทร์
(106.1)
2) เทพอัศวินทรงความงามดุจพระจันทร์ (106.8)
3)
พระอินทร์ได้ยึดเอาสมบัติของพวกอสูรไปประดุจพระอาทิตย์ใช้ให้เดือนฤดูร้อนยึดเอาความร้อนไปจากโลก
(138.4)
4)
ม้าตารกษยะปล่อยน้ำให้กระจายไปแก่ผู้คนในโคตรตระกูลทั้งห้าประดุจพระอาทิตย์ใช้ความร้อนปล่อยน้ำให้กระจายไปในฤดูฝน
(178.3)
อุปมาพระราชา
1) เทพอัศวินบำรุงเลี้ยงผู้ที่บูชาตนประดุจพระราชา 2
พระองค์ทรงช่วยเหลือประชากรของพระองค์ (106.4)
2)
หัวหน้าหมู่บ้านผู้ให้เครื่องทักษิณาทานย่อมได้รับการยกย่องประดุจพระราชาในท่ามกลางหมู่ชน
(107.5)
3) เทพอัศวินเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ประดุจพระราชา 2 พระองค์ผู้ทรงมีความสุข
(143.6)
อุปมาวีรบุรุษนักรบ
1) เทพอัศวินเปรียบประดุจวีรบุรุษนักรบผู้แข็งแกร่งสองคน (106.7)
2)
พระสวิตฤได้รับการอ้อนวอนให้มายังผู้ที่สวดสรรเสริญประดุจวีรบุรุษนักรบไปยังม้าศึกเพื่อออกสู้รบ
(149.4)
3)
บทสวดได้ปลุกเร้าพระอัคนีประดุจวีรบุรุษนักรบปลุกเร้าม้าศึกที่ประเปรียวในสมรภูมิ
(156.1)
อุปมาแม่โค
1)
ดวงหทัยของเทพเจ้าได้รับการอ้อนวอนให้ประทานสิ่งที่น่าปรารถนามาให้ประดุจแม่โคตัวใหญ่ที่มีน้ำนมเป็นอันมากให้นมอยู่
(101.9)
2)
คำสวดสรรเสริญของผู้ประกอบยัชญพิธีดังไปถึงพระอินทร์ประดุจแม่โคที่ส่งเสียงร้องไปยังลูกโค(119.4)
3)
ใจของสามีได้รับการเรียกร้องให้แล่นไปตามภรรยาของตนประดุจแม่โคกำลังแล่นไปตามลูกโค
(145.6)
4)
พระสวิตฤได้รับการอ้อนวอนให้มายังผู้ประกอบยัชญพิธีประดุจแม่โคที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในป่าเดินไปยังหมู่บ้านโดยเร็ว
(149.4)
5)
เทพอัศวินได้รับการอ้อนวอนให้มารับเครื่องสังเวยในยัชญพิธีประดุจแม่โคที่หิวกำลังกินหญ้าจากทุ่งหญ้า
(149.4)
6)
ผู้สวดสรรเสริญได้สร้างบทสวดสรรเสริญแด่เทพีราตรีประดุจให้แก่แม่โคที่ให้นมมาก
(127.8)
7)
พระสวิตฤได้รับการอ้อนวอนให้มายังผู้สวดสรรเสริญประดุจแม่โคนมพันธุ์ดีที่พร้อมจะให้นมกำลังร้องและไปยังลูกโค
(149.4)
อุปมาโคถึกและโคจ่าฝูง
1) พระอินทร์เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแก่ศัตรูทั้งหลายประดุจโคจ่าฝูง
(103.1)
2) เทพอัศวินมายังผู้ประกอบยัชญพิธีประดุจโคถึกไปยังทุ่งหญ้า (106.2)
3)
พระอัคนีผู้ประกอบยัชญพิธีอันดีเคลื่อนเข้าหาเครื่องสังเวย
ประดุจโคจ่าฝูงที่สุขภาพดีและมีพละกำลัง กำลังเคลื่อนที่เข้าสู่ทุ่งหญ้า (115.2)
4) เทพอัศวินมีอวัยวะอันแข็งแกร่งประดุจโคจ่าฝูง 2 ตัว
ที่มีพละกำลังที่เคลื่อนที่ไปมาด้วยความร่าเริง (106.5)
5) พระอินทร์เป็นผู้กำจัดการกระทำของเหล่าศัตรูประดุจโคจ่าฝูงที่เผชิญหน้าศัตรู
(116.4)
อุปมาม้า
1) เทพอัศวินมายังที่สวดสรรเสริญประดุจม้าศึก 2
ตัวกำลังไปเพื่อชัยชนะต่อข้าศึก (106.2)
2) เทพอัศวินทรงพลังเพราะได้รับเครื่องสังเวยประดุจม้า 2
ตัวมีพละกำลังเพราะได้กินหญ้า (106.5)
3)
น้ำโสมที่พระอินทร์ทรงดื่มทำให้พระองค์ทรงพลังขึ้นไปประดุจม้าประเปรียวลากรถศึกไป
(119.3)
4) ปิศาจผู้ทรงพลังครั้นจับฤษีอตริผูกมัดไว้แล้วก็ลากไปประดุจม้าตัวประเปรียว
5) เทพอัศวินช่วยฤษีอตริให้รอดพ้น (จากการถูกปิศาจจับ)
และให้ไปตามปรารถนาของตนประดุจม้า (143.1)
6) น้ำโสมอันเป็นอมฤตไปสู่พระอินทร์ประดุจม้า (144.1)
7) พระสวิตฤรีดนมจากแม่โคที่ถูกล่ามไปบนสวรรค์ประดุจม้าที่กำลังสั้นเทิ้ม
(149.1)
อุปมารถศึก
1) รถศึกอันว่องไวของเทพอัศวินเข้ามาใกล้เทพอัศวิน
ประดุจรถศึกของผู้ฉลาดเข้ามาใกล้เจ้าของ (106.7)
2) สายแห่งเปลวเพลิงจากพระอัคนีมองเห็นได้ประดุจแถวรถศึกจำนวนมาก (142.8)
3)
เทพอัศวินได้ทำให้ฤษีกักษีวานกลายเป็นคนใหม่ประดุจรถศึกที่ได้รับการซ่อมแซมดีแล้ว
(143.1)
4) พระอัศวินส่องสว่างดุจรถศึก (ของพระอาทิตย์) (176.3)
อุปมาอื่น ๆ แม้จะมีการใช้ไม่ถึง 3 ครั้ง ในมณฑลที่ 10
แต่อาจจะมีใช้หรือปรากฏในมณฑลอื่น ๆ
และเป็นอุปมาที่น่าสนใจยังมีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อุปมาสามี
พระสวิตฤได้รับการอ้อนวอนให้มายังผู้สวดสรรเสริญ ประดุจสามีไปหาภรรยาของตน
(149.4)
อุปมาสตรี
1)
ภรรยาของฤษีมุทคละมีความเพลิดเพลินประดุจสตรีถูกสามีทอดทิ้งแล้วได้สามีกลับมาสมปรารถนา
(102.11)
2) เทพประจำทวารได้รับการอ้อนวอนให้เปิดทางประดุจสตรีเปิดทางให้แก่สามีของนาง
(110.5)
อุปมาคนปลูกข้าวบาร์เลย์
พระอินทร์ได้รับคำอ้อนวอนให้ประทานทรัพย์สมบัติให้ผู้อุปถัมภ์ยัชญพิธีแต่ละคน
ประดุจคนปลูกข้าวบาร์เลย์เก็บเกี่ยวต้นข้าวบาร์เลย์ทีละต้น (131.2)
อุปมาช้าง
เทพอัศวินเป็นผู้สังหารศัตรูประดุจช้างเมามันที่ทรงพลังกำลังโน้มอวัยวะลง
(106.6)
อุปมาลูกศร
ไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบความเร็วของม้าตารกษยะประดุจไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบความเร็วของลูกศรที่แล่นมาถูกเป้าหมาย
(178.3)
อุปมาหนี้
อุษาเทพีได้รับคำอ้อนวอนให้ขจัดความมืด ประดุจคนใช้ทรัพย์ขจัดหนี้สิน
(127.7)
อุปมาสตรีผู้มีความกำหนัด
น้ำทั้งหลายไหลไปสู่มหาสมุทรประดุจสตรีผู้มีความกำหนัดไปสู่สามีของนาง
(111.10)
อุปมาผู้ปกป้องตระกูล
พราหมณ์ผู้สวดนั่งล้อมรอบพระอินทร์
ประดุจผู้ปกป้องตระกูลนั่งล้อมรอบหัวหน้าตระกูลในเวลาที่หัวหน้าพร้อมจะออกไป
(179.2)
อุปมาสุนัขป่า
พระอินทร์ได้รับการสวดอ้อนวอนให้บังคับบุรุษที่ประพฤติตนเยี่ยงสุนัขป่าให้มาอยู่ใต้อุ้งเท้าของผู้สวดอ้อนวอน
(133.4)
ตัวอย่างบทสวดที่มีอุปมาโวหาร
แปลโดยยกศัพท์
ตมสฺ = ความมืด
กฤษฺณมฺ = สีดำ
เปปิศตฺ = อันครอบคลุมทุกสิ่ง
อุป อสฺถิต = เข้ามาใกล้
มา = ข้าพเจ้า
วฺยกฺตมฺ = อย่างล้นเหลือ
อุษ = ข้าแต่อุษาเทพี
ยาตย = ขอพระองค์โปรดกำจัด (ความมืดนั้น)
ฤณา อิว = เพียงดังขจัดหนี้ ด้วยเถิด
แปลโดยยกศัพท์
สวิตา = ขอพระสวิตฤ
ธรฺตา = ผู้ทรงไว้
ทิวสฺ = ซึ่งสวรรค์
วิศววารสฺ = ผู้เป็นที่ปรารถนาของคนทั้งปวง
นฺเยตุ = จงมา
นสฺ = ยังข้าพเจ้าทั้งหลาย
คาวสฺ อิว = เพียงดังโค
คฺรามมฺ = ไปยังหมู่บ้าน ยูยุธิสฺ
อิว = เพียงดังนักรบ
อศฺวานฺ = ไปยังม้า
ทุหานา อิว = เพียงดังแม่โคนม
วาศฺรา = ที่ส่งเสียงร้อง
สุมนา = ที่ใจดี
วตฺสมฺ = ไปยังลูกโค
ปติสฺ อิว = เพียงดังสามี
ชายามฺ อภินสฺ = มุ่งหน้าไปสู่ภรรยา
ฉะนั้น สรุป อุปมาโวหารในคัมภีร์ฤคเวทสังหิตามีอยู่หลากหลาย เนื่องจากคัมภีร์ดังกล่าวมีจุดประสงค์เป็นบทสวดอ้อนวอนเทพของชาวอารยันและในอุปมาโวหารซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นอุปมาและอุปไมย ส่วนใหญ่อุปไมยจึงเป็นเทพองค์ต่างๆ ที่ปรากฏในบทสวด ส่วนที่เป็นอุปมานั้นผู้แต่งได้ยกมาจากที่อื่นเป็นส่วนใหญ่ เช่น เทพ บุคคล สัตว์ สถานที่ สิ่งของ เหตุการณ์ รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดที่ชาวอารยันโบราณมองเห็นและนึกได้หรือเคารพบูชาอยู่ในชีวิตประจำวัน อุปมาบางอย่างที่พบได้ในสมัยนั้นอาจจะไม่มีหรือไม่นิยมในสมัยหลัง เช่นอุปมาเรื่องหนี้สิน อุปมากระสวยทอผ้า เป็นต้น แต่อุปมาบางส่วนพบบ่อยในสมัยหลังแต่ไม่พบในสมัยพระเวท เช่น อุปมาราชสีห์ หรืออุปมากา เป็นต้น
บรรณานุกรม
- Macdonell, A.A. and Keith, A.B. 1982. Vedic Index of Names and Subjects. 2 vols. Delhi: Motilal Banarsidass.
- Mani, Vettam. 1984. Puranic Encyclopedia. Delhi: Motilal Banarsi- Dass.
- Muller, F. Max. 1968. A History of Ancient Sanskrit Literature. Varanasi: Chowkhambha Publications.
- Rgveda-Samhitā. 1983. 5 vols. 2d ed. Poona: Vaidika Samsodhana Mandala.
- Whitney, William Dwight. 1983. The Roots, Verb-Forms. Delhi: Motilal Banarsidass.
- Wilson, H.H. 1978. Rgveda Samhitā. Delhi: Nag Publishers.