เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
ดิน
โครงการตามพระราชดำริ
ส่วนประกอบของดิน
ดินกับการเจริญเติบโตของพืช
ดินเค็ม
ดินเปรี้ยว
กระบวนการสร้างดินทางธรณีวิทยา
กระบวนการสร้างดินทางปฐพีวิทยา
วิธีการ "แกล้งดิน" ตามพระราชดำริ
ดินทราย
ประโยชน์ของการปลูกพืชคลุมดิน
การใช้ปุ๋ย
ดินเสี่อมโทรม
แนวพระราชดำริด้านการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรดิน
การพัฒนาที่ดินตามแนวทางเกษตรยั่งยืน
การศึกษาวิจัยการพัฒนาด้านพันธุ์พืชและเทคโนโลยีการพัฒนาการเกษตร
การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่
การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่
เป็นการปรับพื้นที่ให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริเรื่องแหล่งน้ำ
และเรื่องทฤษฎีใหม่
ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติในการทำการเกษตรผสมผสานของเกษตรกรที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนน้อย
(10-15 ไร่) เพื่อเป็นรูปแบบตัวอย่างแก่เกษตรกร หรือผู้ที่สนใจ
ได้เกิดแนวความคิดนำไปปฏิบัติต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนา
หาซื้อที่ดินติดกับวัดชัยมงคล ตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
เพื่อให้มูลนิธิชัยพัฒนาทดสอบทฤษฎีใหม่ในดินแห้งแล้งและขาดธาตุอาหารโดยใช้ วัด
เป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมือระหว่างชาวบ้าน และราชการหน่วยงานต่างๆ ซึ่ง 4 ปี
ต่อมา ก็ได้ผลยืนยันได้ว่า การพัฒนาทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม
ตามหลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พื้นที่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่จะต้องมีเฉลี่ยราว 10-15 ไร่ต่อครอบครัว
ควรทำการแบ่งพื้นที่ทั้งหมดดังนี้
- 30% ขุดสระน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร
- 30% นาข้าว
- 30% พืชไร่ พืชสวน
- 10% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผักสวนครัว ถนน คันคูดิน หรือคูคลอง
จากสัดส่วนในการแบ่งพื้นที่ต้นแบบมงคลชัยพัฒนา คือ 30:30:30:10 ทางศูนย์ฯ
ได้นำแนวความคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ในลักษณะใกล้เคียงกัน
ขึ้นกับสภาพปัญหาแต่ละพื้นที่
สำหรับการแบ่งพื้นที่ที่เป็นตัวอย่างให้กับเกษตรกรในหมู่บ้านรอบบริเวณศูนย์ ฯ
เป็นแบ่ง 2 พื้นที่ดังนี้
พื้นที่ที่ 1. พื้นที่บ้านเกษตรกรตัวอย่างของศูนย์ฯ
ซึ่งอยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำตัวที่ 12 (อ่างห้วยเจ๊ก) มีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่
เนื้อดินเป็นดินทรายจัดอยู่ในชุดจันทึก (กลุ่มที่ 44)
ขอบพื้นที่ด้านตะวันออกติดกับคลองระบายน้ำล้นจากอ่างเก็บน้ำ
สภาพพื้นที่มีความลาดเทประมาณ 3-5 เป็อร์เซนต์
เดิมได้จัดให้เกษตรกรตัวอย่างเข้าอยู่อาศัยทำกิน
ต่อมาภายหลังได้ปรับพื้นที่ให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริเรื่องแหล่งน้ำและทฤษฎีใหม่
โดยมีสัดส่วนในการแบ่งพื้นที่ คือ 20:20:50:10
เนื่องจากพื้นที่อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำและเนื้อดินเป็นทรายจัด ดังนั้น
ทางระบายน้ำล้นจึงมีน้ำซึมซับให้เก็บกักไว้พอใช้ได้ตลอดปี ศูนย์ฯ
ได้เลือกพื้นที่แห่งนี้เป็นตัวอย่างเพราะเดิมเป็นบ้านเกษตรกรตัวอย่างอยู่แล้ว
และเป็นพื้นที่ต่ำท้ายอ่างเก็บน้ำ สามารถที่จะมองเห็นลักษณะการใช้พื้นที่ได้ชัดเจน
สะดวกต่อการบรรยายสรุปในการศึกษาดูงานให้เห็นองค์ประกอบหลักตามแนวพระราชดำริ
ที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ในลักษณะใกล้เคียงกัน
โดยได้จัดรูปแบบบ้านเกษตรกรตัวอย่าง ให้เป็นการทำการเกษตรผสมผสานอย่างยั่งยืน
เน้นการปรับปรุงโครงสร้างและความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นหลัก
ตลอดจนแสดงรูปแบบต่าง ๆ ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยไม่ใช้สารเคมี เช่น
ใช้สารสะเดา ตะไคร้หอม เป็นพืชไล่แมลง การใช้กาวดักแมลง การปลูกพืชสลับ
การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น เกษตรกรสามารถหมุนเวียนใช้แรงงาน
ในการผลิตพืชและสัตว์เพื่อบริโภคส่วนที่เหลือก็จำหน่ายเป็นรายได้ทั้งปี
สามารถใช้เป็นต้นแบบแก่ผู้สนใจและเกษตรกรทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรในหมู่บ้านบริเวณรอบศูนย์ฯ
ที่มีพื้นที่อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ซึ่งสภาพพื้นที่คล้าย ๆ กัน
ได้นำไปขยายผลในพื้นที่ของตนให้แพร่หลายต่อไป
วิธีการดำเนินงาน
ได้ดำเนินการจัดแบ่งพื้นที่บ้านเกษตรกรตัวอย่าง ซึ่งมีแรงงาน 2-3 คน
เนื้อที่ 10 ไร่ ตามองค์ประกอบของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ
แต่ปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพื้นที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ ดังนี้
- 20% แรก จัดเป็นพื้นที่แหล่งน้ำและเลี้ยงปลาประมาณ 2 ไร่
- 20% ที่สอง เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 2 ไร่
- 50% ที่สาม เป็นพื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน 5 ไร่
- 10% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัย และถนนภายในพื้นที่ 1 ไร่
พื้นที่ส่วนแรกเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ (20% ของพื้นที่)
ได้คัดเลือกพื้นที่ต่ำที่สุดติดกับทางระบายน้ำล้นจากอ่างเก็บน้ำ
ซึ่งมีน้ำซึมซับตลอดทั้งปี สามารถทำฝายทดน้ำเล็ก ๆ
กักน้ำไว้เติมในบ่อที่ขุดไว้โดยขุดลึก 4 เมตร จะได้ปริมาณกักเก็บน้ำประมาณ 12,800
ลูกบาศก์เมตร ดินที่ขุดขึ้นใช้ปรับบริเวณขอบคันบ่อน้ำ สวนป่า
บ้านพักอาศัยและถนนภายในพื้นที่ หลังจากกักเก็บน้ำไว้แล้ว
ได้ปล่อยปลาประเภทกินพืชเพื่อใช้บริโภคและเหลือพอจำหน่ายได้ผสมผสานหลายชนิดเช่น
ปลานิล ปลาตะเพียน และปลายี่สกเทศ และพื้นที่มุมบ่อด้านหนึ่งได้สร้างเล้าไก่ขนาด 3´
6 เมตร โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น เช่น เสาและโครงสร้างใช้ไม้ยูคาลิปตัส
พื้นและฝาใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก เลี้ยงไก่เนื้อครั้งละประมาณ 20 ตัว
เพื่อใช้ประโยชน์จากเศษพืชผักที่เหลือจากการบริโภคและจำหน่ายให้เป็นอาหารเสริมลดค่าใช้จ่ายตลอดจนถ่ายมูลลงในบ่อน้ำก่อให้เกิดแพลงตอนเป็นอาหารแก่ปลาที่เลี้ยงไว้และเพิ่มธาตุอาหารในน้ำเป็นปุ๋ยต่อนาข้าวหรือพืชที่จะสูบน้ำขึ้นไปหล่อเลี้ยง
ให้เกิดประโยชน์หมุนเวียนเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
บริเวณรอบบ่อที่ถมไว้ปรับพื้นที่ปลูกพืชผสมผสานต่างระดับ เช่น มะพร้าวน้ำหอม กล้วย
มะละกอ แค และพืชผักต่าง ๆ ได้ ส่วนขอบบ่อที่ขุดไว้ใหม่ ๆ
ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและใช้ใบของหญ้าแฝกคลุมโคนไม้ผลหรือแปลงพืชผักเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น
พื้นที่ส่วนที่สองประมาณ 2 ไร่ (20% ของพื้นที่)
อยู่ติดกับทางระบายน้ำและบ่อน้ำที่ขุดไว้
สามารถสูบน้ำขึ้นจากบ่อมาหล่อเลี้ยงได้โดยง่าย ใช้ประโยชน์เป็นนาข้าว
ซึ่งสามารถปลูกได้ถึง 2 ครั้ง โดยนาปีปลูกข้าวดอกมะลิ 105 นาปรังปลูกข้าวอายุสั้น
เช่น พันธุ์ชัยนาท 1 พันธุ์พิษณุโลก หรือสุพรรณบุรี 60
ซึ่งจะได้ผลผลิตเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในครอบครัว เรือน ซึ่งมีแรงงาน 2-3 คน
และยังมีช่วงเวลาเพียงพอที่จะปลูกพืชตระกูลถั่ว เพื่อเป็นการปรับปรุงดินได้อีก 1
ครั้ง ซึ่งในพื้นที่ตัวอย่างนี้ได้ใช้โสนอัฟริกันเป็นพืชสลับ
เนื่องจากให้ปริมาณอินทรียวัตถุสูง มีปมที่รากและตลอดลำต้น
ช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์และประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้อย่างมาก
และในพื้นที่ส่วนที่เป็นนาทำนี้ หากเป็นที่ลุ่มมีปริมาณน้ำมากเพียงพอ
ควรขุดร่องให้รอบและเลี้ยงปลาในนาข้าว
โดยจะก่อให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลกันในการที่ปลาจะกินแมลงศัตรูข้าว
และถ่ายมูลให้เป็นปุ๋ยแก่นาข้าวด้วย
พื้นที่ส่วนที่สาม เป็นการปลูกพืชผสมผสานเนื้อที่ 5 ไร่ (50%
ของพื้นที่) ไม้ผล เนื้อที่ 3.25 ไร่
ได้คัดเลือกพันธุ์ไม้ผลที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและพื้นที่ 5 ชนิด
ได้แก่มะม่วง กระท้อน ขนุน และส้มโอ
ซึ่งเป็นพืชที่สามารถอยู่ได้ในสภาพพื้นที่แห้งแล้ง ปริมาณฝนน้อย แปรปรวน ไม่แน่นอน
ระยะห่างระหว่างหลุม 8´ 8 เมตร ขุดหลุมขนาด 1´ 1 เมตร ลึก 1 เมตร
คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยหมักอัตรา 50 กก./หลุม เป็นพืชหลัก ปลูกแซมด้วยไม้ผลพุ่มกลาง เช่น
กล้วย มะละกอ ฝรั่ง และพืชพุ่มเล็ก เช่น พริก มะเขือ
เพื่อเป็นพืชรายได้ในช่วงที่พืชหลักยังไม่ให้ผลผลิต
พืชไร่เนื้อที่ 0.50 ไร่
ทำการไถพื้นที่ หว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 4 ตัน/ไร่ ไถพรวนแล้วยกร่องยาว
ตลอดทั้งพื้นที่เพื่อทำการปลูกพืชไร่ต่าง ๆ เช่น ข้าวโพดหวาน ถั่วลิสง ถั่วเขียว
หมุนเวียนสลับกันไปตลอดปี
พืชผัก เนื้อที่ 0.75 ไร่
ทำการไถพื้นที่หว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 8 ตัน/ไร่ ไถพรวนแล้วยกร่อง
เพื่อปลูกพืชผักหลายชนิด เช่นถั่วฝักยาว ผักคะน้า ผักกาดขาว กล่ำปลี ผักกวางตุ้ง
ผักบุ้ง ฯลฯ หมุนเวียนตลอดไปทั้งปี โดยจะใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก (มูลไก่เนื้อ)
คลุกเคล้าดินทุกครั้งก่อนปลูกใหม่
ไม้ดอก เนื้อที่ 0.25 ไร่
ทำการไถพื้นที่หว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 8 ตัน/ไร่ ไถพรวนแล้วยกร่องปลูกไม้ดอก
เช่น มะลิ กุหลาบ
สวนป่า เนื้อที่ 0.25 ไร่
เป็นพืชที่ปลูกสร้างสวนป่าและสวนสมุนไพร
ได้คัดเลือกไม้ป่าและไม้โตเร็วที่เหมาะสมกับพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ปลูกผสมผสานกันทั้งในบริเวณสวนป่าและบริเวณขอบเขตพื้นที่ ไม้ป่าดังกล่าว ได้แก่
สะเดา มะขามเปรี้ยว ตีนเป็ด ยางนา และมะค่าโมง ส่วนสมุนไพรที่ปลูกภายในสวนป่า
ได้แก่ สมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หรือคราวจำเป็น เช่น ขมิ้นชัน
เสลดพังพอน ฟ้าทะลายโจร พริกไทย เป็นต้น
พื้นที่ส่วนสุดท้าย โครงสร้างพื้นฐาน เนื้อที่ 1 ไร่ (10% ของพื้นที่)
เป็นพื้นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย และพืชผักสวนครัว
รวมทั้งถนนเพื่ออำนวยความสะดวกในพื้นที่
การจัดการน้ำของพื้นที่บ้านเกษตรกรตัวอย่าง
การใช้น้ำในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ใช้ 2 ลักษณะ คือในช่วงฤดูฝน
ได้อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก
ส่วนใหญ่ในช่วงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วงจะอาศัยน้ำจากบ่อน้ำที่ขุดไว้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงพื้นที่
โดยได้ทำฝ่ายทดน้ำเล็ก ๆ ในทางระบายน้ำล้นจากอ่างเก็บน้ำตัวที่ 12 (อ่างห้วยเจ๊ก)
ที่มีน้ำซึมตลอดปี ให้น้ำมีระดับสูงขึ้น
ซึ่งเพียงพอต่อการเติมให้กับบ่อที่ขุดไว้ให้พอใช้ได้ตลอดทั้งปี
อ่างเก็บน้ำตัวที่ 12 -------->ฝ่ายทดน้ำ -------> บ่อน้ำในแปลง
หลักการในการดำเนินการในพื้นที่บ้านเกษตรกรตัวอย่าง
- ดำเนินการเกษตรโดยยึดหลักธรรมชาติตามแนวทางไปสู่ระบบการเกษตรแบบยั่งยืน
- ทำการเกษตรแบบผสมผสานเน้นความหลากหลายของชนิดพืชเพื่อการบริโภคและลดการระบาดของแมลงศัตรูพืช
- เน้นการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากดินชุดที่จันทึกเป็นดินทรายจัดมีปริมาณอินทรียวัตถุ และความอุดมสมบูรณ์ของดินน้อยมาก
- ไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลง ปลูกพืชหมุนเวียน ใช้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ตะไคร้หอม ใช้กาวดักแมลง ใช้ไฟล่อแมลงให้เป็นอาหารปลา ฯลฯ เป็นต้น
ความขยันของเกษตรกร เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการดำเนินการเกษตร รูปแบบที่วางไว้เป็นการทำการเกษตรค่อนข้างประณีต ดังนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเกษตรกรที่ดำเนินการ จะต้องเป็นคนขยัน อดทน เอาใจใส่และมีการจัดการที่ดี จึงจะอยู่รอดและพึ่งพาตนเองได้
พื้นที่ที่ 2 พื้นที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวาย บ้านธารพูด ตำบลบ้านซ่อง อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 32 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา สภาพพื้นที่แห่งนี้เดิมเป็นนาน้ำฝน มีน้ำท่วมในฤดูฝน และขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เนื้อดินเป็นดินชุดมาบบอน (M6) กลุ่มดินที่ 35 มีเนื้อดินบนเป็นดินร่วนปนทราย ความลาดเทประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับพื้นที่แห่งนี้ ศูนย์ฯ ใช้สัดส่วน 30:20:30:20 เหตุที่ใช้พื้นที่ที่เป็นโครงสร้างฐานมากขึ้น เนื่องจากต้องใช้เป็นคันกั้นน้ำ ป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนนั่นเอง แต่บนคันกั้นน้ำดังกล่าวก็สามารถใช้ปลูกไม้ยืนต้นต่างๆ เช่น ไม้ผล ไม้ใช้สอย ไม้โตเร็ว และไม้บังลมได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่ของเกษตรกรในบริเวณใกล้เคียงเป็นจำนวนมากที่มีสภาพพื้นที่และขนาดการถือครองใกล้เคียงกัน สถานที่นี้จะได้เป็นเป็นต้นแบบให้ได้ศึกษาและนำไปใช้ในพื้นที่ของตน เป็นการขยายผลการดำเนินงานทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริต่อไป
ศูนย์ฯ ได้จัดแบ่งพื้นที่น้อมเกล้าฯ ถวายบ้านธารพูด ซึ่งมีแรงงาน 2-3 คน เนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ตามองค์ประกอบของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ แต่ปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพื้นที่ต่างๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่และแรงงาน ดังนี้
- 30% แรก เป็นพื้นที่แหล่งน้ำและเลี้ยงปลาประมาณ 10 ไร่
- 20% ที่สอง เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 6 ไร่ 2 งาน
- 30% ที่สาม เป็นพื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน 10 ไร่
- 20% สุดท้าย เป็นโครงสร้างพื้นฐาน 6 ไร่ 2 งาน
พื้นที่ส่วนแรกเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ (ร้อยละ 30 ของพื้นที่) จัดเป็นพื้นที่สำรองน้ำไว้ใช้โดยได้จัดทำเป็น 4 ลักษณะด้วยกัน คือ
- บ่อน้ำบ่อที่ 1 มีพื้นที่ 3 ไร่ ขุดลึก 4 เมตร เก็บกักน้ำได้ 19,200 ลูกบาศก์เมตร
- บ่อน้ำบ่อที่ 2 มีพื้นที่ 2 ไร่ ขุดลึก 4 เมตร เก็บกักน้ำได้ 12,800 ลูกบาศก์เมตร
- คูน้ำรอบพื้นที่ 4 ไร่ ขุดลึก 1.5 เมตร เก็บกักน้ำได้ 9,600 ลูกบาศก์เมตร
- ร่องน้ำระหว่างแถวไม้ผลในพื้นที่ลุ่มต่ำ เนื้อที่รวม 1 ไร่ ขุดลึก 1.5 เมตร เก็บกักน้ำได้ 2,400 เมตร
รวมปริมาณเก็บกักน้ำได้ทั้งหมด 44,000 ลูกบาศก์เมตร
ซึ่งแหล่งน้ำทั้งหมดได้ปล่อยปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน และกุ้งกราม
ไว้บริโภค และเหลือพอที่จะจำหน่ายเป็นรายได้ ส่วนดินที่ได้จากการขุดแหล่งน้ำต่างๆ
ได้ใช้เป็นคันกั้นน้ำรอบพื้นที่ ปรับพื้นที่บริเวณบ้านพักอาศัย
ปรับพื้นที่ขอบแหล่งน้ำตลอดจนใช้ถมยกร่องในที่ลุ่มให้พื้นน้ำท่วมในฤดูฝน
โดยรอบแหล่งน้ำทั้งหมดได้ปลูกหญ้าแฝก ไว้อย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน
และเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ของหญ้าแฝกได้อย่างชัดเจน
ตลอดจนได้ใช้เกี่ยวใบหญ้าแฝก เพื่อใช้คลุมโคนไม้ผลในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นด้วย
พื้นที่ส่วนที่ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน (ร้อยละ 20 ของพื้นที่)
เป็นพื้นที่ค่อนข้างลุ่มต่ำ มีน้ำท่วมในฤดูฝน ใช้ประโยชน์ในการทำเป็นนาข้าว
โดยปลูกปีละ 1 ครั้ง เป็นข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเมื่อเริ่มปลูกปีแรกๆ
ได้ผลผลิตประมาณ 30 ถังต่อไร่ รวมได้ผลผลิตข้าวเปลือก 200 ถัง
ซึ่งจะสีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 1,000 กก. เพียงพอต่อการบริโภคของแรงงาน 3 คน
ซึ่งเฉลี่ยบริโภคคนละ 200 กก./ปี รวมบริโภคข้าวสารเพียง 600 กก. ซึ่งในปีต่อๆ
มาได้ปรับปรุงบำรุงดินในช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยวข้าว
โดยได้ปลูกโสนอัฟริกันแล้วไถกลบ
ทำให้ดินเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุอาหารมากขึ้น
เมื่อดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นผลผลิตของข้าวในปีต่อๆ มาก็เพิ่มมากขึ้นจนขณะนี้ได้ประมาณ
40 ถังต่อไร่ ซึ่งจะได้ปริมาณข้าวสาร 1,300 กก. เหลือเพียงพอที่จะจำหน่ายได้
พื้นที่ส่วนที่ 3 เนื้อที่ 10 ไร่ (ร้อยละ 30 ของพื้นที่)
เป็นพื้นที่ปลูกพืชผสมผสานแต่โดยเหตุที่พื้นที่แห่งนี้มีแรงงานน้อยเพียง 2-3 คน
จึงเน้นหนักในด้านการปลูกพืชไม้ผล
ซึ่งใช้แรงงานไม่มากและใช้พันธุ์ที่ทดลองปลูกได้ผลภายในศูนย์ฯแล้วหลาย ๆ ชนิด
โดยมีเป้าหมายที่จะใช้เป็นแม่พันธุ์ในการขยายพันธุ์จำหน่ายจ่ายแจกให้แพร่หลายต่อไป
ไม้ผลบนที่ดอน พื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ปลูกไม้ผลผสมผสานหลายชนิด เช่น มะม่วง
ขนุน กระท้อน ส้มโอ มะขามเทศ ลำไย ปลูกระยะห่าง 8´ 8 เมตร
คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยหมักอัตรา 30 กก./หลุม ปลูกแซมด้วยชมพู่และมะเฟืองหวาน
ไม้ผลยกร่อง พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ เป็นพื้นที่ค่อนข้างลุ่ม น้ำท่วมในฤดูฝน
จึงขุดร่องน้ำขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร กั้นร่องกว้าง 8 เมตร
ปลูกไม้ผลผสมผสานระหว่างมะม่วง ส้มโอ มะกอกน้ำ ปลูกห่าง 8´ 8 เมตร
และปลูกแซมด้วยชมพู่และฝรั่ง
พืชผัก สวนครัว เนื้อที่ 1 ไร่ทำการไถพื้นที่หว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 8 ตัน/ไร่
ไถพรวนแล้วยกร่อง ปลูกพืชผัก พืชสวนครัว เพื่อไว้บริโภค เช่น พริกสด พริกขี้หนู
มะเขือเปราะ มะเขือยาว ถั่วพู ถั่วฟักยาว ฯลฯ หมุนเวียนตลอดไปทั้งปี
ไม้ป่า สมุนไพร เนื้อที่ 1 ไร่เป็นพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าและสวนสมุนไพร
ได้คัดเลือก ไม้ป่า
และไม้โตเร็วที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
เป็นป่าไม้ 3 อย่าง ตามพระราชดำริ ได้แก่ ไม้กินได้ ไม้ใช้สอย และไม้ก่อสร้าง
ปลูกผสมผสานกันไปทั้งพื้นที่ ไม้ป่าดังกล่าว ได้แก่ สะเดา กระถินณรงค์ ตีนเป็ด
มะขาวเปรี้ยว ยางนา ยางเหียง และประดู่ สำหรับสมุนไพรที่ปลูกภายในสวนป่า ได้แก่
สมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันหรือในคราวจำเป็น เช่น ฟ้าทะลายโจร
เสลดพังพอน หางจระเข้ ขมิ้นชัน กระชาย ลิ้นงูเห่า เป็นต้น
พื้นที่ส่วนสุดท้าย พื้นที่ 6 ไร่ 2 งานเป็นส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน
เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีสภาพพื้นที่น้ำท่วมในฤดูฝน
จำเป็นต้องใช้เนื้อที่โครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ถึง 4 ไร่ 2 งาน
ในการสร้างคันกั้นน้ำรอบพื้นที่ ซึ่งมีความยาวโดยรอบประมาณ 950 เมตร คันกว้าง 7.5
เมตร คันด้านนอกปลูกไม้ยืนต้น และไม้ใช้สอยเพื่อบังลมและป้องกันคันดินพัง ได้แก่
สะเดา มะกอกน้ำ และไม้ไผ่ คันด้านใน ปลูกมะพร้าวน้ำหอมสลับต้นหมาก
ปลูกแซมด้วยกล้วยน้ำว้าโดยรอบพื้นที่ พื้นที่ส่วนที่เหลือใช้ปลูกบ้าน
สร้างเรือนเพาะชำขนาด 6´ 12 เมตร เพื่อขยายพันธุ์ไม้ต่าง ๆ
รวมทั้งถนนเพื่ออำนวยความสะดวกภายในพื้นที่
จากการศึกษา ทดลอง และวิจัยโครงการต่าง ๆ ของศูนย์ฯ
ได้นำโครงการที่ประสบความสำเร็จแล้ว ถ่ายทอดสู่เกษตรกรที่อยู่ในหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ
จะเป็นประชากรเป้าหมายกลุ่มแรกที่จะได้รับประโยชน์
ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องงานส่งเสริม
จะนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาในศูนย์ฯ ว่าได้ผลดีไปแนะนำให้กับเกษตรกร
หมู่บ้านเป้าหมายที่เรียกว่า หมู่บ้านรอบศูนย์ฯ
เมื่อการส่งเสริมให้หมู่บ้านรอบศูนย์ฯ ได้ผลในระดับหนึ่งแล้ว
หมู่บ้านเหล่านี้ก็จะเป็นหมู่บ้านตัวอย่างให้เกษตรกรพื้นที่อื่นๆ
ที่ห่างออกไปเข้ามาศึกษาและดูงานได้ และการขยายผลการส่งเสริมของศูนย์ฯ
ก็จะได้ขยายขอบเขตกว้างออกไปเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการจัดตั้งศูนย์
ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ
เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาทดลองวิจัยและแสวงหาความรู้ เทคนิค วิชาการสมัยใหม่ที่ราษฎร
รับได้ นำไปดำเนินการเองได้ และเป็นวิธีการที่ประหยัด
เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพของราษฎรที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศนั้น
ๆ เมื่อได้ผลจากการศึกษาแล้ว จึงนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้ในการประกอบอาชีพต่อไป
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ตัวอย่างของความสำเร็จทั้งหลายได้กระจายไปสู่ท้องถิ่นต่าง
ๆ ทั่วประเทศและสามารถนำไปปฏิบัติได้ผล อย่างจริงจัง