วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
วรรณคดีไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11
4
การศึกษาวิจัยเรื่องรามเกียรติ์
การศึกษาวิจัยเรื่องรามเกียรติ์ในเชิงเปรียบเทียบทำให้เห็นว่าไทยรับอิทธิพลวรรณคดีเรื่องนี้มาจากอินเดียในลักษณะของวรรณคดีมุขปาฐะก่อน
และอาจเข้ามาพร้อมกับการเชิดหนัง
ส่วนเรื่องรามายณะที่เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 6
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงค้นคว้าเรื่องบ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์
จากนั้นทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตามฉบับวาลมีกิในด้านชื่อตัวละคร
บุคลิกตัวละคร และการลำดับเรื่อง ยกเว้นตอนพรหมาสตร์ ดำเนินเรื่องตามฉบับรัชกาลที่
1 และตอนนางลอย ดำเนินเรื่องตามฉบับรัชกาลที่ 2
ลักษณะการรับอิทธิพลเช่นนี้ทำให้เรื่องรามเกียรติ์มิได้เหมือนกับเรื่องรามายณะทั้งหมด
กวีไทยได้ปรับเปลี่ยนทั้งชื่อตัวละคร กำเนิดตัวละคร บุคลิกลักษณะของตัวละคร
การลำดับเรื่อง เนื้อเรื่องบางตอน รูปแบบของการแต่ง และจุดประสงค์ของการแต่ง
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยม ค่านิยม ความเชื่อ
และขนบทางวรรณศิลป์ของไทย
อย่างเช่นการปรับเปลี่ยนจากคัมภีร์ศาสนาที่ใช้สำหรับสวดให้เกิดสิริมงคลเป็นวรรณกรรมการแสดงเพื่อความบันเทิง
การเพิ่มบทบาทของหนุมานโดยได้ที่มาจากวรรณคดีเรื่องอื่น
เป็นการยกพระรามให้เป็นตัวเอกในแบบอุดมคติ
ส่วนหนุมานเป็นพระเอกในขนบของวรรณกรรมนิทานและการแสดง
ซึ่งสร้างความสนุกเพลิดเพลินดังที่กล่าวว่า ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด ตั้งพระทัยสมโภชบูชา ใครฟังอย่าได้ใหลหลง
จงปลงอนิจจังสังขาร์
เนื้อเรื่องบางตอนแตกต่างไปจากเรื่องเดิมบ้าง เพราะเสริมเรื่องของไทย ๆ
เข้าไปให้คนดูสนุกสนาน อย่างเช่น
ตอนทศกัณฐ์ลงโทษหนุมานที่ทำลายสวนขวัญเสียยับเยินหลังจากถวายผ้าสไบและแหวนให้นางสีดาแล้ว
ในรามายณะ ทศกัณฐ์ให้จุดไฟเผาหนุมาน
หนุมานจึงเผาลงกาแล้วเหาะไปดับไฟที่หางในมหาสมุทร แต่ในรามเกียรติ์
ทศกัณฐ์ลงโทษด้วยวิธีแบบไทยโบราณ เช่น ให้ช้างแทง ใส่ครกตำ ฯล แต่ฆ่าไม่ได้
หนุมานจึงแนะให้จุดไฟเผา หนุมานจึงแสดงบทบาทว่าเป็นคนฉลาด เพราะทำให้ทศกัณฐ์เสียรู้
เมื่อเผาลงกาแล้ว หนุมานดับไฟที่หางตัวเองไม่ได้ ต้องไปถามพระฤษีโคดม
พระฤษีบอกใบ้ว่าให้ใช้น้ำบ่อน้อย หนุมานตีปริศนาออกจึงดับไฟได้
เนื้อหาที่ต่างไปนี้แสดงปัญญาของหนุมาน
เนื้อเรื่องบางตอนในรามเกียรติ์ต่างกับรามายณะของวาลมีกิเพราะไทยได้เรื่องราวมาจากที่อื่น
เช่น กำเนิดสีดา ในฉบับของวาลมีกิ สีดาเกิดในรอยไถที่ท้าวชนกไปไถนา
จึงทรงนำมาเลี้ยง
แต่พระองค์ปรารถนาบำเพ็ญพรตจึงนำสีดาใส่ผอบฝังดินฝากแม่ธรณีไว้ก่อน
เมื่อไม่สำเร็จกลับไปครองเมืองมิถิลาจึงขุดดินนำนางสีดาไปด้วย
ส่วนรามเกียรติ์ให้สีดาเป็นลูกทศกัณฐ์กับนางมณโฑ นางร้องว่าจะฆ่าพ่อถึง 3
ครั้งตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ทศกัณฐ์เห็นว่าเป็นกาลกิณี
สั่งให้นำพระธิดาใส่ผอบลอยน้ำไป ท้าวชนกเก็บผอบใส่นางสีดาได้
จึงฝังผอบไว้ในดินระหว่างบำเพ็ญพรต จากนั้นเนื้อความเหมือนกับฉบับของอินเดีย
กำเนิดนางสีดาที่แตกต่างไปอย่างมากนี้ เสฐียรโกเศศสันนิษฐานว่าไทยน่าจะนำมาจาก
หิกะยัตศรีรามของมลายู
สรุปว่า เรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีที่ได้อิทธิพลมาจากอินเดีย
แต่มีความแตกต่างจากฉบับของวาลมีกิในเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ มาก
อาจจะเป็นเพราะเป็นวรรณคดีมุขปาฐะและเข้ามาหลายครั้งหลายคราว
เรื่องราวที่เล่าผิดเพี้ยนไปตามความทรงจำของผู้เล่า นอกจากนี้
เรื่องรามเกียรติ์ไม่ได้รับอิทธิพลจากนิทานเรื่องพระรามฉบับใดฉบับหนึ่งเพียงฉบับเดียว
จึงมีเรื่องราวตรงกับฉบับของวาลมีกิซึ่งถือว่าเป็นผู้รจนาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เรื่องนี้บางส่วน
อีกหลายส่วนตรงกับฉบับอื่น ๆ ของอินเดีย เช่น ฉบับฮินดี ฉบับเบงกอล ฉบับทมิฬ
และยังคล้ายกับรามายณะฉบับประเทศเพื่อนบ้านของไทย ได้แก่ ชวา มลายู เขมร ลาว
แสดงให้เห็นว่าเรื่องพระรามแพร่หลายเข้ามาในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นที่นิยมแพร่หลาย
จึงแผ่อิทธิพลในอาณาจักรเหล่านี้อย่างกว้างขวาง
รามเกียรติ์ยังมีเนื้อหาที่ต่างกับฉบับอื่น ๆ
อีกมากซึ่งอาจจะเป็นเพราะเรายังสืบค้นที่มาได้ไม่ครบถ้วน
และเป็นเพราะส่วนที่แตกต่างเหล่านั้นเป็นการเติม
หรือการปรับเปลี่ยนตามเอกสิทธิ์ของกวีไทยโดยใช้ข้อมูลและภูมิหลังจากสังคมวัฒนธรรมไทยนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม
คุณค่าของเรื่องรามเกียรติ์ที่เรารักษาไว้เช่นเดียวกับเรื่องรามายณะคือ
คุณค่าในการเกื้อหนุนความศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นสมมติเทพ ดังที่รัชกาลที่ 4
ตรัสว่าเป็น ปางนารายณ์
และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์จะทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ไว้เป็นประเพณีวงษ์