วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>

วรรณคดีไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

รื่นฤทัย สัจจพันธุ์

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11

10

ไซ่ฮั่น

 มีอิทธิพลต่อเรื่องพระอภัยมณีหลายตอน เช่น เพลงปี่ห้ามทัพ พระอภัยมณีเป่าปี่ยุติทัพนางละเวง เนื่องจากฝ่ายเมืองผลึกเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ศรีสุวรรณและสินสมุทร ต่างติดอยู่ในรถกลของนางละเวง เพลงปี่ของพระอภัยมีเนื้อความดังนี้

วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยั้นยืนขึ้งตะลึงหลง
ให้หวิววาบทราบทรวงต่างง่วงงง ลืมประสงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้ ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง
วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่ พวกโยธีทิ้งทวนชวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป

เนื้อความของเพลงปี่พระอภัยคล้ายคลึงกับเพลงปี่ห้ามทัพของเตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่นมาก เตียวเหลียงมีความเชี่ยวชาญในการเป่าปี่ จึงอาสาพระเจ้าฮั่นอ๋องไปเป่าปี่บนภูเขาเพื่อให้ทหารของพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเกิดความเศร้าสลดใจ กลัวตายและคิดถึงบ้าน จะได้ชวนกันหนีทัพกลับไป เพลงปี่ของเตียวเหลียงมีเนื้อความดังนี้

“เสียงเป่าปี่อยู่บนภูเขาเป็นเพลงว่า เดือนยี่ฤดูหน้าหนาว น้ำค้างตกเย็นทั่วไปทั้งสี่ทิศ จะดูฟ้าก็สูง แม่น้ำก็กว้าง ฤดูนี้คนทั้งปวงได้ความเวทนานัก ที่จากบ้านเรือนมา ต้องทำศึกอยู่นั้น บิดามารดาและบุตรภรรยาอยู่ภายหลังก็ยืนรอคอยอยู่แล้ว ถึงมีเรือกสวนและไร่นาก็จะทิ้งรกร้างไว้ไม่มีผู้ใดจะทำ เพื่อนบ้านที่เขาไม่ต้องไปทัพอยู่พรักพร้อมกัน ก็จะอุ่นสุรากินเล่นเป็นสุข น่าสงสารผู้ที่จากบ้านช่องมาหลายปีนั้น ที่บิดามารดาแก่ชราอยู่ก็ป่วยเจ็บล้มตายเสียหาได้เห็นใจบิดามารดาไม่ และตัวเล่าต้องมาทำศึกอยู่ฉะนี้ ถ้าเจ็บป่วยล้มตายลงก็จะกลิ้งอยู่กลางแผ่นดินแต่ผู้เดียว บุตรภรรยาและญาติพี่น้องก็มิได้ปรนนิบัติรักษากัน เป็นผีหาญาติมิได้ ถ้าแต่งตัวออกรบครั้งใดก็มีแต่ฆ่าฟันกัน กระดูกและเนื้อถมแผ่นดินลงทุกครั้ง ดูสังเวชนัก ท่านทั้งปวงก็เป็นมนุษย์ มีสติปัญญาอยู่ทุกคน เร่งคิดเอาตัวรอดไปบ้านช่องของตัวเถิด ท่านไม่รู้หรือม้านั้นก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าผู้ใดพาไปจากโรงและมิได้ผูกถือกักขังไว้ ก็ย่อมกลับคืนมาถิ่นที่อยู่ของตัว อันประเพณีมนุษย์ถ้าจะเจ็บป่วยล้มตาย ก็ยอมให้อยู่ที่บ้านช่องของตัว พร้อมบิดามารดาและญาติพี่น้องจึงจะดี ครั้งนี้เทพยดารู้ว่าพระเจ้าฌ้อปาอ๋องสิ้นวาสนาแล้วและมีความกรุณาแก่ท่านทั้งปวงว่า จะมาพลอยตายเสียเปล่า จึงใช้เรามาบอกให้รู้ให้เร่งคิดเอาตัวรอดเสีย ถ้าชักช้าอยู่อีกวันหนึ่งสองวัน ฮั่นอ๋องก็จะจับตัวพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ ถึงผู้ใดมีกำลังและหมายจะสู้รบก็เห็นไม่พ้นมือฮั่นอ๋องแล้ว อันกำลังศึกฮั่นอ๋องครั้งนี้ อย่าว่าแต่คนเข้าต้านทานเลย ถึงมาตรว่าหยกและศิลาก็ไม่อาจทนทานอยู่ได้ อันฮั่นอ๋องเป็นผู้มีบุญ น้ำใจก็โอบอ้อมอารีนัก ถึงผู้ใดจะเป็นข้าศึกแต่ถ้าเข้าไปสามิภักดิ์แล้ว ก็ชุบเลียงมิได้ทำอันตราย ฮั่นอ๋องจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นแน่แท้ ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงคิดอ่านเอาตัวรอดรักษาชีวิตไว้เอาความชอบดีกว่า”


ม้ามังกร เป็นพาหนะของสุดสาครที่มีลักษณะประหลาดคือ เป็นลูกผสมระหว่างม้ากับมังกรมีกำลังมหาศาล และกินทุกอย่าง “กินผู้คนปูปลาหญ้าใบไม้” สุนทรภู่บรรยายลักษณะว่า

พอพบม้าหน้าเหมือนมังกรร้าย แต่กีบกายนั้นเป็นม้าน่าฉงน
หางเหมือนอย่างหางนาคปากคำรณ กายพิกลกำยำดูดำนิล

และมีลักษณะวิเศษ คือ เขี้ยวเป็นเพชรเกล็ดเป็นนิลลิ้นเป็นปาน ถึงเอาขวานฟันฟาดไม่ขาดรอน

สุนทรภู่นำเรื่องมังกรมาจากจีนแน่นอน เพราะจีนถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ศิลปะของจีนจะมีรูปมังกร เป็นประติมากรรมและจิตรกรรมที่เผยแพร่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ วรรณคดีเรื่องไซ่ฮั่น กล่าวถึงพาหนะของห้างอี๋ เป็นสัตว์ประหลาด ชื่อ โอจือเบ๊ เป็นมังกรสีดำแปลงร่างเป็นม้าได้

นอกจากนี้ วรรณคดีจีนเรื่อง ไคเภ็ก แปลในสมัยรัชกาลที่ 5 กล่าวถึงม้ามังกรไว้เช่นกัน แม้เรื่องนี้จะแปลหลังสมัยสุนทรภู่แล้ว แต่ก็น่าสนใจที่สัตว์ประหลาดนี้คงเป็นตัวละครที่จีนนิยมมาก จึงปรากฏในวรรณกรรมหลายเรื่อง เรื่องไคเภ็ก กล่าวถึงม้ามังกรไว้ดังนี้

“ที่แม่น้ำเม่งจิ้น เกิดเป็นพายุมีคลื่นระลอกใหญ่ น้ำท่วมขึ้นมาบนแผ่นดิน แล้วมีสัตว์ตัวหนึ่งรูปร่างเหมือนมังกร ครั้นพิเคราะห์ดูหาใช่มังกรไม่ บางคนดูรูปร่างเหมือนม้าแต่หาใช่ม้า เพราะรูปร่างใหญ่โตมีปีกด้วย จึงไม่รู้ว่าสัตว์อะไรแน่ ขึ้นมาโลดเต้นอยู่บนน้ำ ราษฎรตกใจกลัว ขุนนางผู้ใหญ่ทราบหนังสือบอกนั้นแล้ว ก็กราบทูลพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ทราบแล้วสงสัย จึงตรัสว่าเหตุนี้จะเป็นประการใด

ขณะนั้น นางหนึงออสี ผู้เป็นภคินีของพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ เฝ้าอยู่ที่นั่นจึงทูลว่า สัตว์นี้รูปร่างเหมือนมังกร แลคล้ายม้า แล้วเกิดมาแต่ในแม่น้ำนั้น เห็นเป็นการมงคล ควรพระองค์จะพาข้าราชการไปตั้งเครื่องสักการบูชาและคำนับจึงจะชอบพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้เห็นชอบด้วย จึงพาข้าราชการไปดู เห็นมีคลื่นระลอกในแม่น้ำเม่งจิ๋นแล้วสัตว์นั้นก็ยืนอยู่ในน้ำ รูปร่างเหมือนม้า สูงประมาณ 8 เชียะ 9 เชียะ (ประมาณ 9 ถึง 10 ฟุต) ตัวนั้นมีเกล็ด มีปีก 2 ข้าง ครั้นดูไปเห็นเหมือนรูปเลาะเลาะ คือรูปอูฐ ตะพายหีบแดงหีบหนึ่ง ที่หน้าหีบจารึกอักษร 4 อักษรภาษาจีนว่า ห้อโตลกจือ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้จึงให้ตั้งเครื่องบูชาแล้วพากันคำนับ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ก็ประกาศว่า ข้าพเจ้ารักษาแผ่นดินมาได้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าข้าพเจ้ามิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าจะรับโทษ ขอท่านจงให้คลื่นและระลอกที่โตใหญ่นั้นสงบ แล้วอย่าให้น้ำท่วมขึ้นมาให้ราษฎรได้ความลำบากเลย ครั้นประกาศแล้วลมแลคลื่นและระลอกก็หยุดเป็นปกติอย่างเดิม จึงได้เรียกสัตว์นั้นว่า เล่งเบ๊ เล่งเบ๊นั้น แปลว่าม้ามังกร”

หน้าถัดไป >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย