เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
ประเภทของเหล็กกล้า
เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ถูกนำไปใช้ในงานต่างๆมากมาย
ทั้งนี้เนื่องจากเหล็กกล้านั้นมีคุณสมบัติในการรับแรงต่างๆได้ดี เช่น แรงกระแทก
(Impact Strength) แรงดึง (Tensile Strength) แรงอัด (Compressive Strength) และ
แรงเฉือน (Shear Strength) ซึ่งธาตุผสมส่วนใหญ่จะเป็นทั้งโลหะและอโลหะ เช่น
โมลิบดินั่ม ทังสเตน วาเนเดียมเป็นต้น โดยเหล้กกล้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon steels)
หมายถึงเหล็กกล้าที่มีส่วนผสมของธาตุคาร์บอนเป็นธาตุหลักที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อ
คุณสมบัติทางกลของเหล็กและยังมีธาตุอื่นผสมอยู่อีก ซึ่งแบ่งเหล็กกล้าคาร์บอนออก
เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Steel)
เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.25% นอกจากคาร์บอนแล้ว
ยังมีธาตุอื่นผสม- อยู่ด้วย เช่น แมงกานีส ซิลิคอน ฟอสฟอรัสและกำมะถัน
แต่มีปริมาณน้อยเนื่องจาก
หลงเหลือมาจากกระบวนการผลิตเหล็กประเภทนี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรม และใน
ชีวิตประจำวันไม่ต่ำกว่า 90% เนื่องจากขึ้นรูปง่าย เชื่อมง่าย
และราคาไม่แพงโดยเฉพาะเหล็กแผ่นมีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง เช่น
ตัวถังรถยนต์ชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ กระป๋องบรรจุอาหาร สังกะสีมุงหลังคา
เครื่องใช้ในครัวเรือนและในสำนักงาน
2. เหล็กกล้าคาร์บอนปานกลาง (Medium Carbon Steel)
เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอน 0.2-0.5%
มีความแข็งแรงและความเค้นแรงดึงมากกว่า
เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำแต่จะมีความเหนียวน้อยกว่า สามารถนำไปชุบแข็งได้
เหมาะกับงานทำชิ้นส่วนเครื่องจักรกล รางรถไฟ เฟือง ก้านสูบ ท่อเหล็ก ไขควงเป็นต้น
3. เหล็กกล้าคาร์บอนสูง (High Carbon Steel)
เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอน 0.5 - 1.5%
มีความแข็งความแข็งแรงและความเค้น- แรงดึงสูง
เมื่อชุบแข็งแล้วจะเปราะเหมาะสำหรับงานที่ทนต่อการสึกหรอ ใช้ในการทำ เครื่องมือ
สปริงแหนบ ลูกปืนเป็นต้น
เหล็กกล้าประสม (Alloys Steel)
หมายถึง เหล็กที่มีธาตุอื่นนอกจากคาร์บอน
ผสมอยู่ในเหล็กธาตุบางชนิดที่ผสมอยู่ อาจมีปริมาณมากกว่าคาร์บอน
คิดเป็นเปอร์เซนต์โดยน้ำหนักในเหล็กก็ได้ธาตุที่ผสม ลงไปได้แก่ โมลิบดินั่ม
แมงกานีส ซิลิคอนโครเมียม อลูมิเนียม นิกเกิล
และวาเนเดียมเป็นต้นจุดประสงค์ที่ต้องเพิ่มธาตุต่างๆเข้าไปในเนื้อเหล็กก็เพื่อการทำให้คุณสมบัติของเหล็ก
เปลี่ยนไปนั่นเองที่สำคัญก็คือ
1. เพิ่มความแข็ง
2. เพิ่มความแข็งแรงที่อุณหภูมิปกติและอุณหภูมิสูง
3. เพิ่มคุณสมบัติทางฟิสิกส์
4. เพิ่มความต้านทานการสึกหรอ
5. เพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน
6. เพิ่มคุณสมบัติทางแม่เหล็ก
7. เพิ่มความเหนียวแน่นทนต่อแรงกระแทก
เหล็กกล้าประสม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. เหล็กกล้าประสมต่ำ ( Low Alloy Steels )
เป็นเหล็กกล้าที่มีธาตุประสมรวมกันน้อยกว่า 8%
ธาตุที่ผสมอยู่คือโครเมี่ยม นิกเกิล โมลิบดินั่ม
และแมงกานีสปริมาณของธาตุที่ใช้ผสมแต่ละตัวจะไม่มากประมาณ 1 2%
ผลจากการผสมทำให้เหล็กสามารถชุบแข็งได้
มีความแข็งแรงสูงเหมาะสำหรับใช้ในการทำชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เช่น เฟือง
เพลาข้อเหวี่ยงจนบางครั้งมีชื่อว่าเหล็กกล้า เครื่องจักรกล (Machine
Steelsเหล็กกล้ากลุ่มนี้จะต้องใช้งานในสภาพชุบแข็งและอบก่อนเสมอจึงจะมีค่าความแข็งแรงสูง
2. เหล็กกล้าประสมสูง (High alloy steels)
เหล็กกล้าประเภทนี้จะถูกปรับปรุงคุณสมบัติ
สำหรับการใช้งานเฉพาะอย่างซึ่งก็จะมี ธาตุประสมรวมกันมากกว่า 8% เช่น
เหล็กกล้าทนความร้อนเหล็กกล้าทนการเสียดสี และเหล็กกล้าทนการกัดกร่อน
เหล็กดิบ (Pig iron)
เหล็กกล้า (Steel )
ประเภทของเหล็กกล้า
เหล็กแผ่นรีด
เทคนิคการเลือกซื้อเหล็กแผ่นรีดร้อน
การกัดกร่อนของโลหะ
กรรมวิธีทางความร้อนของเหล็กกล้า