วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี
บันทึกการเดินทางและการอ่านเพื่อเข้าถึงเรื่องเล่าท้องถิ่น
วารุณี โอสถารมย์
การผลิตและภาวะความเป็นอยู่
เสมียนมีดูไม่ค่อยกล่าวถึงลักษณะการผลิตหรือทำมาหากินของชุมชนบนเส้นทางมากเท่าสุนทรภู่ ดังเหตุผลที่เคยให้ไว้ คือ เขาต้องรีบเร่งเดินทางเพื่อเก็บภาษี และเรื่องราวบันทึกเกือบทั้งหมดเป็นกิจกรรมการเก็บภาษีเป็นหลัก ในขณะที่การเดินทางของสุนทรภู่ มีเวลาพักระหว่างทางนานกว่า เขาจึงสังเกตการณ์สิ่งรอบตัว เขียนถึงชุมชนได้มากกว่า จนทำให้เห็นว่าเรื่องราวการเดินทางผ่านชุมชน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวการผลิตและการทำมาหากินที่เป็นจุดเด่นของชุมชน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชุมชนเกษตร มีข้อสังเกตว่า นิราศทั้งสองเรื่องดูจะเล่าเรื่องการทำนาปลูกข้าวพืชเกษตรหลักของชุมชนแถบนี้น้อยมาก ส่วนหนึ่งเล่าแฝงไว้กับการเพาะปลูกพืชผลชนิดอื่นๆ เพื่อบอกความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนเฉพาะแห่งอย่าง บ้านบางปลา สุนทรภู่บรรยายให้เห็นป่าไผ่ พืชน้ำในธรรมชาติ การปลูกไร่กล้วยไข่ และข้าว (สุนทรภู่ 2509 : 36) หรือเพื่อบอกสภาวะการผลิตในฤดูกาลนั้นๆ อย่างเสมียนมีพูดถึง บางสะแก ซึ่งมีทำเลที่ตั้งดี ชาวบ้านสามารถปลูกไร่ผัก เลี้ยงวัวควาย หากแต่เมื่อปี 2395 นั้นฝนแล้ง ชาวบ้านที่นี่จึงเริ่มทำนาปรัง นอกฤดูกาล
ภาพที่เขามองเห็นคือ ชาวบ้าน เตรียมที่นาปลูกข้าวด้วยการหวดหญ้า (หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 23, 37) เสมียนมีให้เหตุผลว่า ด้วยพวกราษฎรร้อนตัวกลัวอดข้าว การที่กวีทั้งสองไม่นิยมเล่าถึงการทำนา อาจเพราะเป็นการผลิตที่กวีและผู้อ่านคุ้นเคยจนไม่เห็นความสำคัญที่ต้องบันทึกไว้ อย่างไรก็ตามด้วยเจตนคติอันเกิดจากโลกทัศน์ที่เปิดรับเศรษฐกิจแบบการค้าในระบบเงินตราที่ขยายตัวกว้างขึ้น ทำให้กวีมองเห็นภาพการผลิตด้านการเกษตรบางหมู่บ้าน มีเป้าหมายเพื่อการขาย เช่น การปลูกพืชไร่ อย่างไร่ฝ้าย กล้วย พืชผักต่างๆ เช่น ถั่ว ฟัก สวนมะเขือ พริกเทศ มะยม หมู่บ้านเหล่านี้มีทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตเมืองห่างไกลออกไป นิธิ เองก็อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจเงินตราในชุมชนผลิตเพื่อยังชีพ (นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก.2527 : 96) สุนทรภู่บันทึกถึง สวนขิง ชุมชนใกล้ตัวเมือง ปลูกพริกเทศเม็ดใหญ่เต็มไร่ บ้านไร่ นอกเขตเมือง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรชาวไทย จีน ทวายอยู่ร่วมกัน ก็ทำไร่กล้วยไข่เพื่อขายทั้งเครือและปลี สุนทรภู่ยังได้ซื้อไว้ราคาหนึ่งเฟื้อง แบ่งกินได้ถึง 4 มื้อ (สุนทรภู่ 2509 : 44-55) แต่พืชผลตามแหล่งธรรมชาติที่ชุมชนและชาวบ้านใช้ประโยชน์อย่างมากทั้งอุป-บริโภค มี 2 ชนิดตามที่บันทึกไว้ในนิราศ คือ ไผ่และต้นตาล ไผ่ในนิราศได้รับการบรรยายให้เห็นเป็นสภาพป่าไผ่ที่อยู่ใกล้หรือริมหนองน้ำ หรือสองฟากฝั่งใกล้หมู่บ้านเดี่ยว ห่างจากชุมชนอื่น ก
ารบันทึกภาพไผ่ก็เป็นด้วยว่าต้นไม้ชนิดนี้ยังประโยชน์ต่อผู้คนในชุมชน ทั้งในการทำเรือนที่อยู่ พาหนะ แพหรือเรือ และยังเป็นแหล่งอาหารทรงคุณค่า สุนทรภู่บันทึกประโยชน์ของไผ่ต่อชาวบ้านในฐานะพืชเศรษฐกิจอีกประเภทหนึ่ง เล่าถึง ชาวบ้าน บางปลี ทั้งชายและหญิงต่างหน้าดำเพราะมีอาชีพเผาไผ่เป็นถ่านขาย (สุนทรภู่ 2509 : 23) ต้นตาลเป็นต้นไม้สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับโภชนาการในชีวิตชาวบ้าน ด้วยการนำไปทำน้ำตาล สุนทรภู่บันทึกภาพกิจกรรมชาวบ้าน บ้านตาล ปีนพะองขึ้นไปปาดตาล เพื่อทำน้ำตาล (สุนทรภู่ 2509 : 37, 39, 60, 55, 23) ส่วนต้นไม้ชนิดอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ได้รับการกล่าวถึงในนิราศสุพรรณ คือ การนำไม้เนื้อแข็งมาทำเกวียน พาหนะขนส่งทางบกสำคัญ สุนทรภู่เล่าถึง โพพญา หมู่บ้านนอกเมืองว่า เป็นชุมชนทำเกวียน ระบุว่าริมตลิ่งเต็มไปด้วยล้อเกวียน และไม้เนื้อดีอย่างต้นโพธิ์ ไผ่ เต็ง ตะเคียน ตะขบ ซึก ซาก กระบาก กระเบียน กระเบา กระแบบ กระบก เสลาและสลาด ซึ่งทำให้เข้าใจว่าเป็นไม้ที่นำมาทำล้อและต่อเกวียนขายได้ (สุนทรภู่ 2509 : 53)
สัตว์เลี้ยงใช้งานที่ถูกบันทึกไว้ในนิราศอย่างเป็นที่น่าสังเกต คือ วัวควาย นิราศบันทึกถึงบางหมู่บ้านเลี้ยงวัวควายนอกเหนือจากการปลูกพืชผลอื่น กวีทั้งสองไม่ได้บันทึกภาพวัวควายในการทำนาไว้เลย แต่กลับบันทึกการใช้แรงงานสัตว์ประเภทนี้ไว้ในกิจการอุตสาหกรรมน้ำตาล และการคมนาคม สุนทรภู่และเสมียนมีต่างบันทึกการใช้แรงงานควายในการหีบอ้อยเพื่อทำน้ำตาล และใช้แรงงานควายโยงลากเรือจากฝั่งช่วงคลองโยง (สุนทรภู่ 2509 : 15, 24 หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 25-28)
เมืองสุพรรณซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทผลิตพอยังชีพ ชาวเมืองประกอบอุตสาหกรรมพื้นบ้านดั้งเดิมอย่างปั้นหม้อ และอุตสาหกรรมอาหารอย่างโรงขนมจีน ที่บ้านขนมจีน และโรงเหล็กในหมู่บ้านศรีจัน เขตชนบทนอกเมืองสุพรรณ บันทึกสุนทรภู่ ระบุว่าทั้งโรงขนมจีน และโรงเหล็กเจ้าของเป็นชาวจีน โดยเฉพาะโรงขนมจีน ผู้เขียนบรรยายภาพจีนเจ้าของเป็นผู้มีทรัพย์ นั่งนับเงิน สยายผมให้เมียหวีผมหางเปียให้ สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกเสียดสีกึ่งอิจฉาในความร่ำรวย (สุนทรภู่ 2509 : 40, 52)
แต่การผลิตจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อขายขนาดใหญ่ พบได้ในหลายหมู่บ้านตามบันทึกนิราศสุพรรณ นั่นคือ การจับปลาและทำปลาแห้งเกือบตลอดหมู่บ้านบนเส้นทางน้ำ เป็นการบันทึกภาพชาวบ้าน ชายหญิงจับปลา ทำปลาตากแห้ง ที่มีปริมาณมากที่เชื่อได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมเพื่อขาย สุนทรภู่ บรรยายภาพชาวบ้าน บางรกำ ทั้งชาญหญิงใช้ฉมวกแทงจับปลา จนได้ปลาติดปลายฉมวกขึ้นมา ทั้งปลาดุก ปลาช่อนและปลาชโด ทำให้เรามองเห็นแหล่งปลาชุมในท้องน้ำแถบนี้ สุนทรภู่ยังบันทึกถึงแหล่งทำฉมวกจับปลาที่หมู่บ้านชีปะขาวด้วย นอกจากการจับปลาด้วยการใช้ฉมวกแล้วยังมีการจับปลาด้วยเครื่องมืออื่น อย่างชุมชนบางปลาร้าที่สุนทรภู่มองเห็นปลาเต็มคลอง ชาวประมงหมู่บ้านนี้จับปลาด้วยการใช้สุ่ม ช้อน ฉะนาง เรือก ที่นี่คงจับปลาได้ปริมาณมากเขาจึงเห็นชาวบ้านนั่งขอดเกล็ดปลาจนมองเห็นเกล็ดติดตามตัว จมูก แก้ม เพื่อทำปลาร้า เพราะกลิ่นเหม็นคาวทั่วคุ้งน้ำ (สุนทรภู่ 2509 : 24, 31, 36)
การผลิตและภาวะความเป็นอยู่ที่เป็นแบบยังชีพหากแต่ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติที่กวีทั้งสองบรรยายถึง ทำให้เห็นว่าการผลิตบางประเภทของชาวบ้านมีปริมาณมาก จึงมีส่วนเกินมากพอส่งขายนอกชุมชนได้ ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือข้าวที่กวีทั้งสองพูดถึงน้อยมาก การผลิตและภาวะความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่เมืองชนบทนี้ จึงมีทั้งผลิตเพื่อขายกับเศรษฐกิจยังชีพอยู่ด้วยกัน สภาพเช่นนี้มีผลฐานะความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นไปอย่างที่เสมียนมีปรารภไว้ว่า น่าสงสารเมืองสุพรรณทุกวันนี้ที่มั่งมีนั้นก็มากที่ยากก็หลาย (หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 75)















