วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>

นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่

นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี
บันทึกการเดินทางและการอ่านเพื่อเข้าถึงเรื่องเล่าท้องถิ่น

วารุณี โอสถารมย์

ด่านและศาลอารักษ์

เป็นจุดผ่านแดนรอยต่อเขตเมืองแต่ละเมืองและก่อนถึงตัวเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อทางน้ำ ด่านมีความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อท้องถิ่นและราชธานี เป็นจุดควบคุมการเดินทางเข้าออกของประชากร หรือตรวจสอบการเคลื่อนย้ายที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมถึงเป็นจุดเก็บอากรผลผลิตสินค้าเพื่อขายทั้งจากชุมชนและราชธานี นิราศสุพรรณทั้งสองเรื่องบันทึกจุดผ่านด่านตั้งแต่กรุงเทพฯ-สุพรรณไว้ พื้นที่ท้องน้ำและสองฟากฝั่งที่ตั้งด่าน เป็นแหล่งชุมนุมเข้าออกของเรือสินค้าและผู้เดินทางอย่างคับคั่ง มีผลให้เกิดตลาดแลกเปลี่ยนผลผลิตของพื้นที่แถบนั้น บางแห่งยังเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีการตั้งอาคารบ้านเรือนหนาแน่น เนื่องจากเป็นชุมทางที่มีผู้คนสัญจร ทำให้มีกิจกรรมการผลิตเพื่อการค้าและการแลกเปลี่ยนอื่นๆ ด่านบางแห่งยังตั้งอยู่บนจุดเชื่อมต่อเส้นทางสัญจรทางบกสำคัญ ที่เป็นทางน้ำตื้นในเวลาน้ำลดให้ช้างและเกวียนพาหนะทางบกข้ามผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ นิราศสุพรรณทั้งสองเรื่องให้ข้อมูลบันทึกเรื่องด่านทั้งในแง่สภาพชุมชนที่ตั้งและกิจกรรมของนายด่าน

ด่านบางใหญ่ เป็นด่านแห่งแรกที่ออกจากรุงเทพฯ ตั้งอยู่ช่วงคลองเชื่อมต่อคลองหลายสายของชาวสวนละแวกบางกอกน้อยและนนทบุรี เป็นจุดที่เรือชาวสวนชุมนุมกันจนทำให้คลองแออัด ความลดเลี้ยวของเส้นทางน้ำยังทำให้เรือแล่นไม่สะดวก (สุนทรภู่ 2509 : 15 หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 27)

ด่านสำคัญ คือ แดนด่าน เป็นด่านใหญ่จากช่องปากคลองโยงต่อกับนครชัยศรี เป็นทางน้ำสัญจรของเรือสินค้าเข้าออกจากหัวเมืองฝั่งตะวันตกและกรุงเทพฯ ทำให้มีเรือจำนวนมาก จุดที่ตั้งด่านจึงเป็นทั้งด่าน ตลาดและชุมชน เสมียนมีเรียกนายด่านนี้ว่า “เจ้าตลาดปากคลอง” เจ้าตลาดนี้ทำหน้าตรวจตราสินค้าในเรือที่เรียกว่า “เบิกเผย” แล้วประเมินเรียกเก็บอากรเรือสินค้าในเรือก่อนออกเดินทางต่อไป สำหรับเรือเสมียนมีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เจ้าตลาดคาดเดาได้จึงไม่ต้องผ่านการเบิกเผยให้พายเรือเลยไปได้ (หมื่นพรหมสมพัตสร(มี) 2544 : 27) ในขณะที่สุนทรภู่บันทึกถึงชุมชนแดนด่านนี้เรียกชื่อว่า “ลานตากฟ้า” นั้นเป็นชุมชนใหญ่ มีบ้านเรือน โรงร้านตั้งยาวตลอดคุ้ง เขาให้ภาพชีวิตชาวบ้านในชุมชน ขณะกำลังตากปลาบนร้าน ซึ่งเขาเชื่อมโยงความหมายว่าเป็นที่มาของชื่อชุมชน ซึ่งนอกจากสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำช่วงนี้ที่มีทั้งปลาและผักน้ำ อย่าง ผักบุ้ง เต็มท้องทุ่ง ใช้เป็นอาหารได้ (สุนทรภู่ 2544 : 18-19)

 

ช่วงรอยต่อปลายเขตแดนนครไชยศรีเข้าเขตสุพรรณ สุนทรภู่บันทึกชื่อ “บางหวาย” เป็นชุมชนชายเขตและคลองเชื่อมต่อ เขาให้ภาพหมู่บ้านบนเส้นทางน้ำเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าไผ่ จนมาถึงด่านเข้าเขตเมืองสุพรรณที่อยู่ใน “บางสองพี่น้อง” จุดแสดงที่ตั้งด่านสำคัญ 2 อย่าง คือ “บางสามศาล” ซึ่งเป็นศาลอารักษ์ที่เชื่อว่ามีด้วยกันสามคนพี่น้อง มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์เขตแดน ด่านบางสองพี่น้องยังเป็น “ตลาดด่านรายรั้งริมฝั่งสบาย แลเห็นนายด่านเถ่อชะเง้อคอ” ที่ด่านแห่งนี้สุนทรภู่ให้ภาพการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของนายด่านในการเรียกเก็บภาษี สุนทรภู่เองก็เกรงว่าตนเองจะถูกนายด่าน “เรียกเรือดูเข้าของแล้วร้องขอ” เสมียนมีก็ประสบกับภาวะเช่นนี้ขณะเดินทาง แต่เขากลับรีบแจวเรือหนี เพราะกลัวถูกค้นแล้วขอข้าวของ (สุนทรภู่ 2509 : 27 หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 34)

ด่านในเมืองสุพรรณที่ตั้งอยู่บนทางน้ำสัญจร เป็นเขตชนบทนอกตัวเมือง คือ บ้าน “ศรีจัน” (ศรีประจันต์) อยูในทำเลที่ตั้งช่วงแม่น้ำแก่งหาดตื้นใช้เป็นท่าเรือด้วย สุนทรภู่บรรยายว่าที่นี่เป็นจุดข้ามแม่น้ำของช้างและเกวียนเดินทาง เป็นจุดสัญจรของผู้คนจากชุมชนตอนในนั่นเอง จึงเป็นชุมชนที่บ้านเรือนตั้งเรียงราย ที่สำคัญมีโรงเหล็กชาวจีนเป็นเจ้าของ ไม่ไกลจากบ้านศรีจันเป็น “ด่านขนอน” ทำเลเป็นหาดใหญ่ มีชุมชนขนาดใหญ่ที่ทั้งคนไทย เจ๊ก มอญ และลาวตั้งบ้านเรือนอยู่ร่วมกัน (สุนทรภู่ 2509 : 55-56)

บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับด่านบนเส้นทางน้ำสายนี้ของสุนทรภู่ ทำให้เรามองเห็นทำเลที่ตั้งและบทบาทหน้าที่ของด่านต่อนักเดินทางได้ชัดเจน รวมถึงมองเห็นความสำคัญของด่านทั้งในฐานะจุดตรวจสอบการเดินทางเข้าออก ป้องกันปัญหาการลักลอบเดินทางและสืบข่าวจากรัฐคู่แข่งทางการเมืองและยังทำประโยชน์ในด้านการหารายได้ให้กับรัฐและหัวเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตามภาพสะท้อนอีกด้านหนึ่งนายด่านก็มีช่องทางโอกาสหาผลประโยชน์ส่วนตัวได้ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าข้าราชการเวลานั้นได้รับเบี้ยหวัดและส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมการเก็บภาษีเหล่านี้ การเรียกร้องผลประโยชน์จากคนเดินทางอาจเป็นความชอบธรรมของนายด่านแต่กลับสร้างความน่ารังเกียจในความรู้สึกของสุนทรภู่และความเบื่อหน่ายให้กับและเสมียนมี

ส่วน ศาลอารักษ์ เป็นสถานที่สำคัญในฐานะสิ่งสักการะที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ปกป้องรักษารอยต่อแดนทั้งช่วงด่าน ก่อนเข้าเมือง และก่อนเข้าสู่เขตพื้นที่ป่าลึก สุนทรภู่บันทึกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ โดยเรียกชื่อเป็น “อารักษ์” อย่างบางสามศาล เป็นศาลอารักษ์ประจำด่านก่อนเข้าเขตเมืองสุพรรณ ย่านยายท้าวเป็นหมู่บ้านที่มีพิธีกรรมลงผี “อารักษ์” ที่ทำให้เข้าใจว่าน่าจะเป็นอารักษ์ประจำเมือง และศาลสองพี่น้องที่คลองกระเสียวซึ่งออกจากป่าโป่งแดง ก็เป็นอารักษ์พิทักษ์ไพร หรือผีเจ้าป่านั่นเอง (สุนทรภู่ 2509 : 27, 42, 69) การบอกเล่าถึงศาลอารักษ์ในชุมชนบนเส้นทางในด้านหนึ่งก็มองเห็นความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติของชาวท้องถิ่น และมีพลังที่ทำให้นักเดินทางพื้นเมืองทั้งสุนทรภู่และเสมียนมีต่างให้ความเคารพสักการะ โดยเฉพาะสุนทรภู่ยังได้พรรณนาถึงพลังอำนาจของอารักษ์โดยเฉพาะในเขตป่าอย่างศาลสองพี่น้อง และวิญญาณที่ดูแลเจดีย์โบราณในป่าลึก เป้าหมายที่คนเดินทางเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของ “พระปรอท” เรื่องเล่าเหนือจริงสร้างจินตนาการให้ผู้อ่านคล้อยตามด้วยความเชื่อและตื่นเต้นด้วยภาพน่าสะพรึงกลัวจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์นั้น เรื่องเล่าแนวนี้ถูกสอดแทรกเป็นระยะๆ สามารถกระตุ้นอารมณ์สนุกสนานแก่ผู้อ่านและฟังได้อย่างมาก

นิราศสุพรรณ บันทึกความยากลำบากของการเดินทาง
โครงเรื่องนิราศสุพรรณ
กรุง
เส้นทางสู่เมืองสุพรรณ
เมืองสุพรรณ
ป่า
เรื่องเล่าท้องถิ่น
การผลิตและภาวะความเป็นอยู่
ด่านและศาลอารักษ์
ตำนานท้องถิ่นสุพรรณ
วัฒนธรรมชาวกรุงพบวัฒนธรรมชาวบ้าน
กลุ่มชาติพันธุ์
ไหว้พระและศรัทธาพุทธ
ไม้ ปลา นก แร่ : ธรรมชาติวิทยาในนิราศสุพรรณ
คำอธิบายเพิ่มเติม
บรรณานุกรม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย