วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี
บันทึกการเดินทางและการอ่านเพื่อเข้าถึงเรื่องเล่าท้องถิ่น
วารุณี โอสถารมย์
ไหว้พระและศรัทธาพุทธ
ทั้งสมบัติและนิธิต่างให้ข้อสรุปถึงโลกทัศน์และความคิดสุนทรภู่
และเสมียนมีในฐานะตัวแทนกระฎุมพีที่มีต่อพุทธศาสนานั้น
ไม่ใช่เรื่องของการยึดในหลักปรมัตถ์ธรรมหรือ การแสวงหาเป้าหมายสูงสุด คือ นิพพาน
หากแต่เป็นหลักการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันและคาดหวังผลประโยชน์ในชาตินี้
พุทธศาสนาจึงต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ตามแนวทางดังกล่าว
และต้องไปกันได้กับอาชีพและหน้าที่การงานพุทธศาสนาของพวกเขาจึงไม่ปฏิเสธวัตถุและไม่ขัดแย้งกับความคิดในการสะสมทรัพย์และการแสวงหาความสุขสบายในโลกนี้
(สมบัติ จันทรวงศ์ 2523 : 282-284 และนิธิ เอียวศรีวงศ์ 2527 : 261-264)
ด้วยแนวคิดนี้จึงเห็นได้ว่า บันทึกนิราศทั้งสองฉบับ
สุนทรภู่และเสมียนมีให้ความสำคัญกับพุทธศาสนสถานสำคัญของชาวเมืองนี้ คือ
วัดป่าเลไลย์อย่างมาก ทั้งสองคนเดินทางไปนมัสการพระพุทธรูปป่าเลไลย์วัดนอกเมือง
ด้วยศรัทธาที่หวังพึ่งพาอำนาจพุทธคุณ
ดลบันดาลให้การปฏิบัติภารกิจอันเป็นประโยชน์ส่วนตนสำเร็จลุล่วงไปได้
ทั้งคู่แสดงความเชื่อถือศรัทธาในความงามและความมีอายุเก่าแก่โบราณ
สุนทรภู่เพียงแต่พรรณนาลักษณะพุทธศิลปะขององค์พระไว้อย่างชัดเจน
บอกความหมายการเป็นพระพุทธรูปปางเลไลย์ พระพักตร์ยิ้ม ประกอบด้วย
ลิงและช้างแสดงท่าพุทธบูชาว่า
ขึ้นโขดโบสถ์เก่าก้ม กราบยุคล
พระป่าเลไลย์ก็ยล อย่างยิ้ม
ยอกรหย่อนบาทบน บงกช แก้วเอย
ปลั่งเปล่งเพ่งพิศพริ้ม พระหนั้งดังองค์
เทียนธูปบุปผชาติ
บูชา
นึกพระเสด็จมา ยับยั้ง
ลิงเผือกเลือกสมอพวา ถวายไว้ ใกล้แฮ
ช้างเผือกเลือกผึ้งทั้ง
กิ่งไม้ไหว้ถวาย
(สุนทรภู่ 2509 : 49)
ในขณะที่เสมียนมีเองชื่นชมความงามและความใหญ่โตขององค์พระที่สูงถึง 7
วา ในมิติ ลักษณะเดียวกับสุนทรภู่
และยังตั้งคำถามถึงอายุการสร้างและความเก่าแก่โบราณ
แต่ขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงการดูแลซ่อมแซมที่ไม่ประณีตว่า
เอาปูนปิดปะพอได้การ ทำให้มองเห็นถึงความทรุดโทรมขององค์พระพุทธรูป
เขายังรู้สึกตำหนิเหล่าข้าพระ ที่มีหน้าที่บำรุงรักษาวัดแห่งนี้
แต่กลับละเลยจนถึงขั้นน่าลงโทษฐานเกียจคร้านต่อหน้าที่
เป็นพระนั่งปิดทองของบูราณ
เห็นนานหนักหนากว่าร้อยปี
พระพาหาขวาซ้ายทลายหัก
วงพระพักตร์ทองหมองไม่ผ่องศรี
ห้อยพระชงฆ์ลงเรียบระเบียบดี
แล้วก็มีลิงช้างข้างละตัว
ช้างหมอบม้วนงวงจ้วงจบอยู่
ลิงก็ชูรวงผึ้งขึ้นท่วมหัว
พื้นผนังหลังคาก็น่ากลัว
ฝนก็รั่วรดอาบเป็นคราบไคล
พวกข้าพระวัดนี้ก็มีอยู่
ไม่เหลียวดูพระบ้างไปข้างไหน
จนวัดวารกรื้อออกปื้อไป
ไม่มีใครถากถางจึงร้างโรย
(หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 72-73)
บันทึกสภาพและลักษณะองค์พระพุทธรูปนี้
เป็นการให้ภาพก่อนมีการบูรณะครั้งใหญ่ที่อุปถัมภ์โดยราชสำนัก
ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่าสิบปีตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 4
การไหว้พระของกวีทั้งสองเป็นบันทึกที่แสดงถึงความเชื่อและศรัทธาต่อพุทธศาสนา
มุ่งหวังเชิงประโยชน์ของการใช้ชีวิตในโลกนี้
เสมียนมีซึ่งได้ใช้เวลาพำนักอยู่ในเมืองนี้หลายเดือน
ยังบันทึกภาพประเพณีงานบุญออกพรรษา ทอดกฐิน เป็นงานบุญฉลองวัดป่าประจำปี
ซึ่งตรงกับวันพระแปดค่ำเดือน 12 งานนี้ไม่เป็นแต่เพียงประเพณีการไหว้พระ
หากยังเป็นงานชุมนุมของชาวเมืองที่เป็นการละเล่นบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจร่วมกัน
ด้วยการละเล่นเพลงเรือ ร้องเพลงแก้กัน การละเล่นเป็นช่วงเย็น
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อย แดดอ่อน ผู้คนหนุ่มสาวพายเรือ ร้องเพลงแก้กันเป็นคู่
เขาเองแม้จะชื่นชมเสียงร้องเพลงของผู้หญิงว่ามีความไพเราะรับกับดนตรีปี่พาทย์
แต่ก็อดหวนรำลึกเปรียบเทียบการเล่นเพลงเรือของตนเองและพวกพ้องชาวกรุงไม่ได้
พร้อมกับนึกถึงความสามารถในการบอกบทสักวาของตนเอง
จนฝันอยากพากลุ่มเพื่อนมาเล่นสักวาที่นี่ และ จะบอกบทบูชาวัดป่าบ้าง
เพื่ออวดแก่ชาวเมืองนี้ ในตอนเช้าจึงเป็นการเดินทางมาไหว้พระ
ชาวเมืองแต่งตัวอวดกันและจัดเครื่องบูชาลงเรือพายเข้าคลองซอยแยกเข้าวัดป่า
เสมียนมีพบว่ามีเรือจำนวนมาก ต่างมุ่งหน้ามาไหว้พระ
เขาบรรยายสภาพงานวัดป่าปีนั้นว่า ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแออัด
พากันเข้าไปสักการะพระพุทธรูปที่วิหาร
เล่าถึงบุญกิริยาแตกต่างกันไปของชาวเมืองในขณะไหว้พระ
จนทำให้เห็นถึงเป้าหมายที่ไม่เหมือนกันของผู้คนที่เดินทางมาที่วัด
เข้าถึงบทบาทวัดต่อผู้คนในชุมชน ภาพที่เขาเห็น บางพวกถือเอาวัดเป็นที่พบปะหนุ่มสาว
เกี้ยวพาราสี จนเป็นเนื้อคู่กัน
คู่รักบางคู่ไหว้พระปฏิมาอธิษฐานขอให้เป็นเนื้อคู่จนได้แต่งงานกัน
บางคนขอให้ตนเองมียศศักดิ์สูงขึ้น ประสบความรุ่งเรืองพร้อมทั้งฐานะ อำนาจทุกชาติไป
(หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 67-71) สำหรับกวีทั้งสองการมาไหว้พระป่าเลไลย์ คือ
การขอให้พวกตนบรรลุผลในการทำงานและเดินทางครั้งนี้ สุนทรภู่ขอให้พ้นจากความยากจน
ส่วนเสมียนมีขอให้เก็บอากรคราวนี้มีกำไร (สุนทรภู่ 2509 : 49หมื่นพรหมสมพัตสร (มี)
2544 : 73)
ความศรัทธาพุทธศาสนาที่มองความเป็นไปได้ในโลกปัจจุบันเช่นนี้
ทำให้ทั้งเสมียนมีและสุนทรภู่มองเห็นความสำคัญของวัตถุและสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้
ในทางศาสนา ศรัทธาของพวกเขายังมีต่อการบำรุงรักษาศาสนวัตถุสถาน อันได้แก่
พระพุทธรูป โบสถ์วิหารด้วย
เสมียนมีถึงกับตั้งปณิธานหากตนเองได้กำไรจากการเก็บอากรครั้งนี้
ก็จะออกเงินปฏิสังขรณ์องค์พระและอุโบสถ เพื่อสืบพุทธศาสนา
สำหรับสุนทรภู่เขาได้สะท้อนศรัทธา
ด้วยการบรรยายอารมณ์ความรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นวัดหลายแห่งอยู่ในสภาพหักพังและทิ้งร้างทั้งในและนอกเมือง
เช่น วัดธรรมกูล ที่ขอบเขื่อนริมน้ำทลาย โบสถ์พังทับพระพุทธรูป หลังคาเปิด
ปล่อยให้น้ำฝนไหลเจิ่งนองพระพุทธรูป น
อกจากวัฒนธรรมแล้วเขายังบันทึกความเห็นที่มีต่อวัตรปฏิบัติของสงฆ์ชาวบ้านที่ไม่เหมาะสมตามมาตรฐานของตนเอง
เมื่อเดินทางถึง วัดเขาโพ ตั้งอยู่ชายป่า วัดนี้ร่มรื่น
จนเขามองเห็นศรัทธาผู้คนในการสร้างพระอุโบสถ
จึงได้นมัสการถวายปัจจัยไทยทานแก่เจ้าอาวาสและพระในวัด
แต่ภาพที่เขาเห็นวัตรปฏิบัติของพระชาวบ้าน
ที่มีกิจกรรมยามว่างเฉกเช่นเดียวกับคฤหัสถ์ คือ การตั้งวงเตะตะกร้อ เมื่อหยุดเล่น
ก็นุ่งหยักรั้ง ตีไก่พนันกัน เขารู้สึกเสียศรัทธา
และมองเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมในการที่พระชาวบ้านไม่ได้เคร่งครัดในศีลธรรม
วันต่อมาเมื่อพระกลุ่มนี้ ถูกเสือคาบไปกิน ขณะออกไปยิงนก
ที่จริงแล้วก็มีผู้วิเคราะห์การวางตัวในฐานะสงฆ์ของสุนทนภู่เองว่า
แม้ขณะบวชก็ไม่ได้เป็นพระที่เคร่งครัดและอาจไม่อยู่ในครรลองศีลบางข้อทำนองเดียวกับพระชาวบ้านกลุ่มนี้
หากด้วยความคิดในการจัดลำดับฐานะพระชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ป่าและเมืองชนบทให้ด้อยกว่า
ทำให้สุนทรภู่กลับรู้สึกว่าเป็นความเหลวไหลไม่อยู่ในกรอบศีลธรรมของพระชาวบ้าน
และยิ่งทำให้กวีทั้งสองมีข้อสรุป การมองภาพรวมของเมืองสุพรรณว่า
เป็นเมืองนอกเขตศูนย์กลางราชธานีที่แสนทุรกันดารดังที่สุนทรภู่กล่าวไว้ในตอนท้ายเรื่อง
โคลงแทนแผนที่ถุ้ง ทางสุพรรณ
เที่ยวเล่นเป็นสำคัญ
เขตคุ้ง
ไร่นาป่าปลายปัจจัน ตประเทศ ทุเรศเอย
เขาทำลำธารถุ้ง
ถิ่นละว้าป่าโขลง
(สุนทรภู่ 2509 : 102)
หรือ ที่เสมียนมีกล่าวไว้คล้ายคลึงกัน คือ
ภูมิประเทศเขตขัณฑ์ทุกวันนี้
กลายเป็นที่ท้องนาป่าระกำ
พระเจดีย์วิหารบูราณสร้าง
ก็โรยร้างร่วงหรุบสิ้นอุปถัมภ์
ทั้งพาราอาภัพยับระยำ
สุดจะร่ำเรื่องว่าน่าเสียดาย
(หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) 2544 : 75)















