วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่
นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี
บันทึกการเดินทางและการอ่านเพื่อเข้าถึงเรื่องเล่าท้องถิ่น
วารุณี โอสถารมย์
นิราศในการศึกษาวรรณกรรมร้อยกรองไทยอย่างสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพลงมาจนถึงเปลื้อง ณ นคร มักเข้าใจกันว่า นิราศเป็นคำเรียกกวีนิพนธ์ประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 มีเนื้อหาสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ หวั่นวิตกและความกลัว ที่ต้องแยกหรือพรากจากสถานที่และผู้คนอันเป็นที่รัก เนื่องจากต้องมีการเดินทาง แบบแผนการเขียนนิราศจึงมีแก่นเรื่องของการพลัดพรากจากกัน-ความรัก-การเดินทางไกล (ดูเปลื้อง ณ นคร ในคำนำนิราศเมืองสุพรรณฉบับสมบูรณ์ของสุนทรภู่ , 2509 : ข) จนกระทั่งต้นทศวรรษ 2520 มนัสจึงได้ชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบและเนื้อหานิราศ ว่า มีอยู่ 2 ประเภท คือ นิราศที่เดินเรื่องด้วยเวลาตามวัฏจักรฤดูกาล และนิราศชนิดที่เป็นเพียงการเดินทางในจินตนาการ เป็นนิราศสมมุติ
อาศัยข้อมูลจากวรรณคดีเป็นตัวเดินเรื่องไม่มีการเดินทางจริง
จนถึงยุครัตนโกสินทร์ นิราศได้พัฒนาการประสมกลมกลืนรูปแบบคำประพันธ์ทั้งสองประเภท
จนเป็นนิราศชนิดใหม่ที่เดินเรื่องตามลำดับระยะเวลาของการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง
และสัมพันธ์กับกระบวนการเดินทางของกวีผู้เขียนนิราศนั้น
นิราศแบบใหม่จึงเป็นบันทึกการเดินทางของผู้เขียนตามระยะเวลา
นิราศไม่ได้เป็นแค่เพียงการเดินทางในจินตนาการ แต่เป็นการพรรณนาถึงการเดินทางจริง
โดยบันทึกเล่าเรื่องตามที่ตัวเองเห็นว่าสำคัญ หรือน่าสนใจ ได้แก่
ฉากทางภูมิศาสตร์เส้นทาง ชุมชน และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
โดยสร้างความสัมพันธ์กับตัวตนกวี นิราศจึงเป็นเรื่องที่เล่าถึงตัวเองเป็นหลัก
แก่นเรื่องความรัก ความโหยหา แม้จะไม่ได้หายไป แต่ก็มีความสำคัญเป็นเรื่องรอง
มนัสถือว่า กวีที่ประสบความสำเร็จและเป็นครูต้นแบบการเขียนนิราศชนิดนี้
จนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและสืบทอดมาจนทุกวันนี้ คือ สุนทรภู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการสร้างรูปแบบและเทคนิคการประพันธ์เนื้อหาที่ต้องการสื่ออารมณ์โหยหาความรัก
และการพรากจาก ด้วยการเลือกชื่อสถานที่ พันธุ์ไม้ และธรรมชาติ
แล้วสร้างความหมายของภาษาให้มี 2 นัย จากนั้นก็เคลื่อนย้ายรูปแบบและความหมาย
ให้จบลงด้วยการสื่อความรู้สึกที่เป็นทุกข์
หรือสื่อความทรงจำในอดีตที่เป็นประวัติชีวิตตัวเอง
รวมถึงความรักที่เป็นความสัมพันธ์ของเขากับหญิงคนรักที่มีตัวตนจริงและมีความสัมพันธ์ในชีวิตจริงของเขา
(Manas, 1972 : 139 - 149)
ในขณะที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์คนแรกๆ
ที่ใช้วรรณกรรมเป็นข้อมูลหลักฐานเขียนประวัติศาสตร์สังคมไทย
ได้วิเคราะห์ถึงลักษณะพัฒนาการนิราศอีกด้านหนึ่ง ระบุว่า นิราศ
เป็นคำใช้เรียกบทร้อยกรองที่มีโครงเรื่องการพลัดพราก
จากหญิงคนรักในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี้เอง โดยมีพัฒนาการจากกำเนิดสมัยปลายอยุธยา
นำเอา เพลงยาว ซึ่งเป็นการฝากรักในวรรณกรรมชาวบ้าน มาใช้แต่งจดหมายเหตุระยะทางกวี
หรือบันทึกจดหมายเหตุ เหตุการณ์สำคัญในชีวิตกวี
ซึ่งจดหมายเหตุเป็นวิวัฒนาการเขียนแบบราชสำนักอย่างหนึ่ง
หากแต่เนื้อหาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเดินทางมากไปกว่าเรื่องความรัก
จนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์
นิราศจึงใช้เรียกคำประพันธ์ที่มีรูปแบบกลอนเพลงยาวผสมผสานกับจดหมายเหตุ
หากแต่มีเนื้อหาพรรณนาการเดินทางที่เป็นเรื่องของเวลา สถานที่
และประสบการณ์ที่ดูเหมือนจริง ประสานกับการรำพันถึงหญิงคนรัก
วรรณกรรมนิราศที่เกิดจากฉันทลักษณ์ร่วมระหว่างวรรณกรรมราชสำนักกับวรรณกรรมประชาชน
จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ประชาชน
นิธิอธิบายเหตุผลนี้ ว่าเป็นเพราะนิราศยุคนี้
เกิดขึ้นภายใต้จารีตแบบใหม่ที่สอดคล้องกับชีวิตของกระฎุมพีคนเมืองในกรุง
พวกเขาเป็นกระฎุมพียุคเริ่มแรก
ถือกำเนิดภายใต้บริบทเศรษฐกิจสังคมที่มีการขยายตัวของการค้าในกรุง
และเมื่อมีการเดินทางกว้างขวางขึ้น ทำให้ขอบข่ายชีวิตผู้คนกว้างขวาง
ผู้คนในเมืองจึงอยากรู้เรื่องราวพื้นที่อื่นที่พวกเขารู้ว่ามีอยู่จริงนอกกรุงเทพฯ
เช่น เพชรบุรี ภูเขาทอง แกลง พระแท่นดงรัง และพระปฐมเจดีย์
นิธิถือว่าการเดินทางครั้งนั้นเป็นการให้ภาพผจญภัยที่ไม่เป็นอันตราย หากแต่มีสีสัน
ความสนุกสนาน รวมถึงการเขียนถึงก็ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ไปด้วยได้ลิ้มรสความสนุกสนานขึ้น
ด้วยเนื้อหาความสนุกที่บรรยายถึงทิวทัศน์ การผจญภัยจริงบ้างเท็จบ้าง
ภาษิตคำคมที่เข้าใจง่าย มีทำนองกลอนอ่อนหวาน ฟังเพลิดเพลิน
โดยไม่ต้องคำนึงถึงความหมายมากนัก
ทำให้นิธิวิเคราะห์ว่านิราศแบบใหม่นี้จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรม
เพื่อการอ่าน ที่มีไว้ตอบสนองกระฎุมพี กลุ่มคนที่อ่าน-เขียนได้ มีเวลาว่าง
เพราะมีฐานะดีพอที่จะแสวงหาความเพลิดเพลินจากการอ่านได้มากขึ้น
ที่สำคัญนิราศยังมีลักษณะเด่นที่สะท้อนความเป็นสัจนิยมและมานุษยนิยมด้วย
นิธิเองยอมรับว่าสุนทรภู่
เป็นกวีที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์วรรณกรรมประเภทนี้ (นิธิ เอียวศรีวงศ์.
2527. ข. : 198-200 , 246-249 และ 290 และ ก. : 36 , 65 และ 71)
ประเด็นนี้สมบัติ จันทรวงศ์
นักรัฐศาสตร์ผู้เคยศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ความคิดไทยก่อนหน้านี้
ได้ใช้กรณีศึกษาโลกทัศน์สุนทรภู่ อธิบายฐานะความเป็นกวีของสุนทรภู่ว่ามีลักษณะพิเศษ
เพราะเป็นสามัญชนที่บังเอิญมีชีวิตใกล้ชิดกับทั้งราชสำนักและประชาชน
เขาจึงเป็นทั้งกวีผู้เขียนงาน และเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินผู้อยู่ใต้การปกครอง
งานเขียนของเขาจึงสะท้อนความคิดของสังคมไทยได้ดี
และกว้างขวางกว่ากวีส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ปกครอง
ผลงานของเขาจึงเป็นที่นิยมของคนทุกยุคทุกสมัย การใช้ฉันทลักษณ์ชนิด กลอนตลาด
ยังทำให้เป็นที่นิยมติดตลาดผู้อ่าน ผลงานเขียนประเภทหนึ่งของสุนทรภู่นั้น คือ
นิราศซึ่งสมบัติมองเห็นว่า
นอกจากมีแก่นเรื่องคร่ำครวญถึงหญิงคนรักและพรรณนาสิ่งที่เห็นในการเดินทาง
แล้วยังเป็นคำประพันธ์แสดงความรู้สึกที่แท้จริง
ซึ่งเขาคิดว่านิราศเป็นบทประพันธ์ประเภทที่สุนทรภู่และกวีคนอื่นๆ
แสดงออกถึงภาวะความเป็นจริงได้มากกว่าบทร้อยกรองชนิดอื่น (สมบัติ จันทรวงศ์. 25.
274-275, 277)
ในแง่นี้ดูเหมือนว่านักวิชาการไทยปัจจุบันต่างเห็นพ้องกันถึงสถานะทางวรรณกรรมนิราศ
ว่าเป็นเสมือนบันทึกเล่าเรื่องการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงหรือมีอยู่จริง
จึงไม่น่าแปลกใจที่นักประวัติศาสตร์ปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญกับนิราศ
ในฐานะข้อมูลบันทึกการเดินทางแบบจารีตของนักเดินทางชาวไทย S.J. Terweil
เป็นหนึ่งในนักวิชาการนั้น ที่ประมวลข้อมูลการเดินทางทั้งชาวไทยและชาวตะวันตก
รวมถึงนิราศที่เขียนในยุคต้นรัตนโกสินทร์เข้าไปด้วย
เขายอมรับความเป็นจริงที่มีอยู่ในนิราศ
เพื่อให้ความสำคัญแก่นิราศในฐานะการเป็นข้อมูลท้องถิ่น
โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตในชุมชน จำนวนประชากร
และเส้นทางการเดินทางตลอดจนภูมิทัศน์ชุมชน (Terweil.B.J.1989)
ความเป็นจริงในนิราศนั้นตรงไปตรงมาอย่างไม่มีข้อจำกัดเลยหรือ ธงชัย
วินิจจะกูล ก็เป็นนักประวัติศาสตร์ไทยคนแรกๆ ที่พยายามชี้ข้อจำกัดนี้
ด้วยการวิเคราะห์ความหมายการเดินทางและบันทึกการเดินทางในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่
20 ใหม่ ซึ่งรวมเอานิราศเข้าไว้ด้วย
ว่าการเดินทางเป็นวาทกรรมที่สื่อให้มีการสร้างตารางลำดับความศิวิไลซ์เชิงมานุษยวิทยา
โดยผ่านการมองเห็นของชนชั้นนำสยาม
บันทึกการเดินทางจึงเป็นโครงร่างชาติพันธุ์วิทยาในลักษณะนามธรรม
จัดวางตำแหน่งแห่งที่ และความสัมพันธ์ของ ผู้คน ที่อยู่ในภูมิศาสตร์ตัวตนของสยาม
โครงร่างความคิดนี้ถูกปฏิบัติการผ่านการเดินทางและความคิดเกี่ยวกับชาติพันธุ์
สิ่งที่ถูกมองเห็นและจับวางอยู่ในตำแหน่งทางชาติพันธุ์ ที่เป็น ความเป็นอื่น
มีอยู่ 2 ชนิด คือ ชาวป่า ป่าหรือคนป่า กับ ชาวบ้านนอก (Thongchai Winichakul,
1993 : 41.)
นิราศเสนอเรื่องราวที่เป็นจริงถึงสถานที่ ผู้คน
เหตุการณ์และเรื่องเล่าที่อยู่ในท้องถิ่นโดยผ่านสายตาของกวีผู้เดินทางตามที่นักวิชาการก่อนหน้านี้เคยวิเคราะห์ไว้
ถ้าหากมีการอ่านเพื่อสร้างความหมายใหม่ ความเป็นจริงที่เกี่ยวกับท้องถิ่น
ภายใต้แนวทางอธิบายแบบอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำความเข้าใจถึงเจตนคติของกวีผู้บันทึกข้อมูลก็อาจทำให้เราเข้าใจเรื่องเล่าท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในนิราศอีกแบบหนึ่งได้
บทความนี้จึงต้องการอ่านนิราศใหม่
เพื่อดูว่านิราศได้สร้างเรื่องเล่าท้องถิ่นที่เป็นจริง ในเรื่องใดและลักษณะใด
เรื่องเล่าใดถูกเลือกสรรเพื่อสืบทอดขยายความ และรักษาให้คงอยู่ถึงปัจจุบัน
เพื่อให้การศึกษานี้มีตัวอย่างกรณีศึกษาชัดเจน
จึงขอใช้การวิเคราะห์ตัวบทนิราศสุพรรณสองเรื่องที่แต่งโดยสุนทรภู่และหมื่นพรหมสมพัตสร
(เสมียนมี) ซึ่งเล่ากันว่าเป็นศิษย์ทางการประพันธ์คนหนึ่งของสุนทรภู่
วรรณกรรมนิราศทั้งสองแม้จะใช้สถานที่ปลายทางเมืองท้องถิ่นและเส้นทางการเดินทางเดียวกัน
เป้าหมายการเดินทางอาจต่างกัน
หากแต่ในที่สุดแล้วด้วยเจตนคติเบื้องหลังโครงเรื่องนิราศสุพรรณ
นั้นมองเห็นเมืองท้องถิ่นในแบบเดียวกัน
ข้อมูลที่เป็นเรื่องเล่าท้องถิ่นเมืองสุพรรณจึงมีแนวการอธิบายคล้ายคลึงกัน
และเรื่องเล่าในนิราศยังถูกคัดสรรจากผู้ปกครองส่วนกลางยุคต่อมาในศตวรรษที่ 20
ด้วยการเชื่อมโยงขยายความ
สร้างสถานะความเป็นจริงโดยอ้างอิงเข้ากับหลักฐานลายลักษณ์ส่วนกลาง
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขียนประวัติศาสตร์ชาติ
นิราศสุพรรณ บันทึกความยากลำบากของการเดินทาง
โครงเรื่องนิราศสุพรรณ
กรุง
เส้นทางสู่เมืองสุพรรณ
เมืองสุพรรณ
ป่า
เรื่องเล่าท้องถิ่น
การผลิตและภาวะความเป็นอยู่
ด่านและศาลอารักษ์
ตำนานท้องถิ่นสุพรรณ
วัฒนธรรมชาวกรุงพบวัฒนธรรมชาวบ้าน
กลุ่มชาติพันธุ์
ไหว้พระและศรัทธาพุทธ
ไม้ ปลา นก แร่ : ธรรมชาติวิทยาในนิราศสุพรรณ
คำอธิบายเพิ่มเติม
บรรณานุกรม