สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของประเทศไทย
ความเหลื่อมล้ำ
การบริหารจัดการทรัพยากร
การบริหารจัดการทรัพยากร
ทรัพยากรธรรมชาติ
ธรรมชาติเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิตและการพัฒนา แต่นโยบายและมาตรการเร่งรัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐที่ผ่านมา ซึ่งกระทำในโครงสร้างการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ จึงเปิดโอกาสให้อำนาจทุนใช้รัฐเป็นเครื่องมือตักตวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืนของทรัพยากร และมีความไม่เป็นธรรม ส่งผลอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตคนไทยและสิ่งแวดล้อม จนเกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ป่าต้นน้ำถูกทำลาย แหล่งน้ำถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษ ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ สัตว์น้ำเหลือน้อย ฯลฯ เป็นต้น ผู้คนจำนวนมากถูกกีดกันออกไปจากการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น ทำให้ชีวิตตกต่ำลงในทุกด้านและยากที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นจึงสร้างความเหลื่อมล้ำให้เกิดแก่ผู้คนอย่างมาก เพราะเข้าไม่ถึงทรัพยากรธรรมชาติ จึงยิ่งยากจนลง และไร้โอกาสในด้านอื่นๆ
ทรัพยากรสำคัญที่ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เห็นว่าต้องปฏิรูปการบริหารจัดการ ตลอดจนกลไกของการจัดการ มีอยู่หกด้าน คือที่ดิน, แร่, ป่า, น้ำ, ทะเลและชายฝั่งและสิ่งแวดล้อมกับระบบนิเวศ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร
ที่ดินเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของฐานชีวิตสำหรับทุกคนและมีอยู่จำกัด ดังนั้นจึงไม่อาจถือได้ว่าที่ดินเป็นสินค้าเสรี เหมือนสินค้าทั่วไปในตลาดทุนนิยมเสรี การปล่อยให้รัฐและอำนาจทุนเข้าถือครองที่ดินอย่างไม่จำกัดสร้างความไม่เป็นธรรมให้สังคมอย่างใหญ่หลวง มีที่ดินจำนวนมากที่ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า เพราะรัฐครอบครองโดยไม่ใช้ประโยชน์ หรือนายทุนถือครองเพื่อเก็งกำไร สูญเสียกำลังการผลิตทางเศรษฐกิจจากที่ดินประเภทนี้ไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มีเกษตรกรไร้ที่ทำกินหรือมีที่ทำกินไม่เพียงพอจำนวนมาก ต้องเช่าที่ดินอันเป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และไม่สนใจจะพัฒนาคุณภาพของที่ดินเพื่อการเกษตร ที่ดินมีราคาแพงจนประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
กลไกตลาดไม่เคยทำงานอยู่ในสุญญากาศ แต่ทำงานอยู่ท่ามกลางเงื่อนไขและกติกาหนึ่งๆ เสมอ เงื่อนไขและกติกาเกี่ยวกับการจัดการที่ดินในประเทศไทยก่อให้เกิดการกระจุกตัวของที่ดินในมือคนกลุ่มน้อย คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) จึงเสนอว่าจำเป็นต้องแก้ไขเงื่อนไขและกติกาเกี่ยวกับการจัดการที่ดิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มผลิตภาพด้านการเกษตรของประเทศ โดยฝากภาระการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ทั้งของครอบครัวและของสังคมโดยรวมไว้กับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งย่อมสามารถพัฒนาไปสู่อาชีพที่มีความมั่นคงและให้รายได้ไม่น้อยไปกว่าภาคการผลิตอื่นๆ
ข้อเสนอ
คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) จึงมีข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เสนอให้สังคมไทยพิจารณาดังนี้
- ปฏิรูประบบข้อมูลที่ดินเพื่อการเกษตร
ระบบข้อมูลต้องมีความเป็นปัจจุบัน จากแหล่งข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว และเป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้โดยง่าย
หากเงื่อนไขและกติกาที่จะเอื้อต่อการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้จริง กระบวนการตรวจสอบมีความสำคัญ และการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ การตรวจสอบโดยสังคม อันประกอบด้วยสื่ออิสระ, องค์กรและบุคคลทางการเมืองทุกระดับ, ภาคประชาสังคม, หรือแม้ประชาชนผู้สนใจ ดังนั้นจึงต้องเป็นข้อมูลสาธารณะ เข้าถึงได้ง่ายแก่ทุกคน อยู่ในลักษณะที่สืบค้นได้ง่าย - กำหนดเพดานการถือครองที่ดินที่เหมาะสม
คือไม่เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือน กรณีกลุ่มองค์กรเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร ให้มีการถือครองที่ดินตามสัดส่วนของจำนวนสมาชิกขององค์กร ที่ร่วมทำเกษตรอยู่จริง โดยใช้อัตราภาษีก้าวหน้าเป็นกลไกควบคุม เกษตรกรที่ใช้ทุนเข้มข้นในการผลิตบนที่ดินขนาดใหญ่กว่า 50 ไร่ ก็ยังสามารถผลิตบนที่ดินขนาดใหญ่ต่อไปได้ ตราบเท่าที่การผลิตมีประสิทธิภาพพอที่จะคุ้มกับอัตราภาษีซึ่งก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับ
ในส่วนการทำเกษตรเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีบริษัทขนาดใหญ่ทำอยู่ไม่กี่รายในเวลานี้ ก็ยังอาจทำต่อไปได้ โดยเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการธุรกิจ มาเป็นสร้างแรงจูงใจทางการตลาดตามปรกติ เพื่อให้ผลิตได้มาตรฐาน และรับผลตอบแทนตามมาตรฐานที่เป็นธรรม หรือการทำเกษตรเชิงพันธะสัญญาซึ่งต้องรับความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างเป็นธรรมของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ธุรกิจเกษตรก็ยังมีบทบาทในการผลิตอาหารเหมือนเดิม แต่จะไม่เข้าไปแทนที่การผลิตอาหารของเกษตรกรรายย่อยลงโดยสิ้นเชิง หรือโดยที่เกษตรกรรายย่อยไร้อำนาจต่อรองสิ้นเชิง
จริงอยู่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คนหนุ่มสาวได้ไหลออกจากภาคเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนว่าเกษตรกรรมรายย่อยจะไม่มีอนาคตในประเทศนี้ แต่ทั้งนี้ก็เพราะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในการทำเกษตรรายย่อยตกต่ำลงอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับงานในสาขาอาชีพอื่น อย่างไรก็ตามในปีที่พืชผลการเกษตรมีราคาดี กลับปรากฏว่ามีผู้คนหลั่งไหลกลับเข้าสู่การเพาะปลูกโดยเฉพาะข้าวเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าการไหลออกหรือการดำรงอยู่ หรือแม้แต่การเพิ่มขึ้นของแรงงานภาคเกษตรล้วนเป็นการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจตามปรกติธรรมดา ฉะนั้นหากอาชีพการเกษตรให้ผลตอบแทนได้ไม่น้อยไปกว่าอาชีพอื่น (เพราะมีการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมควบคู่ไปด้วย ดังจะกล่าวถึงข้างหน้า) เกษตรกรรมรายย่อยก็จะยังมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสังคมไทยต่อไป อีกทั้งจะเป็นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับผลิตแรงงานฝีมือในภาคการผลิตอื่นๆ ต่อไปด้วย - กำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร
และคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พื้นที่เพื่อเกษตรกรรม ต้องมีความชัดเจน แม้อาจจะยืดหยุ่นได้ในระยะยาว จึงควรกำหนดเขตการใช้ที่ดินขึ้นทั่วประเทศ แต่ไม่ควรปล่อยให้รัฐเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง หากต้องเริ่มจากระดับท้องถิ่นขนาดเล็กขึ้นไป รวมกันขึ้นเป็นแผนของจังหวัด จึงจะสามารถสร้างแผนระดับชาติขึ้นได้
พื้นที่ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อเกษตรกรรมต้องได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมาย กล่าวคือไม่สามารถถูกแปรเปลี่ยนไปใช้ผิดประเภทได้ นอกจากนี้ผู้ที่ถือครองที่ดินเพื่อการเกษตร จะต้องทำเกษตรด้วยตนเองเท่านั้น จะให้ผู้อื่นเช่าหรือปล่อยทิ้งร้าง หรือกระทำอำพรางโดยไม่มีเจตนาทำเกษตรจริงไม่ได้ ควรใช้มาตรการทางภาษีอัตราก้าวหน้าสูงเป็นกลไกควบคุมให้เป็นไปตามที่กล่าว
ในการนี้ ควรปรับปรุงระบบการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรของสถาบันการเงิน เช่น ที่เสนอไว้ในเอกสารภาคผนวกเลขที่ 10 คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบเกษตรกรรม เรื่อง ข้อเสนอปฏิรูปการเกษตรเพื่อสังคมที่เป็นธรรม - จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตร
รัฐควรจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้น เพื่อนำเงินไปซื้อที่ดินที่ถือครองเกินขนาดจำกัด หรือที่ดินซึ่งเป็นหลักประกันหนี้เสียของธนาคาร ซึ่งควรจะมีราคาถูกลงอย่างรวดเร็ว เมื่อกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินหรือภาษีทรัพย์สินที่ก้าวหน้าได้เริ่มใช้บังคับ ธนาคารที่ดินย่อมบริหารที่ดินซึ่งได้มานี้กระจายไปยังเกษตรกรไร้ที่ทำกินหรือมีไม่พอได้ ในขณะเดียวกัน ธนาคารก็ยังอาจมีส่วนช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนได้ในปริมาณที่จำเป็น และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้ในการประกอบการด้านการเกษตร เช่น ร่วมค้ำประกันหนี้กับสถาบันการเงินให้เกษตรกร
กองทุนธนาคารที่ดินควรมีโครงสร้างการบริหารแบบกระจายอำนาจ ในระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับชาติ เพื่อกระจายภารกิจความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมไปยังชุมชนและท้องถิ่นทุกระดับ
การปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรให้มีความเป็นธรรม ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากข้อเสนอเบื้องต้นดังกล่าวนี้แล้ว สังคมยังอาจมีข้อเสนออื่นๆ ตามมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งยังต้องมีการดำเนินการด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การกระจายอำนาจการตัดสินใจไปสู่ประชาชนและท้องถิ่น การเสริมความเข้มแข็งของพลังประชาชน การเปิดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนสามารถร่วมกันบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ตลอดจนการพัฒนาองค์กรประชาชนให้เป็นกลไกสำคัญของการปฏิรูปที่ดินและจัดการที่ดิน อันเป็นฐานชีวิตของตนเอง
ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่
สภาพปัญหา
การพัฒนาทรัพยากรแร่ในประเทศไทยได้ทิ้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างหนัก ทั้งนี้เนื่องจากความด้อยประสิทธิภาพของกลไกการกำกับดูแล และข้อบกพร่องที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในโครงสร้างการบริหารจัดการ ดังกรณีการรั่วไหลของสารแคดเมียมที่แม่ตาว จังหวัดตาก จากการทำเหมืองสังกะสี, ลุ่มน้ำคลีตี้ตอนล่าง เนื่องจากการทำเหมืองตะกั่ว, จังหวัดพิจิตรเนื่องจากการทำเหมืองทองคำ, หรือความขัดแย้งอย่างรุนแรงในจังหวัดอุดรธานีเนื่องจากโครงการทำเหมืองโปแตซ คนที่เดือดร้อนบางครั้งแสนสาหัสก็คือประชาชนในท้องถิ่นซึ่งมีการทำเหมือง
ในแง่ของความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ มีความบกพร่องมาตั้งแต่ฐานคิดและหลักการ ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณนั่นคือ การเร่งขุดแร่ธาตุออกมาเพื่อหารายได้เข้ารัฐ ส่วนปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่จะตามมานั้น ค่อยหาทางเยียวยาหรือบรรเทาเอาในภายหลัง ฐานคิดเช่นนี้คำนึงแต่รายได้ โดยไม่คำนวณต้นทุนทางธรรมชาติและสังคมซึ่งต้องเสียไปรวมเข้าไปด้วย นอกจากนี้ยังไม่คำนึงถึงต้นทุนเสียโอกาส หรือผลประโยชน์ในระยะยาวของทรัพยากรแร่ เพราะในอนาคตไทยอาจใช้ประโยชน์เพิ่มมูลค่าของแร่เหล่านี้ได้เอง ซึ่งจะสร้างรายได้ให้มากกว่าการส่งออกในฐานะวัตถุดิบในปัจจุบัน หรือแร่ชนิดนั้นๆ อาจมีมูลค่าสูงกว่านี้อีกมากในอนาคตเป็นต้น
อันที่จริงรัฐธรรมนูญได้กำหนดกติกาต่างๆ ในกระบวนการตัดสินใจ ทั้งสิทธิการเข้าถึงข้อมูล และรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายแร่ไว้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ บางครั้งถึงกับกำหนดว่าเหมืองแร่ใต้ดินไม่อยู่ในรายการโครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
ข้อเสนอ
- ปรับฐานคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ โดย ก)
ให้ยึดหลักความเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างรัฐ, ท้องถิ่น และสาธารณะ ข)
ให้นำต้นทุนทางธรรมชาติ, สังคม
และค่าเสียโอกาสมาประเมินความคุ้มค่าของการทำเหมืองแร่ทุกชนิด
การทำเหมืองแร่ต้องไม่ทำลายทุนที่มีอยู่เดิมนี้
- ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยแร่
โดยกำหนดหลักการความเป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ร่วมกันระหว่างรัฐ,
ท้องถิ่นและสาธารณะ
- รัฐต้องดำเนินการตามมาตรา 57 ของรัฐธรรมนูญ ด้วย ก)
เปิดเผยแหล่งแร่และศักยภาพแหล่งแร่ต่อชุมชนท้องถิ่นเป็นการสาธารณะ ข)
ควรพิจารณาโครงการเหมืองแร่ไว้ในโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
ฉะนั้นจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 67 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญ
- ออกกฎหมายสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรแร่
(ตามที่กล่าวไว้แล้วในข้อเสนอเรื่อง "ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ" ของ
คณะกรรมการปฏิรูป)
- ปรับกระบวนการขอประทานบัตรและอาชญาบัตรให้สอดคล้องกับหลักการข้างต้น
- ให้เรียกเก็บเงินประกันความเสี่ยงจากกิจการเหมืองแร่
เพื่อตั้งกองทุนขึ้นสำหรับการเยียวยาหรือฟื้นฟูพื้นที่
ดังที่ปฏิบัติกันในหลายประเทศ
- ให้มีระบบรับรองมาตรฐานการดำเนินการ สำหรับพิจารณาต่ออายุสัมปทานหรือการขอ
อาชญาบัตรและ/หรือประทานบัตรใหม่
โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาสังคมในท้องถิ่นร่วมตรวจสอบ
ทั้งในระดับพื้นที่, ระดับนโยบายและในภาพรวม และให้คำรับรองมาตรฐาน
- ให้แบ่งรายได้จากทรัพยากรแร่อย่างเป็นธรรมระหว่างรัฐและท้องถิ่น และควรจัดทำข้อกำหนดให้นำรายได้จากทรัพยากรแร่ไปใช้ในกิจการที่ประกาศอย่างแน่ชัดไว้ล่วงหน้า ว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลประโยชน์ต่อเนื่องในระยะยาว และกระจายผลประโยชน์จากทรัพยากรแร่ให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เช่นการออมระยะยาว, การลงทุนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ หรือการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรป่า
โดยธรรมชาติ ป่ามีหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในระบบนิเวศ การสูญเสียพื้นที่ป่าไปเป็นอันมาก จึงมีผลต่อความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างกว้างขวาง จนแม้แต่การดำรงอยู่ของสังคมทั้งสังคมก็อาจต้องล่มสลายลงได้ แต่โดยสังคมแล้ว ป่าถูกใช้นอกเหนือจากนั้นอีกมาก นับตั้งแต่เป็นแหล่งอาหาร, ยารักษาโรค, คลังของพันธุกรรมพืชและสัตว์, และแม้แต่ที่ทำกิน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าการใช้ป่าในลักษณะต่างๆ เหล่านี้ทำลายความยั่งยืนของป่าหรือไม่ ขัดขวางการทำหน้าที่ในระบบนิเวศของป่าหรือไม่
การบริหารจัดการป่าในประเทศไทยปัจจุบัน ไม่ช่วยทำให้ป่ามีความยั่งยืน อีกทั้งยังสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่คนจำนวนมากซึ่งใช้ประโยชน์ป่าไปในวิถีทางที่ไม่สอดคล้องกับระบบทุนนิยม ในทางตรงกันข้ามกลับเปิดให้ทุนเข้าไปใช้ป่าในลักษณะหากำไรเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้นมากขึ้นทุกที จนกระทั่งความอยู่รอดของป่าในประเทศไทยเหลือน้อยลงอย่างยิ่ง
ดังนั้น หากไม่ปฏิรูปการบริหารจัดการป่าเสียแต่ในตอนนี้ ผู้คนจำนวนมากจะยิ่งเข้าไม่ถึงการใช้ประโยชน์ป่า และสร้างความไม่เป็นธรรมให้กว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมาก รวมทั้งก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) จึงมีข้อเสนอเบื้องต้นไว้ดังต่อไปนี้
- ใช้ หลักการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่างคนกับป่า ในการจัดการป่า
-
มุ่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมเพื่อการใช้ประโยชน์ป่าอย่างสมดุลและยั่งยืน
- ลดอำนาจการบริหารจัดการป่าของรัฐ ให้เหลือในระดับประสานนโยบายและแผน และรับรองสิทธิชุมชน ตลอดจนมอบอำนาจให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการป่าในรูปแบบที่หลากหลายสอดคล้องกับระบบนิเวศและความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ
ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
สภาพปัญหา
- การจัดการน้ำที่รัฐทำอยู่ในปัจจุบันมีลักษณะแยกส่วน กล่าวคือมองน้ำโดดๆ
โดยไม่ได้ผูกโยงเรื่องน้ำเข้ากับเรื่องอื่นๆ ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
เช่นไม่สัมพันธ์กับที่ดิน, การอนุรักษ์, ระบบนิเวศ, ป่าต้นน้ำหรือผังเมือง
ดังนั้น รัฐจึงมุ่งไปในทางพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่เช่นสร้างเขื่อน,
ผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านนิเวศ
หรือความสอดคล้องกับวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังกำหนดแผนการใช้น้ำที่มากเกินความเป็นไปได้ทั้งในด้านความคุ้มทุน
หรือด้านระบบนิเวศ
- รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลาง
จนกระทั่งเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงแก่ประชาชนในท้องถิ่น
เช่นโครงการโขงชีมูลซึ่งทำลายพื้นที่เกษตรและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำมาหากินของชาวบ้านไปเป็นอันมาก
การแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำออกเป็น 25 ลุ่มน้ำ
ก็ใหญ่เทอะทะเกินไปจนไม่อาจปฏิบัติงานได้จริง
ซ้ำประชาชนในพื้นที่ยังไม่มีส่วนร่วมในการจัดการอีกด้วย
เพราะก็ยังรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางเหมือนเดิม
- การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและเมือง แย่งชิงน้ำจากเกษตรกรไปเป็นอันมาก
โดยไม่มีเวทีกลางสำหรับการต่อรองที่เป็นธรรมระหว่างภาคการผลิตต่างๆ
ก่อปัญหาหนักขึ้นแก่เกษตรกรรายย่อย เพราะน้ำเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นเสมอมา
- การจัดการน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพนี้กลับทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่ไม่บังเกิดผลดีแก่ฝ่ายใดจริง ในทุกวันนี้ประเทศต้องเสียเงินสำหรับการบริหารจัดการน้ำถึงปีละหลายหมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เป็นงบพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งมักไม่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรรายย่อย
ข้อเสนอ
- นโยบายน้ำต้องมีความเชื่อมโยงกันกับการจัดการทรัพยากรส่วนอื่น เช่นป่า,
ที่ดิน, ระบบนิเวศ, ฯลฯ ตลอดไปจนถึงวิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ
อย่างสมดุลทั้งทางนิเวศ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
แต่ตราบเท่าที่การบริหารจัดการน้ำยังถูกรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง
ก็เป็นไปได้ยากที่โครงสร้างระบบราชการซึ่งแยกการบริหารออกเป็นส่วนๆตามหน้าที่
จะสามารถจัดการในลักษณะที่เชื่อมโยงองค์ประกอบสำคัญๆ
เหล่านี้เข้าด้วยกันในแผนได้
ดังนั้นหลักใหญ่ของการบริหารจัดการน้ำจึงควรเป็นของท้องถิ่น
(ดังข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ)
และเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงควรจัดทำฐานข้อมูลน้ำที่เป็นสาธารณะของท้องถิ่น และของแต่ละลุ่มน้ำขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มสมรรถนะของท้องถิ่นในการวางแผนจัดการน้ำให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
- ส่งเสริมองค์กรชุมชนจัดการน้ำที่มีอยู่เดิมในท้องถิ่น เช่น องค์กรเหมืองฝาย
หรือส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันสร้างองค์กรและเครือข่ายองค์กรการบริหารจัดการน้ำขึ้นใหม่ในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยๆ
ในท้องถิ่น โดยให้องค์กรเหล่านี้มีสิทธิในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ของตน
การตัดสินใจบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ขนาดใหญ่นอกขอบเขตลุ่มน้ำในท้องถิ่น
ต้องมีกลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตลอดจนมีส่วนร่วมบริหารจัดการน้ำกับรัฐที่เป็นอยู่
- การบริหารจัดการน้ำ ต้องจัดการแบบบูรณาการ เบ็ดเสร็จ
และไม่เกินน้ำต้นทุนในพื้นที่ โดยเลี่ยงการผันน้ำข้ามลุ่ม
ยกเว้นว่าประชาชนในลุ่มน้ำนั้นๆ
ได้ประเมินแล้วว่ามีน้ำเหลือมากพอที่จะแบ่งปันไปให้ลุ่มน้ำอื่นได้
โดยทั้งนี้จะต้องมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
- การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง
มีการศึกษาประเมินผลด้านยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA)
และผลกระทบด้านอื่นอย่างรอบด้าน
โดยต้องมีกระบวนการที่เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
โครงการขนาดใหญ่ที่รัฐยังดำเนินการค้างอยู่ และพิสูจน์ให้เห็นความเป็นไปไม่ได้
เพราะต้นทุนสูงหรือมีผลกระทบร้ายแรง หรือไม่เหมาะในเชิงนิเวศ ก็ควรยกเลิก เช่น
โครงการโขงชีมูล เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม
รัฐควรสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กที่เหมาะกับศักยภาพการผลิตของประชาชนในท้องถิ่น
และเกษตรกรมีสมรรถภาพที่จะดูแลจัดการเองได้ เช่น สระน้ำในไร่นา
หากเป็นแหล่งน้ำใหญ่กว่านั้น ก็ต้องคงอำนาจบริหารจัดการไว้กับท้องถิ่น
แม้รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสร้างหรือฟื้นฟูขึ้นก็ตาม
- คุ้มครองแหล่งน้ำตามธรรมชาติอย่างจริงจังโดยไม่ให้เปลี่ยนสภาพ ทั้งจากโครงการของรัฐหรือการบุกรุกของเอกชน เพราะแหล่งน้ำตามธรรมชาติเหล่านี้ นอกจากเก็บน้ำไว้ให้ประชาชนได้ใช้แล้ว ยังมีหน้าที่สำคัญในระบบนิเวศอีกด้วย
ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สภาพปัญหา
- ทรัพยากรสัตว์น้ำเสื่อมโทรมและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
เนื่องจากการใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายระบบนิเวศอย่างร้ายแรง
สัตว์น้ำที่ถูกจับมีขนาดเล็กลง ทำลายการเจริญพันธุ์และทำลายห่วงโซ่อาหาร
คุณภาพน้ำในแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์เลวลงจนไม่เหมาะกับการขยายพันธุ์
- การกัดเซาะชายฝั่ง กิจกรรมของคนทำให้ความมั่นคงของชายฝั่งทะเลหมดไป เช่น
การดูดทรายแม่น้ำหรือการสร้างเขื่อน มีผลให้มวลตะกอนที่ไหลลงทะเลลดลง
ไม่เพียงพอแก่การสร้างสมดุลชายฝั่ง เป็นต้น เมื่อเกิดความผันแปรของภูมิอากาศโลก
การกัดเซาะชายฝั่งก็ยิ่งมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
การป้องกันด้วยโครงสร้างแข็งกลับยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย
- ชายฝั่งถูกใช้เกินสมรรถนะทางธรรมชาติจะรับได้
ที่สำคัญคือการท่องเที่ยวที่ไม่ยั่งยืน, การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหนัก,
การระบายของเสียลงสู่ทะเล, การขนส่งกับท่าเรือ
- แผนพัฒนาพื้นที่ฝั่งทะเลภาคใต้ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของคาบสมุทรไปอย่างมโหฬาร เกิดขึ้นภายใต้กรอบคิดที่จะเปลี่ยนประเทศไปสู่อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการศึกษาทางเลือกการพัฒนาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ, สังคมและภูมินิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกทั้งประชาชนไม่มีส่วนร่วม ทั้งๆ ที่โครงการใหญ่ขนาดนี้ย่อมกำหนดอนาคตของคนในภาคใต้ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ข้อเสนอ
- ให้อำนาจแก่ท้องถิ่นในการบริหารจัดการทะเลและชายฝั่ง
ตามข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ซึ่งจะสามารถบริหารจัดการทะเลและชายฝั่งแบบไม่แยกส่วนจากแม่น้ำ,
ป่าและการใช้ประโยชน์จากที่ดินในพื้นที่ได้
การกำหนดผังเพื่อจำแนกพื้นที่ใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง,
ประเภทหรือขนาดของสิ่งก่อสร้าง, การประกาศเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล,
รวมถึงการตราระเบียบกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฯลฯ
ย่อมอยู่ในอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ทวงคืนพื้นที่สาธารณะ
นับตั้งแต่ท้องทะเลซึ่งถูกยึดเป็นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ถนน สันทราย
ชายหาด ป่าชายเลน ป่าบกและป่าชายฝั่ง ฯลฯ
ซึ่งถูกเอกชนยึดไปโดยมิชอบให้กลับมาเป็นสมบัติสาธารณะตามเดิม
- สร้างและเผยแพร่ความรู้ การจัดการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
ให้ท้องถิ่นต่างๆ สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง
- ท้องถิ่นต้องมีอำนาจและสมรรถนะในการบังคับ ควบคุมการประมงชายฝั่ง
ในขณะเดียวกันรัฐต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของชายฝั่งทะเล
ในการอนุมัติหรือดำเนินกิจการใดๆ ซึ่งอาจมีผลกระทบ เช่นการดูดทราย
หรือการทำท่าเทียบเรือ เป็นต้น
- เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่เสนอนี้ ควรยกเลิกแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ลงทั้งหมด เพราะขัดแนวทางที่แบ่งอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการด้วยตนเอง หากจะมีแผนประเภทนี้เกิดขึ้นในภายหน้า ก็ต้องมาจากการวางแผนร่วมกันระหว่างท้องถิ่นและส่วนกลาง
ปฏิรูปสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
ความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในประเทศไทยนั้นเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว หากรัฐและสังคมยังไม่ใส่ใจฟื้นฟู ปัญหาสภาพสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศยิ่งจะเป็นภัยคุกคามในทุกๆ ด้าน และต้นทุนทุกอย่างในประเทศไทยจะสูงขึ้น นับตั้งแต่ต้นทุนการผลิตไปถึงต้นทุนการมีและใช้ชีวิต
มิติที่สร้างความเหลื่อมล้ำอย่างมากในเรื่องสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศก็คือ การผลักภาระความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศแก่ผู้ไร้อำนาจในโครงการของรัฐ, ในแผนพัฒนา, ในการลงทุนภาคเอกชน, ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
การปฏิรูปในด้านนี้จึงต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงแนวทางการบริหารจัดการ และอำนาจในการกำกับควบคุม
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรเศรษฐกิจ
ทรัพยากรสังคม
ทรัพยากรการเมือง