สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของประเทศไทย
ความเหลื่อมล้ำ
การบริหารจัดการทรัพยากร
การบริหารจัดการทรัพยากร
ทรัพยากรเศรษฐกิจ
ทรัพยากรเศรษฐกิจในที่นี้หมายถึง โอกาสและพลังอันเป็นเงื่อนไขต่างๆ
ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนในสังคมเข้าไปร่วมทำ หรือรับผลกระทบจากการกระทำ
เหตุที่นับว่าเป็น "ทรัพย์" อย่างหนึ่ง
ก็เพราะหากบริหารจัดการเงื่อนไขเหล่านี้อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพแล้ว
ย่อมเป็นช่องทางสำคัญอันหนึ่งที่จะลดความเหลื่อมล้ำและเปิดให้ศักยภาพของผู้คนได้พัฒนาสูงขึ้นเป็นอันมาก
แต่การบริหารจัดการเงื่อนไขเหล่านี้ในสังคมไทยดำเนินไปอย่างไม่เป็นธรรมและอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้นจึงต้องปฏิรูปการบริหารจัดการเงื่อนไขเหล่านี้
ปฏิรูปทุน
แม้ว่าสิ่งที่นำมาใช้เป็นทุนอาจเป็นกรรมสิทธิ์ของบางคน แต่ที่จริงแล้วส่วนใหญ่ของทุนเป็นทรัพยากรของสังคมทั้งหมด หากการบริหารจัดการเปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ก็เท่ากับเพิ่มศักยภาพของทุกคนในการลงทุน เพื่อประกอบการหากำไร, เพื่อประกอบการทางสังคม หรือเพื่อลงทุนพัฒนาตนเองและครอบครัว
ปัญหาของการบริหารจัดการทุนในประเทศไทย อาจสรุปได้ดังนี้
- บริหารจัดการทุนที่เป็นตัวเงินในลักษณะที่ทำให้คนส่วนใหญ่
ซึ่งบัดนี้ต้องการทุนประเภทนี้เพื่อการผลิตมากขึ้น เข้าไม่ถึง
จำต้องอาศัยทุนนอกระบบซึ่งทำให้ยากที่จะประกอบการให้มีกำไรได้
ตัวเลขสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ชี้ให้เห็นประเด็นนี้ได้ชัด
กรุงเทพมีประชากรประมาณร้อยละ 10 ของประเทศ
แต่ได้รับสินเชื่อคิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 74 แรงงานในภาคเกษตรมีอยู่ร้อยละ 38
แต่ได้รับสินเชื่อน้อยกว่าร้อยละ 1
สถาบันการเงินยังขาดความพยายามที่จะสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ เช่น การปล่อยเงินกู้ให้กับผู้กู้รายย่อย ยังคงอาศัยหลักทรัพย์ค้ำประกัน แทนที่จะอิงกับศักยภาพและความน่าเชื่อถือของผู้กู้ หรือมีกระบวนการเสริมสร้างแรงจูงใจในการชำระคืนของลูกหนี้ ดังนั้นโอกาสที่จะเข้าถึงทุนจึงไปกระจุกตัวอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย - อันที่จริงคนทั้งประเทศไทยต่างมี "สินทรัพย์"
สำหรับประกันเงินกู้อยู่บ้างทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า "สินทรัพย์"
ของคนจำนวนมากต้องอาศัยการประเมินที่สลับซับซ้อนมากขึ้น
เพื่อตีมูลค่าออกมาเป็นตัวเงิน เช่นความซื่อสัตย์,
ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีซึ่งย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบการของกลุ่ม,
ความรู้ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นสินค้าในตลาดได้ ฯลฯ
ตราบเท่าที่สถาบันการเงินไม่สนใจจะพัฒนาวิธีการประเมิน
และการทำงานร่วมกันกับลูกค้า
ก็ยากที่คนจำนวนมากจะเข้าถึงแหล่งทุนในต้นทุนที่สมเหตุสมผลได้
- แหล่งระดมทุนไร้สมรรถภาพที่จะระดมทุนจากสังคมในวงกว้าง,
เป็นแหล่งเงินออมที่ปลอดภัย, ให้ข้อมูลแก่สาธารณชนอย่างโปร่งใส ฯลฯ
ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นเสมือนตลาดเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
- แหล่งทุนที่มีวิธีประเมินความเสี่ยงได้แนบเนียนกว่า เช่นสหกรณ์,
กลุ่มออมทรัพย์, กองทุน, ตลอดจนถึงกองทุนที่รัฐจัดตั้งขึ้น
ไม่ได้รับการส่งเสริมในทางที่ถูกจากรัฐ
- การร่วมทุนที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายไม่แพร่หลาย
ปฏิรูปด้านแรงงาน
สภาพปัญหา
ประเทศไทยปัจจุบันกลายเป็นประเทศธุรกิจอุตสาหกรรมไปแล้ว กำลังแรงงานนอกภาคเกษตร 23 ล้านคนอยู่ในภาคการผลิตนี้ ในจำนวนดังกล่าวเป็นลูกจ้างขายแรงงานภาคเอกชน ประมาณ 11 ล้านคน ในขณะที่ภาคเกษตรมีแรงงานอยู่เพียงประมาณ 15 ล้านคนเท่านั้น (เป็นลูกจ้าง 3 ล้านคน) ลูกจ้างขายแรงงานส่วนใหญ่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ (รายได้ประจำไม่ถึงเดือนละ 6,000 บาท) กดดันให้ต้องทำงานนอกเวลาเป็นวันละ 10-12 ชั่วโมง ไม่มีเวลาและกำลังที่จะดูแลบุตรและพัฒนาตนเอง
สภาวะที่ประชากรในวัยแรงงานจำนวนมากของประเทศ มีรายได้ไม่พอยังชีพและไม่มีโอกาสพัฒนาตนเองและครอบครัวต่อไป ก็เป็นปัญหาในตัวเองอยู่แล้ว สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลานี้ กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ดังกล่าวเลวร้ายลงไปอีก
ดังจะสรุปได้ดังนี้
- โครงสร้างประชากรไทยกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เรามีคนหนุ่มสาวเข้าสู่ตลาดแรงงานลดลง อันเป็นผลมาจากนโยบายคุมกำเนิด
ประชากรสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปกลับมีเพิ่มขึ้น
ทำให้แรงงานหนึ่งคนมีภาระต้องเลี้ยงดูคนอย่างน้อย 2 คน คือตนเองและคนสูงวัยอีก
1 คน การมีรายได้เพิ่มขึ้นจึงเป็นความจำเป็นอย่างมาก
ทั้งเพื่อสวัสดิภาพของตนเองและประชากรสูงวัยของประเทศ
โครงสร้างประชากรเช่นนี้ยังมีผลต่อกองทุนประกันสังคมด้วย
เพราะจะมีผู้จ่ายเงินสมทบลดลง
แต่กองทุนและสังคมกลับต้องมีภาระเพิ่มขึ้นในการตอบสนองสวัสดิการของผู้สูงวัย
- ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก
ส่งผลให้หลายประเทศลดการนำเข้าสินค้าและหันมาส่งเสริมตลาดภายในเพื่อรองรับสินค้าของตนเอง
เมื่อการส่งออกชะลอตัวลงประเทศไทยก็จำเป็นต้องทำอย่างเดียวกัน
อีกทั้งตลาดภายในยังช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ประเทศอีกด้วย
กำลังซื้อในตลาดภายในของไทยร้อยละ 42 มาจากเงินเดือนและค่าจ้าง
หากยกระดับกำลังซื้อนี้ด้วยการเพิ่มค่าจ้างได้ ก็จะมีผลไปถึงแรงงานนอกระบบ เช่น
ตุ๊กตุ๊ก, หาบเร่, ธุรกิจห้องแถว ฯลฯ
ซึ่งล้วนทำมาหากินกับกำลังซื้อภายในนี้ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน
เนื่องจากแรงงานไทยยังต้องอุปการะครอบครัวในชนบท
ค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นจึงมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบทด้วย
- ไทยต้องไปให้พ้นจากการผลิตสินค้าราคาถูก เพราะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของแรงงานไทย นอกจากนี้หากไม่เตรียมตัวด้านแรงงาน การเปิดเสรีอาเซียนใน พ.ศ.2558 จะทำให้แรงงานฝีมือของไทยย้ายไปทำงานต่างประเทศ ในขณะที่แรงงานฝีมือจากประเทศที่จ่ายค่าแรงถูกกว่า เช่น เวียดนามหรืออินโดนีเซียจะเข้ามาแทนที่การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน
ข้อเสนอ
การแก้ปัญหาของผู้ขายแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต้องทำสามด้านคือ เพิ่มค่าจ้าง (เพิ่มรายได้)เพิ่มสวัสดิการ และเพิ่มผลิตภาพ
1) เพิ่มค่าจ้าง ควรทำโดยคำนึงถึงสองมิติ
มิติแรกคือ ความจำเป็นของชีวิต ในส่วนของลูกจ้างไร้ฝีมือและทำงานใหม่ ควรได้รับค่าจ้างที่พอจะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างปรกติ อย่างน้อยต้องได้ 250 บาท หรือเดือนละ 250บาทx26วัน คือ 6,500 บาท (เสนอในพ.ศ.2554) ซึ่งตรงกับรายได้จากค่าจ้างบวกกับค่าล่วงเวลาของลูกจ้างในเวลานี้ พวกเขามีโอกาสจะได้ทำงานเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ตรงตามมาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ การลดชั่วโมงทำงานลง เพราะไม่ต้องดิ้นรนทำงานนอกเวลา จะทำให้ลูกจ้างมีโอกาสพัฒนาตนเองได้ ที่กล่าวนี้เป็น"ค่าจ้างขั้นต่ำ" ซึ่งหมายถึง ค่าตอบแทนที่ให้แก่แรงงานไร้ฝีมือและเพิ่งเข้าทำงาน นอกจากนี้อัตราค่าจ้างดังกล่าวยังตรงกับมาตรฐานในอนุสัญญาที่ 131 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งไทยได้ให้สัตยาบันแล้ว
มิติที่สอง การจ่ายค่าจ้างควรคำนึงถึงค่าจ้างในฐานะที่เป็นค่าตอบแทนแก่ฝีมือการทำงานด้วย ลูกจ้างที่ทำงานมานาน มีประสบการณ์มากและมีฝีมือดีขึ้น ควรได้รับค่าตอบแทนส่วนที่เป็นฝีมือนี้ด้วย เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มนี้จะเป็นแรงจูงใจให้ลูกจ้างพยายามพัฒนาฝีมือของตนเอง ผ่านการศึกษาในระบบ, นอกระบบ, หรือผ่านการทำงานอย่างเอาใจใส ทั้งนี้ควรมีองค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ ซึ่งได้รับความเชื่อถือ และสามารถประเมินฝีมือแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นนี้นอกจากเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของตลาดภายในแล้ว ยังช่วยเพิ่มกองทุนประกันสังคมได้ทันการณ์อีกด้วย
สิทธิของแรงงานต้องได้รับความคุ้มครองอย่างจริงจัง เช่นได้ค่าล่วงเวลา, ได้ค่าชดเชย, ได้เงินทดแทน, ได้รับความปลอดภัยและความมั่นคงในการทำงาน และได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม หน่วยงานภาครัฐซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านนี้ ต้องเห็นความสำคัญของสิทธิดังกล่าว และบังคับใช้กฎหมายให้บรรลุผล เพื่อให้ลูกจ้างแรงงานมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนคนในอาชีพอื่น และขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
2) เพิ่มสวัสดิการแรงงาน ควรจัดสวัสดิการแรงงานให้ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ
- การบริการสังคม ได้แก่การศึกษา, สาธารณสุข, ที่พักอาศัย,
ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผู้มีบทบาทหลักในด้านนี้คือรัฐ
ภาคนายจ้างและชุมชนจะเป็นฝ่ายเสริม โดยมีส่วนร่วมในการจัดการ
- ประกันสังคม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมทุนนิยม
ผู้เอาประโยชน์ร่วมสร้างขึ้นกับนายจ้างและรัฐ เพื่อให้ทุกคนมีหลักประกันในชีวิต
ควรสนับสนุนให้ครอบคลุมแรงงานทุกประเภท ทั้งที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและอาชีพอิสระ
- สังคมสงเคราะห์ แก่ผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หรือในยามที่เกิดพิบัติภัยต่างๆ นอกจากรัฐมีภาระโดยตรงแล้ว องค์กรทางสังคมต่างๆ ก็อาจเข้าไปมีส่วนร่วมได้มาก
การรวมกลุ่มเพื่อช่วยตัวเอง ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของสวัสดิการแรงงาน เช่นการซื้อขายผลผลิตโดยไม่ผ่านคนกลาง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เพิ่มความมั่นคงในชีวิตของลูกจ้างแรงงาน ฉะนั้นรัฐและนายจ้างจึงต้องส่งเสริมฐานเศรษฐกิจของแรงงาน เพื่อเสริมสร้างรายได้ที่พอแก่การเลี้ยงชีพ และการพัฒนาตนเองและครอบครัว เช่น สหกรณ์, กลุ่มออมทรัพย์, ร้านค้า, และเครือข่ายการซื้อขายระหว่างแรงงานในระบบและนอกระบบ
รัฐควรจัดตั้งธนาคารแรงงาน โดยรัฐขายพันธบัตรให้แก่กองทุนประกันสังคม และนำเงินมาปล่อยกู้ให้แก่คนงาน เพื่อให้แรงงานสามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อผ่อนคลายภาระหนี้สินนอกระบบของแรงงาน ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูง แต่จำกัดวงเงินกู้และมีส่วนบังคับการออมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ การเพิ่มรายได้ของแรงงานยังหมายถึง การมีที่ทำงานและงานซึ่งปลอดภัยมั่นคง ฉะนั้นจึงต้องมีมาตรการหรือ พ.ร.บ.ประกันความปลอดภัยของแรงงาน ที่สอดคล้องกับความต้องการของแรงงาน อันเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมแรงงานในระบบ, นอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ
3) การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ประกอบด้วยสองด้าน
ในด้านแรก ลูกจ้างแรงงานไทยมีพื้นฐานการศึกษาต่ำ (ประมาณร้อยละ 60 ของแรงงานไทยจบการศึกษาระดับประถมหรือต่ำกว่าร้อยละ 40 จบชั้นมัธยมหรือสูงกว่า ขณะที่ในเวียดนามตัวเลขนี้กลับกัน) จึงควรถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข เกินครึ่งของแรงงานต้องทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน เพื่อให้พอกิน จึงไม่มีเวลาศึกษาเพิ่มเติม หากรัฐ และนายจ้างร่วมมือกันส่งเสริมให้เปิดศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนในเขตอุตสาหกรรม รวมทั้งหน่วยเรียนรู้ต่างๆ เพื่อกระจายความรู้ที่จำเป็นแก่แรงงาน (เช่น โรงเรียนสอนภาษาเพื่อรองรับการร่วมในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) ก็จะช่วยยกระดับการศึกษาของแรงงานได้
ควรจัดสวัสดิการที่พักให้คนงาน ในหรือใกล้ที่ทำงาน นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พัก (รวมกันประมาณร้อยละ 30 ของรายได้) แล้ว ยังเปิดโอกาสให้คนงานมีชุมชนของตนเอง และมีเวลามากขึ้นในการศึกษาเพิ่มเติม มีสถานที่เลี้ยงเด็กอ่อนซึ่งแม่สามารถกลับไปให้นมลูกได้ รวมทั้งสะดวกในการให้บริการด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วย
ในด้านที่สอง คือการเพิ่มความรู้และทักษะในอาชีพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มค่าจ้างดังที่กล่าวแล้ว ภาคเอกชนควรมีบทบาทหลักในด้านนี้ ดีกว่าคอยพึ่งรัฐแต่ฝ่ายเดียว เพราะไม่บังเกิดผลมากนัก ควรลดบทบาทของภาครัฐ ให้เป็นเพียงผู้กำกับดูแล และสนับสนุนรัฐควรจัดตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้เอกชนกู้ไปพัฒนาฝีมือแรงงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือเอกชนอาจส่งลูกจ้างไปฝึกอบรมในสถาบันต่างๆ ที่ตรงตามความต้องการของตน ในขณะเดียวกันก็อนุญาตเอกชนที่ลงทุนด้านนี้ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น
นายจ้างจะได้ผลตอบแทนจากการพัฒนาฝีมือแรงงาน
ในขณะเดียวกันลูกจ้างแรงงานก็สามารถเลือกงานได้มากขึ้น
อันเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองของตนโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม
จากตัวเลขการเพิ่มค่าจ้างของอุตสาหกรรมไทยที่ผ่านมา
สะท้อนให้เห็นว่านายจ้างไทยไม่ได้จ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของแรงงาน
ระหว่างค.ศ.2000-2005 ค่าจ้างแท้จริงของแรงงานไทยลดลงทุกปี
ขณะที่ผลิตภาพของแรงงานไทยเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 121.9
ฉะนั้นต้องมีมาตรการที่จูงใจและบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นในภายหน้าด้วย
ในส่วนของแรงงานที่สมัครใจไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณขึ้นมากกว่านี้อีกมาก หลังการเริ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ควรได้รับความคุ้มครองสิทธิประโยชน์อย่างรัดกุม จึงเสนอว่าต้องจัดตั้งบริษัทกำลังคน เป็นบริษัทกลางที่ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทำหน้าที่ฝึกกำลังคนตามความต้องการของแหล่งงานต่างประเทศ แสวงหาตลาดงานในต่างประเทศ และเป็นผู้จัดส่งคนไปทำงาน รวมทั้งตรวจสอบการทำสัญญาจ้างงานให้เกิดความยุติธรรมแก่แรงงานไทย หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ต้องการไปทำงาน โดยใช้สัญญาจ้างเป็นหลักประกัน ธุรกิจจัดหางานในต่างประเทศต้องเป็นสมาชิกของบริษัทกำลังคน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท ทำให้การป้อนแรงงานแก่ตลาดต่างประเทศมีเอกภาพ เท่ากับเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่แรงงาน และป้องกันการทุจริตคดโกงแรงงานของธุรกิจจัดหางาน
ในส่วนแรงงานข้ามชาติซึ่งมีหลายล้านคนและนับวันจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น รัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ ว่าจะเปิดให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานได้จำนวนเท่าไร ในขณะเดียวกันแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชน และต้องได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองไม่ต่างจากแรงงานไทย
4) อำนาจต่อรองของแรงงาน
สิทธิอันพึงมีพึงได้ย่อมเป็นผลเพราะแรงงานมีอำนาจต่อรอง ซึ่งประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกอำนาจต่อรองมาจากฐานความรู้และทักษะ ส่วนที่สองมาจากการจัดองค์กรเพื่อการต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลไทยยังไม่ยอมให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาเลขที่ 87 และ 98 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ อันเป็นอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิการรวมตัวเพื่อการต่อรองของแรงงาน ฉะนั้นจึงมีข้อเสนอว่า
- รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาทั้งสองโดยเร็ว
- รัฐจะต้องให้เสรีภาพ ในการรวมตัวของคนงานกลุ่มต่างๆ
ทั้งเป็นการรวมตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม
ระหว่างคนงานประเภทเดียวกัน และต่างประเภทกัน
ระหว่างคนที่เป็นลูกจ้างและไม่เป็นลูกจ้าง
แรงงานต่างประเภทกันรวมกันในองค์กรเดียวกันได้
- ปฏิรูประบบการออกเสียงเลือกตั้ง ในระบบไตรภาคี (ลูกจ้าง + นายจ้าง +
รัฐบาล) ให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย คือ 1 คน 1 เสียง
โดยเฉพาะในระบบไตรภาคีของกองทุนประกันสังคม ศาลแรงงาน
และคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ
เพราะเป็นไตรภาคีที่ทำให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียต่อลูกจ้างโดยตรง
- ต้องปฏิรูปสำนักงานประกันสังคม ให้เป็นองค์กรอิสระ มีความโปร่งใส
ตรวจสอบได้ง่าย และให้มีตัวแทนของลูกจ้างจากระบบเลือกตั้งโดยตรง
เป็นคณะกรรมการไตรภาคี คอยกำกับดูแลและกำหนดนโยบาย
- ปฏิรูประบบการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร วุฒิสภา
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ลูกจ้าง ที่ทำงานในพื้นที่ใดนานตั้งแต่ 3
ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งและรับเลือกตั้งตำแหน่งดังกล่าวของเขตพื้นที่นั้นๆ
ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกจ้าง เลือกตัวแทนของตน
ที่เป็นตัวแทนในเขตพื้นที่ที่ทำงานอยู่
และเปิดโอกาสให้ผู้นำของลูกจ้างลงสมัครรับเลือกตั้ง
เป็นตัวแทนของเขตพื้นที่นั้นๆ
- จัดตั้งกองทุนพิทักษ์สิทธิ์แรงงาน โดยนายจ้างสมทบเงินเข้ากองทุน
เพื่อเป็นหลักประกันว่า เมื่อมีการเลิกกิจการลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชย
และลูกจ้างมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้
- ให้ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในศาลแรงงาน
ปฏิรูปการเกษตรเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
แม้ว่าสัดส่วนของผลผลิตการเกษตรในปัจจุบันจะเหลือเพียงร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ แต่แรงงานที่อยู่ในภาคการเกษตรก็ยังมีสูงถึง 15 ล้านคน (12 ล้านคนทำการผลิตในไร่นา 3 ล้านคนเป็นแรงงานรับจ้างภาคเกษตร) ทั้งนี้ไม่นับประชากรอีกส่วนหนึ่งซึ่งต้องพึ่งพาลูกหลานผู้ทำเกษตรเช่นผู้สูงอายุ ยิ่งไปกว่านี้ แม้รายได้ในครัวเรือนของคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะยังต้องอาศัยเงินสดที่สมาชิกของครัวเรือนซึ่งออกจากไร่นาไปทำงานในอาชีพอื่นส่งมาจุนเจือ แต่ในทางกลับกัน แรงงานจำนวนมากในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ทั้งในระบบและนอกระบบ ก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้เพราะฝากปากท้องของสมาชิกในครอบครัวส่วนหนึ่ง ไว้กับการผลิตด้านการเกษตรด้วย ดังนั้นจำนวนของคนที่ต้องพึ่งพาการเกษตร มากบ้าง น้อยบ้าง จึงมีมากกว่าตัวเลขประชากรในภาคการเกษตรเสียอีก
ส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้อยู่ในการทำเกษตรกรรมรายย่อย แต่การทำเกษตรรายย่อยไม่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ แท้จริงแล้วนโยบายการเกษตรของภาครัฐยังค่อนข้างลำเอียงเป็นอริกับการทำเกษตรรายย่อยด้วยซ้ำ อคติทางวิชาการในประเทศไทยก็คือ เกษตรกรรมรายย่อยเป็นการผลิตที่ล้าหลัง ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีทางบรรลุมาตรฐานการครองชีพที่ดีได้ และไม่มีทางอยู่รอดได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ ปัญหาจึงเป็นแต่การหางานรองรับคนในภาคการเกษตรซึ่งต้องหลุดออกมาจากภาคการผลิตนี้อย่างไร ในความเป็นจริงแรงงานภาคเกษตรก็เริ่มร่อยหรอลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ต้องการสืบทอดอาชีพเกษตรของครอบครัวอีกต่อไป
คำถามที่น่าสงสัยก็คือ เกษตรกรรมรายย่อยไม่มีสมรรถนะจะอยู่ได้ด้วยตัวเองจริง หรือเพราะทัศนคติของฝ่ายอำนาจที่รังเกียจเกษตรรายย่อย จึงวางนโยบายที่ขัดขวางบ่อนทำลายเกษตรกรรมรายย่อยกันแน่ หากเกษตรกรรมรายย่อยไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ เหตุใดประเทศในยุโรปหลายประเทศจึงยังมีเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีฐานะเศรษฐกิจ, การศึกษา, อำนาจต่อรอง, ฯลฯ ที่ดีเหลืออยู่จำนวนมาก อีกทั้งเป็นภาคการผลิตด้านเกษตรกรรมที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นด้วย
แต่ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว คนที่ต้องพึ่งการเกษตรทั้งทางตรงหรือทางอ้อม อาจมีมากกว่า 20 ล้านคน เป็นไปได้หรือที่จะถ่ายโอนแรงงาน 15 ล้านคนซึ่งไร้ทักษะไปสู่การผลิตด้านธุรกิจอุตสาหกรรม ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงคนอีกหลายล้านที่ต้องพึ่งการผลิตด้านเกษตรกรรมทางอ้อมอยู่
ในขณะเดียวกัน ไม่ควรลืมด้วยว่า ท่ามกลางเงื่อนไขที่ไม่เอื้อต่อการผลิตของเกษตรกรรมรายย่อย เกือบทั้งหมดของผลิตภัณฑ์การเกษตรทั้งที่บริโภคภายในและส่งออก ล้วนมาจากเกษตรกรรมรายย่อย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในน้อยประเทศในโลกที่มีสมรรถภาพส่งออกอาหารก็เพราะเกษตรกรรมรายย่อย วัสดุที่ใช้ทำอาหารไทยอันลือชื่อทั่วโลกก็มาจากเกษตรกรรมรายย่อย และจนถึงที่สุดแล้ว วัฒนธรรมไทยที่เรายกย่องกันเช่นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ระเบียบที่ดีของความสัมพันธ์ทางสังคม, ความเคร่งครัดใน ศาสนธรรม ฯลฯ ก็ล้วนมีฐานอยู่บนการผลิตในไร่นาขนาดเล็ก
ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่า หลักการสำคัญสุดของการปฏิรูปเกษตรกรรมต้องมุ่งไปที่การปรับปรุงเกษตรกรรมรายย่อย เพื่อให้ประชากรในภาคนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในมาตรฐานการครองชีพที่ดี ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสจะพัฒนาตนเองในทุกด้านในอนาคตไปได้พร้อมกัน หากเกษตรกรรมขนาดเล็กได้รับการสนับสนุนในทางที่ถูกต้องเหมาะสม เกษตรกรรมจะเป็นส่วนหนึ่งของฐานรากทางเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองต่อไป แท้จริงแล้วเกษตรกรรมรายย่อยซึ่งใช้พื้นที่ไม่เกิน 50 ไร่ (ตามข้อเสนอปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตร ของ คณะกรกรมการปฏิรูป) มีผลิตภาพสูง ประหยัดและพึ่งตนเองได้สูง มีการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรในไร่นาได้ดี และยังช่วยว่าจ้างแรงงานได้มากกว่าเกษตรขนาดใหญ่ เมื่อคิดในเชิงเปรียบเทียบต่อหน่วยพื้นที่
คณะอนุกรรมการฯ ไม่ประสงค์จะขัดขวาง กีดกันการเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่, การทำธุรกิจเกษตรเชิงพันธะสัญญา, หรือธุรกิจการเกษตรของบริษัทขนาดยักษ์ แต่ต้องหามาตรการป้องกันมิให้ธุรกิจเหล่านี้เบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบเกษตรกรรายย่อยอย่างไม่เป็นธรรม ดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ควรทำธุรกิจในลักษณะที่เอื้อต่อกันและกันระหว่างธุรกิจใหญ่กับเกษตรกรรมรายย่อย
สภาพปัญหา
สภาพปัญหาของเกษตรกรรายย่อยในปัจจุบัน อาจสรุปได้ดังนี้คือ
- ไร้อำนาจการต่อรองในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรสาธารณะ หรือการตลาด
-
ระบบการศึกษาที่จัดอยู่ในขณะนี้มีส่วนในการร่วมบั่นทอนพลังของเกษตรกรรายย่อย
นอกจากเนื้อหาไม่มุ่งจะให้ความรู้แก่ผู้เรียนเพื่อไปใช้ในการทำเกษตรกรรมรายย่อยแล้ว
การสร้างความรู้ในระดับอุดมศึกษาก็เป็นไปเพื่อรับใช้ธุรกิจเกษตรขนาดใหญ่มากกว่าสร้างความรู้สำหรับการพัฒนาของเกษตรกรรายย่อย
- เกษตรกรรายย่อยเข้าไม่ถึงสิทธิและการคุ้มครอง
มักถูกละเมิดจนทำให้ไม่สามารถทำอาชีพต่อไปได้
- รับความเสี่ยงทั้งในทางการทำเกษตร และในทางธุรกิจแต่ฝ่ายเดียว
โดยไม่มีกลไกใดๆ ช่วยบรรเทาหรือประกันความเสี่ยงให้เลย
- ตลาดสินค้าเกษตร ทั้งผลิตผลและปัจจัยที่ต้องใช้ในการผลิต มีลักษณะผูกขาด
จึงไม่ใช่ตลาดเสรี เพราะมีอำนาจเหนือตลาด
ซึ่งเกษตรกรรายย่อยไม่มีอำนาจต่อรองเลย
- เกษตรกรมีหนี้สินสูงมาก
ทำให้มีภาระด้านต้นทุนการผลิตสูงกว่าที่จะทำกำไรในการประกอบการ
- เกษตรกรรมไทยในปัจจุบันไม่ช่วยสร้างความปลอดภัยด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม
- ระบบการสนับสนุนจากภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งบางครั้งกลับก่อให้เกิดผลร้ายแก่เกษตรกรรายย่อย
ข้อเสนอ
ไร้อำนาจต่อรอง
-
รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันในทุกรูปแบบ
นับตั้งแต่การรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนแรงงาน, การเรียนรู้ทดลองปฏิบัติ,
เผยแพร่ข่าวสารข้อมูล, เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่างๆ จนเป็นสหกรณ์
เพื่อต่อรองในตลาด
- ใช้มาตรการต่างๆ สนับสนุนให้เกษตรกรเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
ข้อเสนอเรื่องปฏิรูปที่ดินของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
จะทำให้การเป็นเจ้าของที่ดินเป็นเรื่องไม่ยาก
ข้อเสนอเรื่องปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำของอนุกรรมการฯ
จะทำให้เกษตรกรมีแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่นาของตนเอง
หรือมีอำนาจบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดใหญ่กว่านี้ในตำบลหรือจังหวัดหรือบางส่วนของเขตลุ่มน้ำเอง
เกษตรกรต้องเข้าถึงเครื่องมือการผลิตที่จำเป็น
โดยเป็นเจ้าของเองหรือร่วมเป็นเจ้าของในกลุ่มหรือสหกรณ์
ทางด้านพันธุกรรมพืชและสัตว์ จะมีกฎหมายรับรองสิทธิของท้องถิ่นในการเป็นเจ้าของ
ในขณะเดียวกันเกษตรกรควรได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาพันธุกรรมพืชและสัตว์ด้วย
- นอกจากเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจจัดการเครื่องมือการผลิตในไร่นาแล้ว
เกษตรกรควรเป็นเจ้าของร่วมกันซึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการนำพืชผลเข้าสู่ตลาด
เช่นลานตากผลผลิต, โรงเก็บหรืออบผลผลิต, โรงงานแปรรูปขั้นต้น
อันเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการนำพืชผลเข้าสู่ตลาดโดยมีพลังต่อรอง
แม้ความพยายามของกลุ่มเกษตรกรที่จะเป็นผู้ทำการตลาดเองก็ควรได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน
ทั้งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐ
- ทรัพยากรพัฒนาการเกษตรต้องไม่อยู่ในมือรัฐฝ่ายเดียว กลุ่มเกษตรกรในรูปแบบต่างๆ ต้องมีอำนาจตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรส่วนนี้อย่างมีน้ำหนัก
ระบบการศึกษาและเรียนรู้สำหรับเกษตรกรรายย่อย
- สร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาระบบเกษตรจากการปฏิบัติจริงในไร่นา
เรียนรู้ระบบรวมกลุ่มรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการทำธุรกิจในระบบตลาด
จัดให้เกิดโรงเรียนเกษตรกรเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทางเลือก
ให้กระจายไปตามท้องถิ่นที่มีการทำเกษตรรายย่อยอยู่มาก
ในขณะเดียวกัน ควรสร้างความรู้ใหม่ที่เหมาะกับการทำเกษตรกรรมรายย่อย ส่วนหนึ่งย่อมมาจากการวิจัย โดยเฉพาะการวิจัยของเกษตรกรเอง และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเผยแพร่นวัตกรรมที่เกษตรกรบางท้องถิ่นค้นพบให้แพร่หลาย สามารถนำมาทดลองใช้ในท้องถิ่นอื่นได้ หากจำเป็นต้องจัดองค์กรรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อการนี้ (เช่นมหาวิทยาลัยเกษตรกร) ก็พึงทำ - ฝึกอบรมทักษะการทำอาชีพเสริม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม
เช่นการบำรุงและขยายพันธุ์พืชและสัตว์, การทำธุรกิจ,
การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร, การทำหรือซ่อมปัจจัยการผลิตเอง เป็นต้น
- ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาด้านเกษตรกรรม โดยผู้สอนต้องรู้บริบทของการทำเกษตรกรรมขนาดเล็ก ให้สอดคล้องกับศาสตร์และศิลป์ของการทำเกษตรตามบริบทของท้องถิ่น และบริบทสากล
สิทธิและการคุ้มครองเกษตรกร
1) ปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรดังนี้
- สิทธิในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรสาธารณะ
- พัฒนาระบบป้องกันการกระทำที่ไม่เป็นธรรมแก่เกษตรกร เช่น
การรวมกันกดราคาสินค้า, การขายปุ๋ยและอาหารสัตว์ที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน,
โกงค่าแรง, โกงน้ำหนัก, จงใจประวิงเวลารับซื้อ,
การอ้างเกณฑ์มาตรฐานนอกเหนือสัญญา ฯลฯ
หน่วยงานภาครัฐมีอำนาจหน้าที่ร่วมกับตัวแทนของกลุ่มเกษตรกรแต่ละพื้นที่ดำเนินการวางแผน,
เตรียมการ, ตรวจสอบ, ติดตาม
และแก้ไขการกระทำที่ไม่เป็นธรรมนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
- สิทธิที่จะมีความมั่นคงด้านสวัสดิการ, ค่าตอบแทน และรายได้ที่ยุติธรรม รวมทั้งรายได้พื้นฐาน
ในส่วนของเกษตรกรตามพันธะสัญญา ซึ่งในปัจจุบันถูกเอารัดเอาเปรียบจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ควรได้รับการประกันสิทธิและความคุ้มครองดังนี้
- รัฐสนับสนุนองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
ให้มีความรู้ความเข้าใจด้านพันธะสัญญา
ตลอดจนมีโทรศัพท์สายด่วนให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรที่ต้องการทำเกษตรเชิงพันธะสัญญาอย่างทั่วถึง
ในขณะเดียวกันก็รับเรื่องราวร้องทุกข์
และพร้อมจะเป็นตัวแทนของเกษตรกรที่ถูกละเมิดสัญญา
ต่อสู้ในเชิงกฎหมายเพื่อเรียกค่าชดเชยที่เหมาะสมและเป็นธรรมให้แก่เกษตรกร
- ปรับปรุงแก้ไขสัญญาให้มีความเป็นธรรม เช่น บริษัทและเกษตรกรเป็นหุ้นส่วนกัน
จึงต้องรับความเสี่ยงเท่ากัน การทำสัญญาต้องมีความโปร่งใส
ควรมีพยานรับรู้และฝ่ายเกษตรกรมีสิทธิ์ที่จะถือสัญญาคู่ฉบับไว้ด้วย
- ต้องมีระบบตรวจสอบติดตามการปฏิบัติตามสัญญา
บริษัทผู้ประกอบการเกษตรเชิงพันธะสัญญาต้องจดทะเบียน
และแจ้งการทำพันธะสัญญากับหน่วยงานด้านยุติธรรม
หน่วยงานของรัฐควรศึกษาวิจัยต้นทุนกำไรของการผลิต
เพื่อกำหนดราคาขาย(หรือรับซื้อ)ขั้นต่ำของผลิตผลนั้นๆ
- ศึกษาพัฒนาระบบกฎหมาย เพื่อจัดความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร, บริษัท และภาคีอื่นๆ ภายใต้ระบบเกษตรเชิงพันธะสัญญาให้มีความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ในส่วนแรงงานรับจ้างในภาคเกษตร ควรปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้คุ้มครองถึงแรงงานรับจ้างในภาคเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด มีงานทำไม่ถึงปีละ 180 วัน ฉะนั้นหากมีการประกันการมีงานทำก็จะอำนวยประโยชน์แก่คนกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง เช่น รัฐร่วมกับท้องถิ่นประกันว่าคนในวัยแรงงานทุกคนจะมีงานทำปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 180 วัน เป็นต้น
สำหรับแรงงานรับจ้างที่เป็นชาวต่างด้าว ก็ต้องได้รับสิทธิประโยชน์ในด้านประกันสังคมเท่าเทียมกับแรงงานไทย ยกเว้นหลักประกันการมีงานทำ
หลักประกันความเสี่ยงทางการเกษตร
- ให้มีระบบประกันความเสี่ยงหรือประกันผลผลิตการเกษตรในรูปแบบต่างๆ
โดยผู้ได้รับประโยชน์จากการเกษตร คือภาคธุรกิจการค้า, ภาคอุตสาหกรรมเกษตร,
สถาบันการเงิน, รัฐบาล และเกษตรกร ต้องร่วมกันลงทุนระบบหลักประกันความเสี่ยง
เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน ในระยะเริ่มแรก
รัฐควรนำภาษีส่งออกสินค้าเกษตรมาสนับสนุน
- สร้างหลักประกันรายได้และคุณภาพชีวิตขั้นต่ำด้วยวิธีการอันหลากหลาย เช่น สร้างราคาผลผลิตให้เป็นธรรม สร้างรายได้เสริมจากผลิตผลการเกษตรด้วยการบริหารจัดการ ฯลฯ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ขั้นต่ำเพียงพอแก่การดำรงชีพ และพัฒนาตนเองต่อไป
ตลาดเสรีที่แท้จริง
- รัฐควรลดบทบาทแทรกแซงกลไกตลาดสินค้าเกษตรลงให้น้อยที่สุด
โดยเฉพาะการบิดเบือนกลไกราคา ซึ่งมักนำไปสู่การทุจริตฉ้อฉลต่างๆ
- จัดให้มีตลาดสินค้าเกษตรให้มากและหลากหลาย ตลาดทุกรูปแบบนับตั้งแต่ตลาดนัด,
ตลาดสด, ตลาดค้าส่ง ฯลฯ
ควรได้รับการสนับสนุนทั้งจากรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านการกระจายสินค้า
ทั้งนี้รวมถึงระบบการผลิตและการตลาดที่ผู้บริโภควางแผนร่วมกัน
ทั้งในและต่างประเทศ ด้วย ลดอำนาจเหนือตลาดด้วยวิธีต่างๆ เช่น
พัฒนากลไกตลาดกลางสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง,
ยางพารา ฯลฯ เป็นต้น
- การที่ไทยจะเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยแก่โลกได้ จำเป็นต้องมีตลาดภายในที่เข้มแข็งเป็นฐาน ดังนั้นจึงต้องพัฒนาตลาดภายในอย่างจริงจัง เช่น สร้างกลไกที่ทำให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดจำเพาะ ด้วยการผลิตให้ได้มาตรฐาน ในตลาดสินค้าเกษตรทั่วไป รัฐหรือท้องถิ่นสามารถวางมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารในตลาด เพื่อผลักดันให้เกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการตลาดสินค้าเกษตรได้เอง และพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยปรับโครงสร้างให้เป็นอิสระจากกระทรวงพาณิชย์ ในขณะเดียวกันก็ควรขยายตลาดส่งออกให้กว้างและมีความหลากหลายมากขึ้นด้วย แต่ก็ต้องหาทางเปิดช่องให้กลุ่มเกษตรกรมีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกโดยตรงด้วย ในขณะเดียวกันก็ต้องวางมาตรฐานของผู้ส่งออกที่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริง
การจัดการหนี้สินและทุน
- เร่งรัดแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร ในส่วนที่เป็นหนี้ในระบบ
รัฐควรเป็นตัวกลางในการลดหนี้เกษตรกรกับสถาบันการเงิน
หากข้อเสนอปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ได้รับการปฏิบัติตาม สถาบันการเงินย่อมยินดีจะลดหนี้เพื่อสางหนี้เสีย
มากกว่ายึดที่ดินของเกษตรกร
เพราะข้อเสนอดังกล่าวระบุว่าไม่ให้เปลี่ยนที่ดินเพื่อการเกษตรไปใช้ประโยชน์ทางอื่น
นอกจากนี้การสะสมที่ดินก็ไม่อาจทำกำไรได้อีกต่อไป
- ให้จัดการหนี้สินกับกลุ่มเกษตรกรแทนบุคคล
โดยกลุ่มที่ได้รับการจัดการหนี้ต้องมีแผนการออม และการจัดการการเงินด้วย
ในขณะเดียวกันก็ให้การศึกษาเรื่องหนี้และการจัดการทางการเงินแก่ครอบครัวเกษตรกรไปพร้อมกัน
-
บูรณาการการบริหารจัดการกองทุนที่เกี่ยวกับการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรให้เป็นเอกภาพ
แต่ก็ต้องจัดการบริหารกองทุนเสียใหม่เพื่อไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการประจำแทรกแซงได้
กองทุนควรมีหน้าที่มากกว่าฟื้นฟูหนี้
เพราะหนี้สินจะหมดไปได้ก็สัมพันธ์กับการพัฒนาเกษตรกรด้วย
- เกษตรกรอาจเข้าถึงแหล่งทุนได้ดีขึ้น
หากปล่อยสินเชื่อให้ถึงมือเกษตรกรโดยตรง
ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือบริษัทค้าปัจจัยการผลิต
ซึ่งมักจะเรียกดอกเพิ่มขึ้นหรือบังคับซื้อสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม
การให้สินเชื่อควรเปลี่ยนจากการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
เป็นการให้สินเชื่อแก่กลุ่มแทนรายบุคคล
โดยทั้งกลุ่มต้องเป็นผู้รับประกันเงินกู้ร่วมกัน
- ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาแหล่งทุนและการจัดการหนี้ของเกษตรกรโดยท้องถิ่น
ควรรวมกองทุนประเภทต่างๆ ในหมู่บ้านหรือตำบลเข้าด้วยกัน
รัฐอาจให้กู้สมทบโดยปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาหนึ่ง
เพื่อให้มีพลังพอจะจัดการกับปัญหาได้ เพราะการจัดการหนี้เกษตรกรให้ได้ผลนั้น
ท้องถิ่นจะมีความสามารถจัดการได้ดีกว่าหน่วยงานจากภายนอก
- ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เน้นภารกิจ ในการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย เพื่อลดความเสี่ยง ลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และเข้าถึงแหล่งทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมโดยมีเงื่อนไขและความยุ่งยากน้อยที่สุด การบริหารจัดการทางการเงินของเกษตรกร เพื่อมุ่งลดหนี้และหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ รวมทั้งการปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรรมการบริหารต้องมีตัวแทนของเกษตรกรเข้าร่วมด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่ควรมุ่งขยายฐานลูกค้าเกษตรกรโดยไม่เตรียมลูกค้าของตนให้บริหารจัดการเงินกู้ได้เป็น ต้องไม่ให้สินเชื่อในรูปของปุ๋ยเคมี, ยาปราบศัตรูพืช หรือวัสดุการเกษตรใดๆ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องปล่อยให้ลูกค้ามีอิสระในการเลือก และคงอำนาจต่อรองในฐานะผู้ซื้ออิสระไว้ การให้เงินกู้แก่เกษตรกรต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในการประกอบการด้านการเกษตร และช่วงจังหวะของการเก็บเกี่ยวพืชผล ฉะนั้นอัตราดอกเบี้ยที่พึงคิดจากเกษตรกร จึงควรเป็นอัตราที่น้อยกว่าของลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR) หากผิดนัดชำระหนี้เพราะเหตุสุดวิสัย ก็ไม่ควรคิดค่าปรับ แต่ควรเข้าไปช่วยให้คำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไขและเยียวยา ทั้งการเกษตรและการบริหารจัดการเงิน ส่วนเกษตรกรที่ประสบภัยธรรมชาติจนผลผลิตเสียหายสิ้นเชิง ให้ยกเลิกหนี้ทั้งหมด ควรผลักดันให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นแหล่งเงินของเกษตรกรตามเจตนารมณ์ จึงไม่ควรอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายของธปท.
ความปลอดภัยด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม
- กำหนดเป้าหมายลดการใช้สารเคมีการเกษตรให้ชัดเจน เช่น ให้เหลือร้อยละ 50 ใน
5 ปีเป็นต้น
- ปฏิรูประบบควบคุมสารเคมี โดยจำกัดการใช้สารเคมี
โดยไม่ให้ขึ้นทะเบียนแก่สารที่มีอันตรายมาก เช่น คาร์โบฟูราน, ไดโครโตฟอส,
อีพีเอน, และเมโธมีล อีกทั้งห้ามจำหน่ายอย่างเข้มงวด
ควบคุมการโฆษณาชวนเชื่อให้ใช้สารเคมีเกษตร
กำหนดมาตรการตรวจสอบการใช้อย่างเคร่งครัด แก้ไขพ.ร.บ.วัตถุอันตราย
โดยให้องค์กรด้านคุ้มครองผู้บริโภค, ด้านเกษตรกรรมยั่งยืน,
และด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาร่วมพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนและยกเลิกวัตถุอันตราย
ห้ามแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้มีส่วนได้เสีย
หาทางขจัดการจ่ายเงินในรูปเงินเดือนหรือค่าที่ปรึกษาของบริษัทค้าสารเคมีแก่ข้าราชการ
- สนับสนุนระบบเกษตรที่ปลอดภัย โดยส่งเสริมให้เกิดระบบเกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 50 ภายในหนึ่งทศวรรษ ให้บริษัทจำหน่ายสารเคมีร่วมรับผิดชอบผลกระทบจากสารเคมี อีกทั้งบริษัทมีหน้าที่ต้องนำภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้แล้วกลับคืน เพิ่มภาษีสารเคมีการเกษตรในอัตราสูง สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกรที่ต้องการผลิตอาหารอย่างปลอดภัย กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารให้เป็นมาตรฐานเดียวกับสินค้าส่งออก สร้างตลาดอาหารปลอดภัยให้ทั่วประเทศ รณรงค์ให้ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจคุณค่าของอาหารปลอดภัย และโทษของอาหารอันตราย
ระบบการสนับสนุนจากภาครัฐ
- บูรณาการระบบฐานข้อมูลการเกษตรให้เป็นเอกภาพและเป็นข้อมูลสาธารณะ
- ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการให้เกษตรกรต้องพึ่งบริการจากรัฐ มาเป็นการพึ่งตนเอง
และพึ่งกันเอง เช่นแทนที่นักวิชาการจะเป็นฝ่ายให้ความรู้แก่เกษตรกร
ซึ่งมักเป็นความรู้ที่ทำให้เกษตรกรตกเป็นเบี้ยล่างของบริษัทธุรกิจ
มาเป็นผู้จัดการให้เกิดการถ่ายทอดเรียนรู้ระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง
รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีบทบาทด้านนี้อย่างเข้มแข็ง
- ปรับนโยบายการเกษตรให้เป็นอิสระจากการแทรกแซงของกลุ่มทุน
ด้วยการทำให้กระบวนการกำหนดนโยบายเป็นสาธารณะ ที่เกษตรกรและภาคส่วนอื่นๆ
อาจมีส่วนร่วมได้
- ปรับระบบการบริหารของภาครัฐ ส่วนกลางควรเน้นเฉพาะด้านวิชาการ
สามารถให้คำแนะนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับหน่วยงานของรัฐให้มีขนาดเล็กลง
แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยประสานข้อมูลและความคิดของภาคส่วนต่างๆ
มาปรับเป็นทิศทางและยุทธศาสตร์การเกษตรของประเทศ
รวมทั้งสร้างเกณฑ์มาตรฐานในกรณีที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ
และบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
- ยุบรวมกองทุนสงเคราะห์ช่วยเหลือเกษตรกรต่างๆ ให้เป็นเอกภาพ ทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์การช่วยเหลือเป็นการสร้างความเข้มแข็งแก่องค์กรเกษตรกร เพื่อให้มีความรู้ความสามารถที่จะบริหารกองทุนได้ด้วยตัวเอง
ปฏิรูประบบภาษี
จุดมุ่งหมายของภาษีคือการเรียกเก็บส่วนแบ่งจากรายได้เพื่อใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง โดยอาศัยหลักการสองอย่างคือ ผู้มีรายได้มากย่อมได้ประโยชน์จากสังคมมาก ฉะนั้นจึงต้องสละรายได้ให้แก่สังคมในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้มีรายได้น้อย และสองการเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งจากการเรียกเก็บส่วนแบ่งสูง และจากการนำภาษีไปบำรุงผู้ด้อยโอกาส
เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว มีวิธีการเรียกเก็บซึ่งแตกต่างกันตามแต่สำนักคิดในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะใช้แนวคิดของสำนักใดระบบภาษีในประเทศไทยมีผลให้ผู้มีรายได้น้อยกลับเสียภาษีมากกว่าผู้มีรายได้มาก (โดยสัดส่วนของรายได้) ให้ข้อกำหนดค่าลดหย่อนไว้มากและสลับซับซ้อน ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้มีรายได้และทรัพย์สินมาก ระบบภาษีเช่นนี้จึงยิ่งช่วยถ่างความเหลื่อมล้ำซึ่งรุนแรงในสังคมไทยอยู่แล้วให้กว้างขึ้น
นอกจากนี้การที่ประเทศไทยมีฐานภาษีแคบ การเรียกเก็บภาษียังหละหลวม มีการหลบเลี่ยง และมีการยกเว้นการเก็บภาษีหลายประเภท ทำให้สัดส่วนของภาษีต่อจีดีพีของประเทศไทยต่ำกว่าประเทศอื่นที่มีรายได้ใกล้เคียงกัน ในส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทจำกัดขนาดกลางต้องจ่ายภาษีมากกว่าบริษัทจำกัดขนาดใหญ่ โดยสัดส่วนของรายได้ เพราะรัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทจำกัดขนาดใหญ่มากกว่า เช่น การวินิจฉัยให้สิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งหาความสม่ำเสมอและหลักเกณฑ์อะไรไม่ได้ตลอดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ช่วยสร้างความถาวรยืนนานของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน ระบบปัจจุบันก็ยังมีส่วนแบ่งของรายได้และทรัพย์สินที่ไม่ต้องจ่ายให้รัฐ หรือจ่ายน้อยมากอีกหลายประการ เช่นยังไม่มีภาษีทรัพย์สิน, ภาษีมรดก, ภาษีส่วนต่างของราคาทรัพย์สิน (Capital-gain Tax) เป็นต้น
ฉะนั้นหากต้องการบรรเทาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
จึงหลีกไม่พ้นที่จะต้องปฏิรูประบบภาษี
ปฏิรูประบบตลาด
ในทางทฤษฎี กลไกตลาดควรจะเป็นกลไกที่จัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่าระบบตลาดของประเทศไทยยังมีความล้มเหลวในหลายด้าน ดังนี้
- ความไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศอย่างเท่าเทียมกัน
- ความเสียหายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
มักไม่ถูกคิดรวมเข้าไปในต้นทุนหรือการตัดสินใจทางเศรษฐกิจทั้งของภาคเอกชนและภาครัฐ
- การมีอำนาจผูกขาดและการมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย, เช่น
กฎหมายเอื้อให้มีการผูกขาด, การฮั้ว
(หรือการสมยอมในการเสนอราคาและการทำธุรกรรมอื่นๆ), การไม่บังคับใช้กฎหมาย,
การไม่มีกฎหมายที่ขัดขวางการมีอำนาจเหนือตลาด,
การกีดกันคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม,
ความรู้และเทคโนโลยีที่สูงกว่าของผู้มีอำนาจเหนือตลาด
- ตลาดที่รวมศูนย์เกินไป ทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง
- การกีดกันและไม่พัฒนาตลาดใหม่ๆ ที่เหมาะกับกำลังของคนส่วนใหญ่ที่จะเข้าถึงตลาดโดยตรง นับตั้งแต่ทางเท้าไปจนถึงตลาดพืชผลการเกษตรของท้องถิ่นและการซื้อขายบนอินเตอร์เน็ต
ปฏิรูปด้านพาณิชย์และอุตสาหกรรม
การแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมและการผลิตที่เป็นธรรม
ย่อมเป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้ทุกคนสามารถหาประโยชน์จากกิจกรรมนี้ได้
เปิดโอกาสให้ผู้เสียเปรียบสามารถใช้สินค้าที่ตนมีหรือผลิตได้
เข้าไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น ได้รับผลตอบแทนคุ้มกับการลงทุนลงแรง
จึงเป็นการจัดสรรเชิงอำนาจที่จะลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างดี
แต่การแลกเปลี่ยนและการผลิตในประเทศไทย กลับเปิดโอกาสให้มีการเอารัดเอาเปรียบกันมาก
ปิดกั้นโอกาสของคนจำนวนมากให้ไม่สามารถเข้าไปแข่งขันและสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับตนขึ้นได้
จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม
ปฏิรูประบบพลังงาน
แม้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานพอสมควร แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้มีปัญหาอยู่มาก ทั้งในแง่การบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจและด้านทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ในปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด มีมูลค่าสูงเกินร้อยละ 10 ของจีดีพี แม้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ที่มีพลังงานหมุนเวียนในธรรมชาติอยู่มาก รวมทั้งโลกปัจจุบันได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้พลังงานหมุนเวียนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว แต่เรากลับใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ในประเทศน้อยมาก อีกทั้งลังเลอย่างหนักที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางของพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
นอกจากนั้น การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่ผ่านมาก็ยังเป็นไปในลักษณะรวมศูนย์ คือมีการตัดสินใจจากราชการส่วนกลาง และใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นการแย่งชิงพื้นที่เกษตรที่ใช้ในการผลิตอาหารเพื่อบริโภค
ระบบพลังงานของไทยเป็นระบบรวมศูนย์ การตัดสินใจเกี่ยวกับพลังงาน นับตั้งแต่จะใช้และผลิตอย่างไร ใครควรได้ใช้ ภายใต้เงื่อนไขอะไร ล้วนอยู่ในมือของคนเพียงหยิบมือเดียว ด้วยเหตุดังนั้นการบริหารจัดการจึงลำเอียงเข้าข้างภาคการผลิตบางภาค เช่นความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้า 3 ใน 4 มาจากความต้องการของด้านอุตสาหกรรมและบริการ แต่แหล่งที่จะผลิตไฟฟ้ากลับเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชน หรือพื้นที่สาธารณะ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนอย่างไพศาลแก่คนในพื้นที่ต่างๆ ในขณะที่ไม่มีมาตรการที่จริงจังในการส่งเสริมการประหยัดพลังงานหรือลงโทษการไม่ประหยัดพลังงาน ในภาคอุตสาหกรรมและบริการ และเพื่อประกันความมั่นคงด้านพลังงานของภาคที่ได้รับการค้ำจุนนี้ จึงคาดความต้องการด้านพลังงานไว้สูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องลงทุนเข้าไปในระบบเกินจำเป็น จนกลายเป็นภาระทางการคลังของคนทั้งประเทศ
ระบบรวมศูนย์ด้านพลังงานยังก่อให้เกิดความฉ้อฉลในทุกระดับ
นักการเมืองเข้าไปแสวงหาสินบนในโครงการขนาดใหญ่ หรือมิฉะนั้น
ก็ใช้มาตรการแทรกแซงราคา เพื่อหาเสียงทางการเมือง ข้าราชการเสนอโครงการขนาดใหญ่
เพื่อแสวงประโยชน์โดยมิชอบในการประมูลขึ้นไปจนถึงการควบคุมการก่อสร้าง
ผู้เชี่ยวชาญซึ่งนั่งในคณะกรรมการมีผลประโยชน์ผูกพันทั้งทางตรงและทางอ้อมกับบริษัทผลิตพลังงาน
นักธุรกิจยัดเยียดโครงการเพื่อแสวงหากำไรจากสัญญาที่รัฐมักเสียเปรียบเสมอ
จำเป็นต้องปฏิรูประบบพลังงานของไทยมาสู่ระบบกระจายศูนย์ดังที่ใช้ในบางประเทศ เช่น
เยอรมนีและเดนมาร์ก (ดูเอกสารภาคผนวกเลขที่ 19 นายเดชรัต สุขกำเนิด เรื่อง
"ข้อเสนอการปฏิรูประบบพลังงาน")
และเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ระบบกระจายศูนย์ด้านพลังงาน จะกระจายการตัดสินใจไปพร้อมๆ กับความรับผิดชอบ
และจะไม่ผลักภาระที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปสู่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง
ในขณะที่การผลิตพลังงานแบบรวมศูนย์ก็ยังมีความสำคัญ
และในอนาคตก็จะยังเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตด้านพลังงานของประเทศ
แต่จำเป็นที่รัฐต้องเปิดโอกาสและสร้างกระบวนการให้ภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการวางแผนพลังงาน
นับตั้งแต่พยากรณ์ความต้องการ ไปจนถึงทางเลือกในการผลิตพลังงาน
และการตรวจสอบควบคุม)
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรเศรษฐกิจ
ทรัพยากรสังคม
ทรัพยากรการเมือง