สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของประเทศไทย
ความเหลื่อมล้ำ
การบริหารจัดการทรัพยากร
การบริหารจัดการทรัพยากร
ทรัพยากรสังคม
เมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม ย่อมก่อให้เกิด "ทรัพย์" ขึ้นมากมายนอกเหนือจากที่มีอยู่ตามธรรมชาติ "ทรัพย์" เหล่านี้มีความสำคัญในการที่มนุษย์แต่ละคนจะนำไปใช้ เพื่อผดุงชีวิตของตนในสังคมและเพื่อพัฒนาตนเอง หาก"ทรัพย์"ทางสังคมส่วนนี้ไม่ได้เปิดให้กระจายไปยังทุกภาคส่วนในสังคมอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน ย่อมก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ปิดตาย กล่าวคือไม่มีช่องให้คนด้อยโอกาสได้ขยับขับเคลื่อนขึ้นสู่ข้างบนได้เลย
การที่คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงทรัพยากรสังคมเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบกพร่องของบุคคลเพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วความบกพร่องส่วนบุคคลเป็นปัจจัยที่ไม่สำคัญเลย เมื่อดูจากสถิติของความสามารถเข้าถึง จำนวนคนที่เข้าไม่ถึงนั้นมีมาก ซ้ำยังจำแนกออกตามสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน แสดงว่าเกิดขึ้นจากความบกพร่องในการบริหารจัดการมากกว่าความบกพร่องของบุคคล (มิฉะนั้นก็ต้องสรุปว่าคนจนโง่หมด หรือคนจนขี้เกียจหมด)
ตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำเช่นนี้เห็นได้ดีในด้านการศึกษา
หากแบ่งประชากรไทยออกเป็น 5 กลุ่ม เปรียบเทียบระหว่างหัวหน้าครอบครัวของกลุ่มที่มีการศึกษาสูงสุดกับหัวหน้าครอบครัวของกลุ่มที่มีการศึกษาต่ำสุด จะพบว่ามีรายได้เฉลี่ยต่างกันมาก ยิ่งไปกว่านั้น ในครอบครัวที่ทำเกษตร จะมีการศึกษาต่ำสุดถึงร้อยละ 32 และสูงสุดเพียงร้อยละ 6 ส่วนในครอบครัวที่หัวหน้าประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง จะมีสมาชิกได้การศึกษาต่ำสุดเพียงร้อยละ 2 และสูงสุดถึงร้อยละ 32 ระดับการศึกษาที่ต่างกันนั้นให้ผลต่อรายได้ในชีวิตอย่างมาก ผู้ที่มีการศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไป จะมีรายได้มากกว่าผู้จบชั้นประถมถึง 2 เท่า แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายมีอายุ 50-55 ปี ก็จะมีรายได้ที่ต่างกันถึง 5 เท่า ฉะนั้นหากลองคิดเลยไปถึงลูกของหัวหน้าครอบครัวที่จบประถมในอนาคต เขาจะมีโอกาสรับการศึกษาได้สักเท่าไร และจะมีรายได้เฉลี่ยที่ต่างจากเพื่อนของเขาที่จบปริญญาขึ้นไปสืบเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยกำลังฝังรากลึกจนกลายเป็น"ชนชั้น" (หรือแม้แต่"วรรณะ"ไปแล้ว)
หรือดูจากสภาพชีวิตในเมืองซึ่งกลายเป็นสิ่งแวดล้อมทางสังคมของคนไทยส่วนใหญ่ไปแล้ว สาธารณูปการที่จัดขึ้น กลับเปิดโอกาสให้คนในสถานภาพสูงได้เปรียบกว่า ทั้งในแง่การเดินทาง, การพักผ่อนหย่อนใจ, ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย, การหลบหลีกจากมลภาวะ, ฯลฯ ฉะนั้นแม้แต่คุณภาพชีวิตของเมืองที่เสื่อมทรามลง ก็ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมเลวร้ายลง และมีสภาพถาวรมากขึ้น เพราะเป็นคนจนเมือง จึงมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่า, ส่งลูกเรียนหนังสือด้วยต้นทุนสูงกว่าเมื่อเทียบสัดส่วนของรายได้, ลงทุนกับที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคที่จำเป็นสูงกว่าในสัดส่วนของรายได้ ฯลฯ
ทรัพยากรสังคมที่บริหารจัดการกันอย่างไม่เป็นธรรม และสร้างความเหลื่อมล้ำให้หนักขึ้น ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เห็นว่าจะต้องปฏิรูปกันอย่างเร่งด่วนได้แก่ การศึกษา, ศาสนธรรมและจิตวิญญาณ, การเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์, การสื่อสาร, ระบบสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตของเมือง
ปฏิรูปการศึกษา
หลักการ
เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาในครั้งนี้คือจัดให้เกิดโอกาสทางการศึกษาที่มีความเท่าเทียมและทั่วถึง
คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ตระหนักดีว่าการศึกษาไม่ใช่การไปโรงเรียน
แต่หมายถึงโอกาสที่ทุกคนได้เรียนรู้และสร้างความงอกงามแก่ชีวิตตนและสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน
ดังนั้นหน้าที่การจัดการศึกษาจึงไม่ใช่ของรัฐแต่ผู้เดียว
หากทุกฝ่ายนับตั้งแต่ครอบครัวขึ้นมา
ย่อมต้องมีส่วนและอำนาจบทบาทในการจัดการศึกษาร่วมกัน
ข้อเสนอ
คณะอนุกรรมการฯ แบ่งข้อเสนอหลักออกเป็นสองด้าน ในด้านแรกต้องมีกระบวนการและมาตรการที่จะขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และด้านที่สอง ต้องเสริมสร้างการเรียนรู้ใหม่ ทั้งด้านกระบวนการและเนื้อหาของสังคมไทย
ข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
การปฏิรูปการศึกษาตามหลักการข้างต้นนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ภายใต้การครอบงำการจัดการศึกษาของภาครัฐดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทด้านจัดการศึกษาของรัฐให้อยู่ในลักษณะที่ร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม โดยเปลี่ยนจากอำนาจกำกับควบคุมไปสู่ความร่วมมืออย่างเท่าเทียมระหว่างรัฐและผู้จัดการศึกษาซึ่งมีความหลากหลายในสังคม
- หน้าที่ด้านการจัดการศึกษาของรัฐ ไม่ใช่การจัดเอง
แต่เป็นผู้จัดให้มีการศึกษา ดังนั้นสถานศึกษาจึงไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
แต่เป็นการจัดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ
ในหลายระดับ หรือโดยเอกชน
โดยเน้นการเพิ่มบทบาทและความเข้มแข็งของคณะกรรมการสถานศึกษาและกรรมการการศึกษาท้องถิ่นในการบริหารจัดการ
กระทรวงศึกษาธิการเป็นเพียงผู้รับผิดชอบในการกำหนดและกำกับมาตรฐานกลาง
แต่มาตรฐานดังกล่าวก็มุ่งที่คุณภาพของการเรียนรู้
ไม่ใช่มาตรฐานที่จะบังคับให้ทุกสถานศึกษาเหมือนกันหมด
ดังนั้นแต่ละสถานศึกษาและศูนย์การเรียนรู้จึงมีความหลากหลายด้านกระบวนการเรียนรู้
นอกจากนี้รัฐโดยกระทรวงศึกษาธิการย่อมมีหน้าที่ในการส่งเสริมการศึกษาที่ภาคส่วนอื่นๆ
ในสังคมจัดขึ้นไปพร้อมกัน
- ดังนั้น
กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับระบบประกันคุณภาพและมาตรฐานให้มีความยืดหยุ่น
และมีวิธีการประเมินที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับท้องถิ่น, วัฒนธรรม,
จุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันของแต่ละหน่วยเรียนรู้, และกลุ่มชาติพันธุ์
ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับระบบวัดและประเมินผลระดับชาติ
ให้สามารถวัดความรู้ความสามารถเป็นองค์รวม ไม่อาศัยแต่มาตรฐานตายตัว
- บทบาทของภาครัฐในการส่งเสริมการศึกษา
ไม่มีอยู่เฉพาะการส่งเสริมด้านงบประมาณเสริมเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐเพียงอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงความช่วยเหลือด้านวิชาการ ด้านการประสานงาน และด้านบุคลากร
แม้ไม่ใช่ผู้บริหารบุคลากรเองก็ตาม
- ทางด้านการสนับสนุนด้วยงบประมาณ รัฐควรหันมาจัดการด้านการคลังด้วยการสนับสนุนโดยตรงแก่ผู้รับประโยชน์ เช่นสนับสนุนเด็กด้อยโอกาส ด้วยคูปองการศึกษา สนับสนุนสถานศึกษาและศูนย์เรียนรู้ตามภารกิจและรายหัว เป็นต้น
ข้อเสนอเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ใหม่ของสังคมไทย
- พัฒนาครูให้มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นในการจัดการเรียนรู้ ทั้งในแง่ฝึกหัดครู
และการพัฒนาต่อเนื่อง
รวมทั้งเผยแพร่ส่งเสริมให้เกิดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในสังคมวงกว้าง
โดยเฉพาะพ่อแม่และครอบครัว
เพราะครอบครัวเป็นหน่วยเรียนรู้ที่สำคัญสุดตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ครอบครัวไทยต้องมีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ในสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
- สนับสนุนการศึกษาทางเลือกในรูปแบบที่หลากหลาย มีทั้งระบบครอบครัว
ระบบโรงเรียน ระบบโรงเรียนที่มีปรัชญาการเรียนรู้ที่ต่างกัน โรงเรียนชุมชน สื่อ
และโรงเรียนศาสนา เป็นต้น
- ปรับให้ระบบการเรียนรู้สามารถเชื่อมต่อกันได้ ระหว่างการศึกษาในระบบ,
นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
ทั้งนี้พึงกระทำในทุกระดับการศึกษารวมทั้งการศึกษาทางเลือก
โดยมีความยืดหยุ่นด้านหลักสูตร และการประเมินผล
เพื่อให้เกิดความหลากหลายในกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับชีวิตของแต่ละคน
- สนับสนุนการเรียนรู้ที่บูรณาการกับงาน
และ/หรือความสนใจของบุคคลในทุกระดับและทุกประเภทของการศึกษา
เช่นพัฒนาสถาบันอาชีวศึกษาร่วมกับภาคการผลิตจริง
เน้นการเรียนรู้บนฐานการทำงานจริง, สร้างชุมชนฐานโรงงาน
และจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมอันจะนำไปสู่การพัฒนาอาชีพในชุมชน
มีการเรียนรู้ที่เหมาะสมในกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเกษตร
สนับสนุนให้นายจ้างใช้วิธีการประเมินบุคคลเพื่อรับเข้าทำงานที่สะท้อนสมรรถนะในการทำงาน
มากกว่าสถานะทางการศึกษาอย่างเดียว
- สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาสังคม
สร้างสาธารณูปการเพื่อการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ
ที่เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น เช่นห้องสมุด,
รายการวิทยุชุมชนหรือโทรทัศน์ชุมชน, กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ต่างๆ,
กลุ่มกิจกรรมที่ให้การเรียนรู้ ฯลฯ
- ในด้านหลักสูตร, การวัดผลและการสอบเข้ามหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญแก่"ความรู้" ซึ่งหมายถึงการสรุปข้อมูลออกมาเป็นแนวคิดหรือความเข้าใจอย่างหนึ่ง และกระบวนการสร้าง"ความรู้" มากกว่าตัวข้อมูลเพียงอย่างเดียว เรื่องนี้มีความสำคัญ และจะกระทบถึงการจัดการเรียนรู้ซึ่งเรียกกันว่าการสอนในการศึกษาทุกระดับชั้น และทุกประเภท
ศาสนธรรมและจิตวิญญาณ
สภาพปัญหา
ชีวิตที่ผาสุกมีความหมายมากกว่าการมีอำนาจต่อรองเพื่อเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันคือ การมีชีวิตในสังคมและทางสังคมที่สงบสุขหนึ่ง และความสามารถที่จะพัฒนาจิตใจของตนเองไปสู่ความสงบสุขอีกหนึ่ง ด้านแรกคือสิ่งที่เรียกกันว่าศีลธรรมหรือจริยธรรม ด้านที่สองคือสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณ แม้ว่าเป็นสองด้านหรือสองมิติ แต่ที่จริงแล้วมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้
สังคมไทยปัจจุบันมีความพร่องทั้งสองด้าน ทำให้สังคมไทยไม่ใช่สังคมสงบสุข และคนไทยไม่มีใจที่สงบสุข อาชญากรรมและความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างมาก ผู้หญิงถูกกระทำชำเรากว่า 14 คนต่อวัน เด็กถูกละเมิดทางเพศทุก 2 ชั่วโมง ความรุนแรงเกิดในสังคมอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความเคยชิน สามีทำร้ายภรรยา พ่อแม่ทำร้ายเด็กอย่างโหดเหี้ยม ครูทำร้ายนักเรียนและนักเรียนทำร้ายกันเองจนบางครั้งถึงแก่ชีวิต รัฐทำร้ายประชาชนท่ามกลางความชื่นชมยินดีจากประชาชนอย่างเปิดเผย
การลักขโมยและการทุจริตเกิดขึ้นอย่างดกดื่น การฉ้อราษฎร์บังหลวงกระทำกันได้อย่างแทบไม่ต้องปิดบัง บ่อนทำลายเยื่อไยทางศีลธรรมของสังคมอย่างร้ายกาจ เพราะผู้คนยอมรับว่าเป็นพฤติกรรมปรกติธรรมดาไปเสียแล้ว
สังคมไทยยังเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบและรังเกียจเหยียดหยาม การเอารัดเอาเปรียบนั้นเกิดขึ้นให้เห็นได้เป็นธรรมดา ระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้าง, ระหว่างทุนกับสังคมในวงกว้าง, ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ฯลฯ โดยการเลี่ยงกฎหมาย หรือใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในหลายกรณี ในขณะเดียวกันผู้คนก็แสดงการเหยียดหยามรังเกียจทางสถานภาพ, ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม, ทางเพศ, ฯลฯ ระหว่างกันอย่างเปิดเผย นำไปสู่การล่วงละเมิดและใช้ความรุนแรงต่อกัน บางครั้งก็อย่างเหี้ยมโหดเพราะมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม
ทั้งหมดเหล่านี้ย่อมแสดงว่า คนในสังคมไทยปัจจุบันมีทุกข์ทางจิตวิญญาณอย่างหนัก กล่าวคือไม่สามารถค้นพบความสงบสุขจากภายใน ต้องแสวงหาความสงบสุขจากสิ่งอื่นภายนอก ยิ่งทุกข์มากก็ยิ่งต้องแสวงหามากขึ้น ดังนั้นผู้คนในสังคมไทยทุกวันนี้ จึงหลงติดในวัตถุอย่างมาก อีกทั้งกระแสบริโภคนิยมยังทำให้บุคคลนิยามตนเองโดยอิงวัตถุที่ตนครอบครองหรือเข้าถึงได้ ในบรรดาสิ่งภายนอกที่คนต้องหันไปหาเพื่อบำบัดความทุกข์ชั่วครู่ชั่วยามนั้น ก็รวมถึงอบายมุข, การพนัน และยาเสพติดซึ่งแพร่ระบาดอย่างน่ากลัวด้วย
ความทุกข์ทางจิตวิญญาณอย่างหนักนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกแยกกับสิ่งรอบตัว นับตั้งแต่แปลกแยกกับสิ่งแวดล้อม, กับคนอื่นแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน, และถึงที่สุดก็แปลกแยกกับตนเอง รู้สึกชีวิตว่างเปล่าไร้จุดมุ่งหมาย หาความหมายของชีวิตไม่พบ
ความพร่องของศาสนธรรมและจิตวิญญาณในสังคมไทยเวลานี้ มีรากเหง้าอยู่หลายประการ ที่สำคัญคือ
- การแพร่ขยายของโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมและวัฒนธรรมบริโภคนิยม
ทำให้รู้สึกว่าวัตถุมีคุณค่าเหนืออื่นใด ศาสนธรรมไร้ความหมาย
ยิ่งโลกทัศน์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทั้งจากรัฐ, ทุน, และการศึกษา
ก็ยิ่งทำให้ฝังรากลึกลงไปในจิตใจของผู้คนมากขึ้น
- องค์กรศาสนาเองก็ไม่ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ซ้ำยังไม่รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงเสียอีก
ในหลายครั้งกลับส่งเสริมโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมและบริโภคนิยมเสียเอง
- การทำลายพลวัตของศาสนาในท้องถิ่น ศาสนาในท้องถิ่นมีพลวัตในการปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทแวดล้อม และความต้องการของคนในท้องถิ่น เพราะเป็นอิสระจากการครอบงำจากภายนอก แต่รัฐไทยสมัยใหม่พยายามเข้าไปกำกับควบคุมศาสนาเพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผลก็คือพลวัตของศาสนาในท้องถิ่นถูกทำลายไปหมด จึงไม่มีบทบาทในการเสริมสร้างจิตวิญญาณของผู้คนอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ด้านวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นก็ถูกกำกับจากรัฐมากขึ้น ในระยะหลังยังถูกกำหนดจากทุนเพื่อหากำไรในธุรกิจท่องเที่ยวอีกด้วย แท้จริงแล้ววัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นล้วนมีมิติด้านจิตวิญญาณแทรกอยู่ทั้งนั้น ความอ่อนแอของท้องถิ่นทำให้ไม่สามารถรักษาและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีของตนให้รับใช้ด้านสังคมและจิตวิญญาณของท้องถิ่นได้อีกต่อไป
ข้อเสนอ
- ปฏิรูปการปกครองและการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างจริงจัง
จำเป็นต้องมีการกระจายอำนาจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันก็ต้องลงทุนและเอาใจใส่กับเรื่องการศึกษาของพระสงฆ์สามเณร
เพื่อให้ได้พระเณรที่รู้ทางธรรมและทางโลกพอที่จะเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณของประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะประชาชนในท้องถิ่นได้
การปกครองขององค์กรศาสนาไม่ควรรวมศูนย์ ต้องกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นระดับต่างๆ รัฐควรทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้บุคลากรในองค์กรศาสนาทุกระดับและทุกประเภทมีการศึกษาที่ดี ทั้งในทางศาสนาและในทางโลก แต่การจะทำเช่นนี้ได้ รัฐต้องเลิกผูกขาดการเป็นผู้ควบคุมและตีความความรู้ ทั้งหลักธรรมของแต่ละศาสนา และความจริงทางโลกแต่ผู้เดียว
ยิ่งไปกว่านี้ ถึงรัฐจะเป็นผู้ปกป้องเสรีภาพทางศาสนา แต่รัฐไม่ควรทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องศาสนาเสียเอง หรือปกป้องการตีความศาสนาสำนวนใดทั้งสิ้น เพราะในโลกปัจจุบัน ความอยู่รอดของคำสอนทางศาสนาใดก็ตาม ควรเกิดขึ้นจากความสามารถในการปรับตัวขององค์กรศาสนาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นทุกคำสอนจึงต้องเผชิญการท้าทาย, การคิดต่างเน้นต่างของคำสอนอื่นๆ แม้ในศาสนาเดียวกัน การปกป้องศาสนาในสำนวนที่รัฐเห็นชอบด้วย อำนาจรัฐเสียอีกที่ทำให้องค์กรศาสนานอนใจที่จะปรับตัวเองเพื่อนำคำสอนมาสู่สังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว
- ฟื้นฟูชุมชนให้เข้มแข็ง
ซึ่งหมายถึงความเข้มแข็งของสายสัมพันธ์ภายในของกลุ่มคนที่ร่วมในท้องถิ่นเดียวกัน
ในโลกปัจจุบัน สายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งไม่ได้วางอยู่บนระบบเครือญาติ,
การทำอาชีพเดียวกัน, หรือการเผชิญโลกภายนอกร่วมกันอีกแล้ว
แต่วางอยู่บนกิจกรรมร่วมกันและการจัดการและใช้ประโยชน์จากสาธารณสมบัติร่วมกัน
ดังนั้นจึงต้องกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นดังข้อเสนอเรื่อง
"ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ"ของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ชุมชนที่เข้มแข็งมีพลังทางศีลธรรมในการกำกับพฤติกรรมของผู้คน
สายสัมพันธ์ในชุมชนยังทำให้ผู้คนไม่รู้สึกแปลกแยกจากกัน
ดังนั้นในด้านการจัดการด้านศาสนาย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้มีการบำรุงการศึกษาของพระสงฆ์ สามเณรอย่างจริงจังมากขึ้น รวมทั้งการทำนุบำรุงศาสนสถานในท้องถิ่นด้วย
การทำให้ศาสนากลับเป็นของท้องถิ่นหรือชุมชน ย่อมทำให้องค์กรศาสนาตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นมากขึ้น และอ่อนไหวต่อศาสนาหรือความเชื่อทางจิตวิญญาณอื่นๆ ซึ่งมีในท้องถิ่นมากขึ้น
- ปฏิรูปการศึกษาเพื่อเสริมสร้างจริยธรรมและจิตวิญญาณ
การศึกษาควรให้ความสำคัญของมิติทางจิตวิญญาณและศีลธรรมมากขึ้น
แต่มิได้หมายความให้บรรจุวิชาศาสนาเข้าไปในหลักสูตรเพิ่มขึ้น
แต่หมายถึงการสอนวิชาความรู้ในเชิงโน้มนำให้ผู้เรียนคิดถึงคนอื่น
เพราะคนอื่นคือหลักการพื้นฐานของศีลธรรมทุกชนิด
นอกจากนี้ควรสอนให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์เป็น ทั้งเรื่องของวิชาความรู้
และจิตใจของตนเอง อีกทั้งควรสอนในทางปฏิบัติด้วย เช่นทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น
การรู้จักสงบใจ การรู้จักฝืนใจตนเอง ความมานะบากบั่นในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
การรู้เท่าทันการโฆษณาและชั่งใจในการจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศาสนา โดยมีจุดร่วมที่ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางภาษา, ศาสนา, เชื้อชาติและอุดมการณ์ เพื่อลดความโกรธเกลียดและอคติต่อกัน
การเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
วัฒนธรรมคือ ระบบความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งแสดงออกในหลายลักษณะ นับตั้งแต่ภาษา, การนับญาติ, การแต่งงาน, ศิลปะ, ประเพณี, ความเชื่อ, ระบบคุณค่า, ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเพศและสถานภาพ ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้ถูกสร้างและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขในชีวิตที่เปลี่ยนไป กลุ่มคนที่อยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน เช่น พื้นที่เดียวกัน, ชาติพันธุ์เดียวกัน, อาชีพเดียวกัน ฯลฯ จึงมักมีวัฒนธรรมเดียวกัน และถูกยึดถือว่าเป็นตัวตน หรือ "อัตลักษณ์" ของเขา เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากคนอื่น, เพื่อยืนยันคุณค่าของอัตลักษณ์นั้นที่มีต่อสังคมส่วนรวม และเหตุใดจึงมีผลประโยชน์พิเศษที่จะต้องปกป้องไว้ ฉะนั้นการมีวัฒนธรรมและอัตลักษณ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจต่อรองในสังคม แต่ถ้าหากสังคมใดไม่ยอมรับความแตกต่างเฉพาะทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของคนกลุ่มใดทั้งสิ้น วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ก็กลายเป็นเครื่องมือการต่อรองที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ประชาชนไทยในปัจจุบันเข้าใจนัยะสำคัญของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ในแง่ที่กล่าวนี้อย่างดี จึงมีการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะเพื่อการต่อรองหลายอย่าง รวมทั้งเสื้อเหลือง, เสื้อแดง, เสื้อชมพูด้วย ทั้งนี้เพราะว่าสังคมไทยในปัจจุบันก็เหมือนสังคมในโลกสมัยใหม่ทั่วไป กล่าวคือ มีความหลากหลายสูง นับตั้งแต่อาชีพการงาน, ไปจนถึงศาสนา, วัฒนธรรม, กลุ่มชาติพันธุ์และจุดยืนทางสังคม จึงยิ่งมีเหตุจำเป็นในการต้องต่อรองกับผู้อื่นในเกือบทุกเรื่อง วัฒนธรรมและอัตลักษณ์เป็นทรัพยากรสังคมที่ให้พลังในการต่อรองอย่างมาก การเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์จึงเท่ากับเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่คนทุกกลุ่มและเป็นส่วนสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำ
ปฏิรูปด้านการสื่อสาร
การสื่อสารมีสองลักษณะ คือการสื่อสารในแนวตั้ง จากศูนย์ใดศูนย์หนึ่งกระจายสารที่ต้องการไปยังคนอื่นในวงกว้าง และการสื่อสารในแนวนอน ได้แก่คนทั่วไปหรือในกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดสามารถสื่อสารที่ต้องการระหว่างกันได้
การสื่อสารทั้งสองลักษณะนี้ มีปัญหาในสังคมไทยมากและทำลายศักยภาพของการสื่อสาร ซึ่งเป็นอำนาจสำคัญที่จะทำให้คนกลุ่มต่างๆ สามารถต่อรองเชิงอำนาจอย่างได้ผลและสามารถพัฒนาในวิถีทางที่เหมาะสมกับตนเองได้
การสื่อสารแนวตั้ง ถูกรวมศูนย์ กลายเป็นเครื่องมือของรัฐและทุน อันที่จริง"ศูนย์"ที่เป็นผู้กระจายสาร ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐหรือทุนเสมอไป อาจเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวใดๆ ก็ได้ แต่การรวมศูนย์สื่อทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการต่อรองของตนเองได้
การสื่อสารแนวนอน แม้มีการขยายตัวของสื่อประเภทนี้เพิ่มขึ้นในระยะหลัง ก็ถูกแทรกแซงจากรัฐและทุนมากจนกระทั่ง ไม่ช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างกลุ่มภายใน จึงยากที่จะสร้างความเข้มแข็งในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรอง
ทั้งนี้ยังไม่ได้พูดถึงการใช้สื่อเพื่อการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งสื่อทั้งสองชนิดมีศักยภาพจะทำได้มาก แต่ก็ใช้สมรรถนะในเรื่องนี้น้อย
ปฏิรูประบบสาธารณสุข
ปัญหา
เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ต้องถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จด้านนี้ค่อนข้างมาก แม้กระนั้นก็ยังมีปัญหาเร่งด่วนบางประการที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข คือ
- การกระจายบริการสาธารณสุขที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเมืองใหญ่และชนบท
ไม่เฉพาะแต่เครื่องมือของบริการเท่านั้น
แต่รวมถึงนโยบายบางอย่างซึ่งทำให้บริการสาธารณสุขยิ่งกระจุกตัวมากขึ้นด้วย
เช่นโรงเรียนแพทย์ทั้ง 17 แห่งซึ่งล้วนตั้งอยู่ในเมืองใหญ่
มีงบลงทุนสูงกว่างบลงทุนของกระทรวงสาธารณสุขทั้งประเทศ
- ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมระหว่างระบบบริการสามแบบ
คือระบบสวัสดิการราชการ, ระบบบัตรทอง และระบบประกันสังคม
- ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพกับประชาชนผู้รับบริการ
ข้อเสนอ
- ควรกระจายอำนาจตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เรื่อง
"การปรับโครงสร้างทางอำนาจ" ในกรณีของสาธารณสุข
กระทรวงสาธารณสุขจะไม่มีอำนาจบริหารโรงพยาบาลโดยตรง
แต่โรงพยาบาลจะปรับเป็นองค์กรมหาชนดังเช่น โรงพยาบาลบ้านแพ้ว
หรือขึ้นอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในกรณีที่เป็นสถานีอนามัยควรอยู่ในการดูแลและสนับสนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ปัจจุบันอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพียง 27 แห่ง จากเกือบหมื่นแห่ง)
ส่วนกระทรวงสาธารณสุขทำงานด้านกฎหมาย, นโยบาย,
แผนและการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานเท่านั้น
ส่วนผู้ซื้อบริการยังเป็นไปตามระบบเดิม
- จะต้องยกเครื่องระบบการรักษาพยาบาลข้าราชการในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้รั่วไหล
สิ้นเปลือง และไร้ประสิทธิภาพ
สำหรับข้าราชการใหม่ให้เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ในส่วนระบบประกันสังคม ควรโอนบริการทางการแพทย์ไปให้ระบบบัตรทองเป็นผู้จัดการทั้งหมด โดยใช้เงินซึ่งรัฐต้องจ่ายสมทบอยู่แล้วเป็นค่าใช้จ่ายครอบคลุมสิทธิประโยชน์เท่ากับบัตรทอง ส่วนเงินสมทบที่แรงงานต้องจ่ายในการประกันสังคม ก็ยังให้จ่ายต่อไป แต่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสิทธิประโยชน์อีกสามกรณีคือตาย, ทุพพลภาพและคลอดบุตร ส่วนที่เหลือนำไปหาผลประโยชน์ในระบบที่มีการตรวจสอบอย่างดีเพื่อเป็นเงินออมแก่ผู้ประกันตนให้ได้รับบำเหน็จบำนาญเพิ่มสูงขึ้น
- สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ในการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีความรู้ในการจัดการกับความป่วยไข้ของตนเองและคนใกล้ชิดได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งส่งเสริมการแพทย์ทางเลือกอย่างเหมาะสม ทั้งในและนอกโรงพยาบาล เมื่อเกิดปัญหาจากการรักษาพยาบาล ต้องใช้ระบบการชดเชยโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก-ผิด นอกจากนี้ควรปรับองค์ประกอบของแพทยสภาและสภาวิชาชีพอื่นซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ ให้มีกรรมการนอกวงวิชาชีพร่วมในสัดส่วนที่มีน้ำหนักเท่ากัน
ปฏิรูปเมืองเพื่อคุณภาพชีวิต
หากนับประชากรในเขตปริมณฑลของเมืองร่วมด้วย ปัจจุบันกว่าร้อยละ 50 ล้วนมีชีวิตอยู่ในเขตเมือง ฉะนั้นเมืองจึงเป็นสิ่งแวดล้อมในชีวิตที่สำคัญของคนไทยส่วนใหญ่ แต่เมืองของไทยเป็นสถานที่ซึ่งมีปัญหาที่ไม่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตอย่างยิ่ง เช่น ขาดขนส่งระบบมวลชนที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม ไม่มีทางเท้าที่สะดวก ไม่มีเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัย ฯลฯ ทำให้การจราจรติดขัด และนับวันก็จะยิ่งติดขัดมากขึ้น
ประชากรจำนวนมากในเขตเมืองขาดความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน
ส่วนใหญ่ขาดชีวิตชุมชนเพราะไม่มีพื้นที่สาธารณะ (ทั้งในความหมายรูปธรรมและนามธรรม)
เพื่อให้ผู้คนเข้ามาร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ
การจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยในเขตเมืองไร้ระเบียบ ปล่อยให้เกิดการปะปนกันอย่างแยกไม่ออก
เช่นแหล่งอบายมุขตั้งกระจายกันในทุกพื้นที่
ปล่อยให้ตึกสูงผุดขึ้นทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ
เมืองสร้างขยะขึ้นมากมายซึ่งสิ้นเปลืองในการขจัดและไม่มีทางขจัดได้สิ้นเชิง
คุณภาพสิ่งแวดล้อมของเมืองเสื่อมโทรมลงอย่างมาก เป็นต้น
ข้อเสนอ
อันที่จริงปัญหาของเมืองไม่ได้อยู่ที่ตัวเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรมและการเมือง ของประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งรวมส่วนที่เป็นชนบทอยู่ด้วย การปฏิรูปเมืองจึงหมายถึง การปรับเปลี่ยนสิ่งอื่นๆ นอกจากที่อยู่ในเมืองอีกหลายอย่างด้วย ซึ่งรวมอยู่ในข้อเสนอของ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) แล้ว
คณะอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอในลักษณะที่พิจารณาเมืองร่วมไปกับโครงสร้างทั้งหมดดังนี้
- เมืองคือ"ท้องถิ่น"อีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งจะได้รับการปรับโครงสร้างอำนาจตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
ฉะนั้นเมืองย่อมจะได้รับการถ่ายโอนอำนาจหลายอย่าง หลายประการจากส่วนกลาง
รวมทั้งมีงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งจากการแบ่งสรรของส่วนกลางและจากอำนาจการเก็บภาษีของท้องถิ่นอีกหลายอย่าง
(ดูเรื่อง "การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ")
- การพัฒนาชนบทและเมืองต้องมีความสมดุล ความเสื่อมโทรมของชนบทบังคับให้คนชนบทต้องอพยพเข้าเมือง หรือเข้ามาใช้บริการของเมือง ทำให้จำนวนประชากรของเมืองเติบโตรวดเร็วจนเกินกำลังของสาธารณูปโภคและสาธารณูปการของเมืองจะรับได้ ฉะนั้นการแก้ปัญหาของเมืองจึงขาดไม่ได้ซึ่งการพัฒนาชนบท จนทำให้คนสามารถมีชีวิตเป็นปรกติสุขในชนบทได้ เช่นมีรายได้เพียงพอแก่การดำรงชีพและพัฒนาตนเอง มีโอกาสได้รับบริการที่จำเป็นของชีวิตคนสมัยใหม่ เช่นด้านการศึกษา, การรักษาพยาบาล, การเข้าถึงข่าวสารข้อมูล และบริการที่จำเป็นของรัฐและสังคมอื่นๆ เป็นต้น กล่าวโดยสรุป ชนบทจะต้องมีสมรรถนะที่จะอำนวยให้ชีวิตประชากรดำรงอยู่ได้โดยปรกติสุข และมีโอกาสของการพัฒนาไม่ต่างจากคนในเมือง
ในการนี้ควรเร่งกระจายการพัฒนาให้ทั่วถึง อย่าปล่อยให้กระจุกอยู่เฉพาะในเขตเมือง
การพิจารณาความคุ้มทุนของโครงการพัฒนา
ต้องพิจารณาให้ครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
ในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศเสียใหม่
ให้สอดคล้องกับการกระจายเขตเมืองของประเทศออกเป็นเมืองระดับต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน
โดยหลีกเลี่ยงการเกิดเมืองขนาดใหญ่เพียงไม่กี่เมือง
ในส่วนการปฏิรูปเมืองในตัวของมันเอง คณะอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอดังนี้
- ควรจัดให้มีการกระจายอำนาจโดยเร็ว ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)
เรื่อง"การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ"
- การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการมีความจำเป็น
ซึ่งทำได้ยากในเมืองขนาดใหญ่
ฉะนั้นจึงควรแบ่งการเขตบริหารของเมืองขนาดใหญ่ออกเป็นหลายเทศบาล
และภายใต้แต่ละเทศบาล
ก็ยังมีหน่วยบริหารจัดการบางเรื่องที่เล็กลงไปกว่านั้นได้อีก
ทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเป็นองค์กรประชาสังคม
- ปฏิรูปที่ดินในเขตเมือง บางส่วนก็สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป
(คปร.) เรื่อง "ปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตร" เช่น
ระบบข้อมูลที่ดินในเมืองต้องเป็นปัจจุบัน, มีเอกภาพและเป็นสาธารณะ
โดยอาศัยมาตรการทางภาษีเข้ามาช่วยกระจายที่ดิน
สร้างกองทุนเพื่อซื้อที่ดินที่ถูกปล่อยออกมาในราคาที่ลดลงกว่าปัจจุบัน
เพื่อใช้เป็นประโยชน์สาธารณะ นำที่ดินของรัฐวิสาหกิจ, หน่วยราชการรวมถึงกองทัพ
ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ในภารกิจของหน่วยงาน
กลับมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการตามความเหมาะสม เช่น
สร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
หรือเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพื่อการเรียนรู้และนันทนาการเป็นต้น
หยุดการไล่รื้อชุมชนโดยไม่มีการแสวงหาทางออกร่วมกัน
ในส่วนที่ดินของกองทัพในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ กทม. ควรจะได้มีการทบทวนถึงความจำเป็นในการดำรงอยู่ของหน่วยทหารในเขตเมือง เพื่อนำที่ดินเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในเมือง
- ปฏิรูปการจัดการสิ่งแวดล้อมของเมือง โดยอย่ากระจุกการตัดสินใจ
และการบังคับควบคุมไว้กับราชการส่วนกลางหรือท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทโดยตรงมากขึ้น สร้างกลไกภาษี
และการบริหารเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงการเผชิญความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
พัฒนากระบวนการจัดการกับขยะและน้ำเสียที่ได้ผลและเหมาะสมกับท้องถิ่น
- สร้างความเป็นชุมชนให้เกิดขึ้นในทุกระดับ ความเป็นชุมชนนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกัน เพื่อทำกิจกรรมที่มุ่งประโยชน์ส่วนรวม เฉพาะในกลุ่มของตนหรือกว้างกว่านั้น ชุมชนเหล่านี้มีสิทธิในการได้รับการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและอื่นๆ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ดังที่กล่าวไว้แล้วในข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เรื่อง"ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ") องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรสร้างกิจกรรมและกลไกเพื่อให้เกิดการดำรงรักษาและพัฒนาความเป็นชุมชนของคนในเมือง ชุมชนดังกล่าวย่อมเป็นองค์กรประชาสังคม ซึ่งย่อมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายได้ตามกระบวนการที่กล่าวไว้แล้วในเรื่อง "ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ"
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
โดยตัวของมันเอง การบริหารเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในสังคมไทยก็เป็นเหตุแห่งความเหลื่อมล้ำ เช่น ในทำเลที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง จะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินน้อย ทำให้ไม่กล้าออกจากบ้านในยามวิกาล เสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา ยังไม่พูดถึงความสูญเสียทรัพย์สินจากโจรกรรม, อัคคีภัย, หรือภัยพิบัติที่หลีกเลี่ยงได้ต่างๆ อำนาจการรักษาความปลอดภัยไปกระจุกไว้กับหน่วยงานของรัฐ โดยคนในท้องถิ่นไม่มีส่วนในการช่วยกันดูแลรักษา หรือตรวจสอบควบคุมการดำเนินงานหน่วยงานของรัฐ
ในขณะเดียวกัน กลไกตามประเพณีที่ชุมชนเคยมีในการปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยของตนเองก็ไม่อาจทำงานได้ในบริบทของสังคมปัจจุบันแล้ว แต่เพราะมีการรวมศูนย์ด้านนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐมาเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้ภาคประชาสังคมไม่ได้พัฒนากลไกใหม่ๆ ขึ้นเพื่อช่วยตัวเองในเรื่องเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม หากมีการปฏิรูประบบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ครอบคลุมทุกส่วนของสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับเปิด"ทรัพย์"ทางสังคมให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสได้ใช้ในการพัฒนาตนเองขึ้นได้ด้วย
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรเศรษฐกิจ
ทรัพยากรสังคม
ทรัพยากรการเมือง