วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
ผลกระทบจากการใช้ถ่านหิน
การนำถ่านหินมาใช้ประโยชน์
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าและในอุตสาหกรรมต่างๆ
ถ่านหินเมื่อถูกทำให้เกิดการเผาไหม้จะปล่อยก๊าซต่างๆ ที่เป็นมลพิษทางอากาศ
ทั้งที่อยู่ในรูปของละอองธุลี (particulate matters)
และอยู่ในรูปของออกไซด์ของก๊าซต่างๆ มากมายเช่น ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SO2)
ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) เป็นต้น อันเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ
ที่ส่งผลโดยตรงต่อมนุษย์และบรรยากาศของโลก เช่น การเกิดฝนกรด
ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
ภาวะฝนกรด (acid rain)
เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ทุกชนิดรวมทั้งถ่านหิน
เมื่อมีการเผาไหม้จะมีการปล่อยก๊าซจำพวก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และ ไนตรัสออกไซด์
ออกสู่ชั้นบรรยากาศ
เมื่อก๊าซเหล่านี้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโมเลกุลของไอน้ำและออกซิเจนในอากาศจะกลาย
เป็นกรดซัลฟิวริก (h1SO4) และกรดไนทริก (h1NO3) ซึ่งจะเกาะตัวเข้ากับโมเลกุลของฝน
ฝุ่นหรือหิมะ แล้วตกลงสู่พื้นโลก
ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก (greenhouse effect)
การเผาไหม้ของพวกเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ทุกชนิดนอกจากจะมีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์แล้วยังมีก๊าซจำพวกคาร์บอนไดออกไซด์
มีเทน และโอโซน ถูกปล่อยออกมาด้วย
ซึ่งก๊าซเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน (global warming)
ผ่านทางปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศโลกประมาณ 6
พันล้านตันต่อปี (The Environment Literacy Council. 2004. On-line)
ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์แผ่รังสีลงมายังโลกในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ซึ่งเป็นคลื่นสั้นจะสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลกมาได้
ทำให้พื้นผิวทุกส่วนของโลกดูดซับเอาพลังงานจากการแผ่รังสีนี้ไว้
แต่ในขณะที่พื้นผิวของโลกมีการคายความร้อนออกมาจะอยู่ในรูปของพลังงานความร้อนซึ่งเป็นคลื่นยาว
ทำให้โมเลกุลของก๊าซต่างๆ รวมถึงโมเลกุลของไอน้ำซึ่งมีอยู่ในชั้นบรรยากาศ
จะดูดซับเอาพลังงานความร้อนที่โลกปล่อยออกมาไว้
ทำให้ความร้อนไม่สามารถออกไปสู่นอกชั้นบรรยากาศของโลกได้
จึงทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น
หมอกควัน (smog)
เป็นปัญหาทางด้านสภาพอากาศที่มักเกิดขึ้นในแหล่งชุมชน
ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารมลพิษต่างๆ
ที่มีอยู่ในอากาศกับแสงอาทิตย์ก่อให้เกิดเป็นลักษณะของหมอกควันซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2
ชนิด คือ
หมอกควันแบบซัลฟิวรัส (sulfurous smog) หรือที่เรียกว่าหมอกเทา
(gray-air smog)
เป็นหมอกควันที่พบมากในบรรดาเมืองอุตสาหกรรมที่มีสภาพอากาศหนาวและมีความชื้นสูง
เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน เป็นต้น สาเหตุมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
มีการใช้ถ่านหินหรือเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์อื่นๆ เป็นเชื้อเพลิง
แล้วมีการปล่อยของเสียทั้งพวกอนุภาคและก๊าซต่างๆ
ออกมาโดยเฉพาะพวกก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์
หมอกควันประเภทนี้จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากในช่วงฤดูหนาว
เพราะมีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นและเป็นช่วงที่มีความชื้นสูง
หมอกควันแบบโฟโตเคมิเคิล (photochemical smog)
หรือที่เรียกว่าหมอกน้ำตาล (brown-air smog)
เป็นหมอกควันที่เกิดจากการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ต่างๆ หรือโรงไฟฟ้า
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และพวกไฮโดร
คาร์บอนต่างๆ เมื่อก๊าซเหล่านี้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับแสงอาทิตย์
จะก่อให้เกิดมลพิษได้แก่ โอโซน (ozone) เป็นต้น
หมอกควันลักษณะนี้มักเกิดในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นถึงแห้ง
การจัดการสิ่งแวดล้อม
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แหล่งกำเนิดของพลังงาน
แหล่งกำเนิดของถ่านหิน
ผลกระทบจากการใช้ถ่านหิน
แหล่งกำเนิดของพลังงานปิโตรเลียม
ผลกระทบจากการใช้ปิโตรเลียม
แหล่งกำเนิดของก๊าซธรรมชาติ
แหล่งกำเนิดของพลังงานนิวเคลียร์
การนำพลังงานน้ำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
พลังงานลม
พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานขยะ
พลังงานชีวมวล
การอนุรักษ์พลังงาน
การแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน
สถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศไทย
สถานการณ์ด้านพลังงานของโลก