ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
การอยู่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์
โดย พระครูสุขุมสังฆการ (วรเมธ โพธิสาโร)
ในบาลีมหาวรรค พระวินัยปิฎก ได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งพุทธกาล พวกชาวบ้านได้โพนทนา
(คือบ่น) ติเตียนภิกษุว่า ในฤดูฝนเช่นนี้พวกเดียรถีย์ ยังหยุดไม่-จาริกไปไหน
แม้แต่พวกสัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก ก็ยังหยุดอยู่ประจำที่-ไม่ไปไหน
ส่วนพวกสมณศากยบุตรนี้ ยังเที่ยวจาริกตลอดปีไม่หยุดเลย
เที่ยวเดินเหยียบย่ำข้าวกล้า-ธัญญชาติ หรือ ของปลูก-ฝังเสียหาย
ในที่สุดแม้แต่สัตว์น้อย-ใหญ่ก็ถูกเหยียบย่ำชีวิตให้พินาศไปเพราะการย่างเหยียบ-เที่ยวจาริกของพวกสมณศากยบุตรเหล่านี้เอง
เมื่อชาวบ้านพากันบ่น-เดือดร้อนกันอย่างนี้ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิศาล
พระองค์จึงทูลแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติพระวินัย เป็นธรรมเนียม
ห้ามภิกษุเที่ยวจาริกไปในฤดูฝน
คือทรงวางหลักเกณฑ์ให้ถือปฏิบัติในการอยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส (3 เดือน) ฉะนั้น
เมื่อถึงฤดูฝน จึงได้มีการอยู่จำพรรษาของพระภิกษุ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดิถีที่กำหนดให้จำพรรษา
ดิถี (คือวัน-เวลา-เดือน-ปี) ที่กำหนดให้จำพรรษา ท่านเรียกว่า
วสฺสูปนายิกา มี 2 คือ
- ปุริมิกา วสฺสูปนายิกา (ปุริมพรรษา) คือวันเข้าพรรษาต้น ได้แก่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
- ปจฺฉิมิกา วสฺสูปนายิกา (ปัจฉิมพรรษา) วันเข้าพรรษา หลัง ได้แก่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งเลยวันเข้าพรรษาต้นไปอีก 1 เดือน
เหตุที่ทรงบัญญัติให้วันจำพรรษาเป็น 2 วัน
อันที่จริงแล้ว ฤดูฝน มี 4 เดือน คือเมื่อนับเอาทาง จันทรคติ
คือนับตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ก็เท่ากับเป็น 4
เดือน
ทีนี้ การทรงอนุญาตให้จำพรรษาต้น เริ่มตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน
8 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (เป็น เวลา 3
เดือน)......ส่วนทรงอนุญาตให้จำพรรษาหลัง เริ่ม ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9
ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ก็ได้ให้ใช้วง-เวลา 3 เดือนเช่นเดียวกัน
เมื่อพิจารณาแล้ว เราจะเห็นว่ามีเหตุผลอยู่ในตัวอย่างชัดเจนเลยทีเดียว เนื่องจากว่า
- ที่ทรงให้จำพรรษาต้น (ปุริมพรรษา) เมื่อครบไตรมาส (3 เดือน) แล้ว
ฤดูฝนจะยังเหลืออยู่ 1 เดือนท้าย ก็เพื่อให้อีก 1 เดือนท้ายฤดูฝนนั้น
เป็นเดือนแห่งจีวรกาล (กาลเป็นที่แสวงหาผ้า หรือ
เป็นอานิสงส์การจำพรรษา).ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส มีสิทธิ์รับผ้ากฐินได้,
เก็บอติเรกจีวรได้ตามประสงค์ ฯ ล
- ที่ทรงให้จำพรรษาหลัง (ปัจฉิมพรรษา)
ก็เพื่อให้โอกาสแก่ภิกษุสามารถเลือกจุดกำหนดจำพรรษา (ต้นหรือ หลัง)
ได้ตามสมัครใจเพราะภิกษุบางรูป อาจมีความจำเป็นบางประการ
ซึ่งไม่พร้อมที่จะเข้าจำพรรษาต้นได้ เช่น ไปทำภารกิจต่างถิ่น
ไม่สามารถกลับมาจำพรรษาให้ทันได้
หรือ อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุผู้จะไปต่างถิ่น (เช่นไปต่าง ประเทศในระยะใกล้เข้าพรรษา) ก็จะไปไม่ทันเข้าพรรษา จึงมีการยืดหยุ่นให้เลื่อนออกไปอธิษฐานเข้าพรรษาทีหลัง เป็นปัจฉิมพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9)ปัจจุบันนี้ก็เป็นโอกาสพระภิกษุส่วนหนึ่ง ผู้ที่จะไปศึกษาต่างประเทศ เช่นไปประเทศอินเดีย หรือ ประเทศอื่น ๆ ด้วย)......และภิกษุ ผู้อยู่จำปัจฉิมพรรษา คือพรรษาหลัง ไม่ได้อานิสงส์พรรษา, ไม่ได้มีโอกาสทำจีวรกาล ทั้งไม่มีสิทธิ์รับผ้ากฐิน
สถานที่ทรงกำหนดให้จำพรรษา
ส่วนสถานที่ ซึ่งทรงอนุญาตให้จำพรรษานั้น
พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ ๆ เหมาะแก่สมณะวิสัย
นั้นก็คือวัด-วา-อาราม ซึ่งสะดวก แก่การสัญจรเพื่อเที่ยวบิณฑบาต
สถานที่ทรงห้ามจำพรรษา
เพื่อป้องกันเหตุ หรือ ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจตามมา แก่ภิกษุ
จึงทรงมีการห้ามภิกษุจำพรรษาตามสถานที่ ต่อไปนี้ คือ
- กระท่อมผี
- ในร่มที่เป็นกลดพระธุดงค์หรือกุฎีผ้า เต้นท์
- ในตุ่ม
- ในโพรงไม้
- บนค่าคบต้นไม้
คำอธิษฐานเข้าพรรษา
เป็นทำเนียมที่ไดกระทำกันมาคือภิกษุอยู่กันจำนวนมากจะมีการประชุมกัน ณ
โรงอุโบสถ เป็นต้น....ส่วนอาราม หรือ อยู่ตามป่า ซึ่งไม่มีอุโบสถ ก็กำหนดเอาศาลา
ที่ประชุมเป็นต้นตามสมควร เปล่งวาจา และอธิษฐานว่า......
อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ.
ข้าพเจ้า อยู่จำพรรษา
ในอาวาสนี้ ตลอด 3 เดือน ฯ
ส่วนภิกษุอยู่ตามอารามเพียงรูปเดียว ก็มีการเปล่งวาจา อธิษฐาน
ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อได้กล่าววาจาคำเข้าพรรษาแล้ว ถึงแม้ว่า
จะไม่ตั้งใจก็เป็นอันว่า ได้เข้าพรรษา ณ ที่นั่น(ภิกษุจะไม่เข้าพรรษา ณ
ที่ใดที่หนึ่งไม่ได้ต้องอาบัติ เพราะการเข้าพรรษานั้นพระพุทธเจ้าทรงกำหนด
เป็นพระวินัยพุทธบัญญัติจะไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ต้องอาบัติ
ก็เป็นอันว่า เมื่อภิกษุ ได้เข้าอยู่จำพรรษา ณ ที่ใด ก็จะต้องไม่ไปแรมคืน ณ ที่อื่น
ก็ต้องอยู่ ณ ที่นั้นตลอด ไตรมาส (3 เดือน)
ธุระที่เป็นเหตุให้สัตตาหกรณียะ
แต่มิใช่ว่า จะไม่มีข้อยกเว้นในทุกกรณี ถ้ามีเหตุจำเป็นจริง ๆ
ทางพระวินัยก็มีการยกเว้น เป็นบางกรณีไปได้ เหมือนกัน แต่ต้องกลับมาภายใน 7 วัน
จึงทรงมีกำหนดให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ (ไป-กลับมาให้ทันภายใน 7 วัน) เรียกว่า
สัตตาหกรณียะ คือ
- สหธัมมิก หรือ มารดาบิดาเจ็บใข้
- สหธัมมิกกระสัน
- มีกิจสังฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารรั่ว
- ทายกทายิกานิมนต์ ไปเพื่อสงเคราะห์
(พรรษาไม่ขาด แต่ต้องอาบัติ)
อันตรายเกิดขึ้นในระหว่างจำพรรษา
- ถูกสัตว์ร้ายก็ดี โจรก็ดี ปีศาจก็ดี เบียดเบียน
- เสนาสนะถูกไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น
- ลำบากด้วยบิณฑบาต
- มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือญาติมาล่อด้วยทรัพย์
- สงฆ์ในอาวาสจะแตกกันไปเพื่อระงับอธิกรณ์
(ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด)