สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เอกสารประกอบการสอนหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป
วิวัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองการปกครองของสังคมโลก
สภาพปัจจุบันของสังคมโลก
ปัญหาและการแก้ปัญหาสังคมของโลก
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
การปรับตัวของไทยในสังคมโลก
บรรณานุกรม
สภาพปัจจุบันของสังคมโลก
สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
ปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงในทุกมิติทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองโลก มีผลทำให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และมีความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น โลกที่เคยกว้างใหญ่กลับเล็กลงดินแดนแต่ละประเทศที่อยู่ห่างไกลกันสามารถติดต่อกันได้ภายในเวลาเสี้ยววินาทีประดุจเป็นหมู่บ้าน (Global Village) ภูเขาและทะเลซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติที่เคยเป็นอุปสรรคในการติดต่อไปมาหาสู่ดูเสมือนเลือนหายไปจนกลายเป็นโลกไร้พรมแดน นับจากนี้ต่อไปโลกกำลังก้าวเข้าสู่ระยะแห่งการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์โลกในยุคโลกาภิวัตน์
1. ความหมายของโลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์มีความหมายถึง การแพร่กระจายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกของข้อมูลข่าวสา ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ส่วนใด สามารถรับรู้และรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ การสื่อสารคมนาคมที่รวดเร็ว
สังคมยุคโลกาภิวัตน์ จึงเป็นสังคมยุคข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน อันเป็นยุคที่พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม เชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้โลกกลายเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กระแสโลกทั้งในรูปของทุน ข้อมูลข่าวสาร ค่านิยมและวัฒนธรรมบางอย่างได้แผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วโลก อันนำไปสู่การวิวัฒน์ของระบบโลก
ดังนั้น สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ จึงเป็นโลกที่มนุษย์สามารถข้ามพรมแดนของประเทศสามารถเชื่อมโยงและทะลุกาลเวลาได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารในลักษณะที่ไร้พรมแดน
2. ความเป็นมาของโลกาภิวัตน์
การเกิดขึ้นของโลกาภิวัตน์และโลกที่ไร้พรมแดน เกิดขึ้นมานานนับศตวรรษ การเข้าใจพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของระบบโลกที่ผ่านมา ต้องทำความเข้าใจทฤษฎีคลื่นแห่งศตวรรษ ระบบโลกแต่ละช่วงจะมีปรากฏการณ์ของลูกคลื่นขึ้นและลง ขยายตัวและหดตัว ระยะการแปรเปลี่ยนไปของคลื่นแต่ละลูกใช้เวลาประมาณ 50 ปี อันนำไปสู่การปรับเปลี่ยนในระบบโลก ก่อให้เกิดการรื้อทิ้งระบบและระเบียบเก่า สร้างระบบและระเบียบโลกใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ขึ้นในโลก ซึ่งนับตั้งแต่เกิดระบบโลก อัลวิน ทอฟฟเลอร์ นักวิชาการชาวอเมริกันเสนอทิศทางการเปลี่ยนแปลงโดยคลื่นลูกใหญ่ 3 ครั้ง
- 2.1 คลื่นลูกที่หนึ่ง
เกิดจากการปฏิวัติเกษตรกรรม เมื่อมนุษย์รู้จักวิธีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นชุมชนหมู่บ้านไม่เร่ร่อนแบบเดิม ต่อมาได้เกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยีทางเรือและอาวุธสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปืนและปืนใหญ่ การปฏิวัติที่เป็นผลเนื่องจากสงครามทางการค้าและการขยายตัวของเศรษฐกิจ สินค้าและบริการ ที่เริ่มขยายตัวขึ้นในยุโรปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 เมื่อถึงศตวรรษที่ 15-16 เป็นช่วงของการขยายตัวของคลื่นลูกที่หนึ่ง ติดตามด้วยการค้นพบโลกใหม่ การล่าเมืองขึ้น การขยายตัวของระบบตลาดโลกได้เริ่มก่อตัวขึ้น และในที่สุดคลื่นลูกนี้ก็ก้าวเข้าสู่ระยะวิกฤตในศตวรรษที่ 17 คลื่นลูกที่หนึ่งได้ก่อให้เกิดเครือข่ายอำนาจครอบโลก ศูนย์กลางของระบบคือยุโรป โดยมี สเปน ฮอลันดาและโปรตุเกส เป็นศูนย์กลาง ระบบความสัมพันธ์ครอบโลกที่เกิดจากการที่ยุโรปเริ่มขยายอาณานิคมเข้าไปครอบงำทวีปอเมริกาและแอฟริกา ยึดครองประเทศเหล่านี้ด้วยกำลังและใช้กำลังบังคับกวาดต้อนผู้คน ในประเทศอาณานิคมมาใช้แรงงานอย่างทาส
- 2.2 คลื่นลูกที่สอง
เริ่มด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤตในศตวรรษที่ 17 เกิดขึ้นพร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมทอผ้า เครื่องจักรไอน้ำขยายตัวในช่วงกลางศตวรรษที่18 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตที่ใช้เครื่องจักร เครื่องผ่อนแรง แทนการผลิตด้วยแรงงานคนและสัตว์ ซึ่งในที่สุดก็เกิดวิกฤตจุดรุนแรงที่สุดก็คือสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 คลื่นลูกที่สองได้นำไปสู่การก่อเกิดขึ้นของระบบความสัมพันธ์ครอบโลกแบบอาณานิคมและทุนนิยม โลกทั้งโลกได้ถูกผนึกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มีระบบการแบ่งงานกันทำในขอบเขตทั่วโลก โดยมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นศูนย์ของระบบอาณานิคมโลก
- 2.3 คลื่นลูกที่สาม
เป็นสังคมแห่งเทคโนโลยีระดับสูง เป็นคลื่นลูกใหม่แทนคลื่นลูกเก่า ซึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบัน เริ่มด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเหล็กกล้า รถยนต์รวมทั้งเครื่องบิน ซึ่งขยายตัวเต็มที่ในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 และนับจากนั้นเศรษฐกิจโลกได้เริ่มเข้าสู่ วิกฤตน้ำมัน วิกฤตค่าเงินดอลลาร์ และวิกฤตระบบสังคมนิยม ตามมาด้วยการปฏิวัติระบบอิเล็กทรอนิคส์ คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ คลื่นลูกที่สามได้วางอยู่บนระเบียบเครือข่ายครอบโลกแบบพึ่งพา หลังจากการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นได้รับอิสรภาพทางการเมือง แต่ยังคงตกอยู่ในฐานะที่ต้องพึ่งพาและขึ้นต่อประเทศศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ในยุคนี้ระบบโลกได้แบ่งตัวเองออกเป็น 2 ค่าย คือ ค่ายทุนนิยม และค่ายสังคมนิยม และรอยต่อแห่งการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 นั่นคือคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ ซึ่งได้ก่อให้เกิดระบบความสัมพันธ์ใหม่ที่เรียกว่า ยุคเครือข่ายครอบโลกแบบไร้พรมแดน
3. ลักษณะสำคัญของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ มีลักษณะสำคัญหลายประการ สรุปได้ดังนี้
- 3.1 การใช้คอมพิวเตอร์เป็นกลไกสำคัญ
ในสังคมโลกาภิวัตน์ คอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญมากเพราะเป็นเครื่องมือที่จะรับและแปลงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและไม่ค่อยมีข้อจำกัด คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดเก็บ บันทึกข้อมูล จัดระบบข้อมูลและนำมาใช้สื่อสารถึงกันในเวลาอันรวดเร็วทุกมุมโลก ในระยะไม่กี่ปีมานี้ได้มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ไปอย่างมาก จากเครื่องที่มีขนาดใหญ่ราคาแพง เป็นระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีขนาดเล็กแต่มีคุณภาพ และศักยภาพสูงมากและราคาถูกลง เครื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการแพร่ข้อมูลข่าวสารในยุคโลกาภิวัตน์
- 3.2 การไหลบ่าของข้อมูลข่าวสาร
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้าทำให้โลกตะวันตกมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดเป็นแรงกระตุ้นให้มีการวิจัยและพัฒนา เพื่อศึกษาค้นคว้าหาข่าวสารที่เป็นประโยชน์อย่างไม่หยุดยั้ง สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัยก็มีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยน ถ่ายทอดข้อมูลใหม่ ๆ หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การไหลบ่าของข่าวสาร
- 3.3 การเพิ่มขึ้นของแรงงานด้านข่าวสาร
จำนวนแรงงานที่ทำงานเกี่ยวกับข่าวสารข้อมูล มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แรงงานเหล่านี้ได้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการศึกษา การคมนาคม การพิมพ์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ สื่อสารมวลชนทุกประเภท การเงิน การบัญชี รวมทั้งอุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์ หรือชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และงานที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาจัดการกับข่าวสาร ทุกชนิดกล่าวกันว่า ปัจจุบันในอเมริกามีแรงงานที่ทำงานด้านข่าวสารมากกว่า ร้อยละ 50 ในขณะที่แรงงานเกษตรและอุตสาหกรรมลดลงมากกว่าร้อยละ 25
- 3.4 บทบาทและความสำคัญของสถาบันวิจัยและพัฒนา
เนื่องจากสังคมเจริญรวดเร็วมากและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแสวงหาความรู้ และค้นหาคำตอบรวมทั้งการคาดหมายล่วงหน้าจึงมีความสำคัญยิ่ง การวิจัยและพัฒนากลายเป็นกลไกสำคัญในการแสวงหาข้อมูล ข่าวสาร หรือความรู้ใหม่เพื่อประโยชน์ต่อการวางแผน และตัดสินใจของนักธุรกิจและนักบริหารทั้งหลาย ประเทศที่เจริญทั้งหลายจึงมักให้ความสำคัญแก่การวิจัยและพัฒนา และมีการสนับสนุนหรือให้ทุนแก่สถาบันวิจัยและพัฒนา
- 3.5 ระบบเศรษฐกิจประสานเป็นหนึ่งเดียว
เศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ เป็นเศรษฐกิจที่จะมีการประสานเศรษฐกิจเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พรมแดนแต่ละประเทศไม่อาจขวางกั้นพลังทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ระบบเศรษฐกิจยังได้เปลี่ยนรากฐานจากระบบอุตสาหกรรม มาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบฐานข่าวสาร (Information based economy) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการผลิต จัดการและเผยแพร่ข่าวสาร ข่าวสารกลายเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ตัวอย่าง ธุรกิจชนิดนี้ เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรคมนาคม วิทยุ โทรทัศน์ การพิมพ์ โทรศัพท์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น ข่าวสารกลายเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้ต้องการใช้ข่าวสารต้องเสียค่าใช้จ่าย ข่าวสารกลายเป็นแหล่งลงทุน และเป็นบ่อเกิดของการว่าจ้างแรงงาน
- 3.6 ชุมชนมนุษย์มีความใกล้ชิดกัน
เทคโนโลยีข่าวสารทำให้มนุษย์ซึ่งอยู่ห่างไกลกันเป็นพัน ๆ ไมล์ หรืออยู่กันคนละมุมโลก สามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยกันได้ มนุษย์ในยุคนี้สามารถรับรู้ข่าวสาร เหตุการณ์ทุกชนิดที่เกิดขึ้นในดินแดนห่างไกลออกไป ทำให้มีโลกทัศน์กว้างขึ้นและมีผลต่อแนวคิดเกี่ยวกับชุมชน หมู่บ้าน ประเทศที่เปลี่ยนไปเป็นโลก มนุษย์ทุกคนย่อมตระหนักดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของโลกอาจมีผลกระทบต่อโลกทั้งโลกหรือมนุษย์ทั้งโลกได้ มนุษย์ในยุคนี้จะเกิดความรู้สึกในฐานะประชากรของโลกขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกเกี่ยวกับรัฐ หรือชาติของตนเหมือนแต่เดิม อย่างไรก็ตามแม้กระแสของข่าวสารจะมีมากเพียงใด โอกาสในการรับรู้ข่าวสารก็อาจไม่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วย
- 3.7 พฤติกรรมของนักการเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง
ในยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีสื่อสารเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับระบบการเมืองมากขึ้น ประชาชนมีโอกาสติดตามความเคลื่อนไหวของนักการเมือง และผู้แทนที่เลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนตนในสภาโดยผ่านสื่อมวลชน นักการเมืองหรือฝ่ายบริหารก็ใช้เทคโนโลยีสื่อสาร เผยแพร่งานหรือกิจกรรมต่าง ๆ แก่ประชาชน สื่อมวลชนก็อาจจะมีบทบาทในการท้วงติง วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของรัฐบาลในสิ่งที่เห็นว่าไม่เหมาะสม จึงกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีสื่อสาร มีส่วนทำให้โฉมหน้าของการเมืองเปลี่ยนแปลงไปด้วย
4. ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อสังคมโลก
ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสังคมโลกในปัจจุบัน เกิดขึ้นในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ดังนี้
4.1 ผลกระทบด้านสังคม
- 4.1.1 การครอบโลกทางวัฒนธรรม
เนื่องจากระบบสื่อสารไร้พรมแดนทำให้เกิดการครอบโลกทางวัฒนธรรม อิทธิพลของวัฒนธรรมและอำนาจของเศรษฐกิจจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ไหลบ่าเข้าสู่ประเทศอื่นอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดกระแสวัฒนธรรมโลก (Neo-Westernization) ครอบงำทางด้านความคิด การมองโลก การแต่งกาย การบริโภคนิยมแพร่หลายเข้าครอบคลุมเหนือวัฒนธรรมชาติของประชาคมทั่วโลก ผลที่ตามมาคือ เกิดระบบผูกขาดไร้พรมแดน
- 4.1.2 หมู่บ้านโลก (Global Village)
จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม ทำให้สังคมโลกไร้พรมแดน โลกทั้งโลกเป็นเสมือนหมู่บ้านเดียวกัน สมาชิกของหมู่บ้านคนใดทำอะไร ก็สามารถรับรู้ได้ทั่วกันทั่วโลก เมื่อมาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน สิ่งใดที่มากระทบประเทศหนึ่ง ก็ย่อมกระทบไปถึงประเทศอื่น ๆ ไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับรู้ได้อย่างฉับพลัน
- 4.1.3 การแสวงหากำไรแบบใหม่
การสื่อสารที่รวดเร็วทำให้เกิดสภาวการณ์ไรพรมแดนของเงินตรา ซึ่งสามารถไหลไปกระจุกตัวทุกหนทุกแห่งในโลกได้ ทุกครั้งที่เกิดการไหลเข้าของทุนมหาศาลจากทั่วโลกไปกระจุกตัวอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะก่อให้เกิดการพองตัวของทุนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหากำไรแบบใหม่ขึ้น
- 4.1.4 สังคมความรู้ยุคข่าวสารข้อมูล
ยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคแห่งข่าวสาร ข้อมูลเทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญของการครอบครองข่าวสารข้อมูล จึงได้มีการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมาก เทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ได้แก่
1) การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาใหม่ทุก 18 เดือน ส่งผลให้คอมพิวเตอร์มีความเร็วสูงราคาถูกลง คอมพิวเตอร์จึงเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน เพื่อใช้งานทั้งที่ทำงานและที่บ้าน
2) การพัฒนาเทคโนโลยีคมนาคม เพื่อให้สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างง่าย รวดเร็วไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก ได้มีการพัฒนาการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ใช้สื่อสารผ่านคลื่นไมโครเวฟ ผ่านดาวเทียมสื่อสาร เกิดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ติดต่อสื่อสารผ่านอีเมล์ด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถส่งข้อความด้วยแฟกซ์ เทคโนโลยีสื่อสารที่ทันสมัย สามารถบริการได้กว้างขวางแต่มีราคาถูกลง โลกถูกเชื่อมด้วยเทคโนโลยีคมนาคม โลกที่กว้างใหญ่ได้แคบลงเป็นหมู่บ้านโลก
3) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถถ่ายทอดข่าวสาร ความรู้ ข้อมูล โดยผ่านอีเมล์ อินเตอร์เนต และเวิร์ล วาย เวป ข่าวสารความรู้ข้อมูล จึงเข้าถึงประชาชนได้ง่ายดายและเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาภูมิปัญญาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การกระจายความรู้ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้และเรียนรู้มากขึ้น สังคมโลกกลายเป็นสังคมความรู้
4.2 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลกมีผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- 4.2.1 การปฏิรูประบบเศรษฐกิจแบบเสรี
มาจากการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ และกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ระบบทุนนิยมโลกแผ่ขยายออกไปครอบคลุมเกือบทุกส่วนของโลก เกิดการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของทุนระหว่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคต่าง ๆ เชื่อมโยงและพึ่งพาซึ่งกันและกันมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ พากันปฏิรูปเศรษฐกิจให้เสรีเพื่อเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศสังคมนิยมที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนและควบคุมที่ส่วนกลาง ได้ปฏิรูปโดยเปิดประเทศให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุน นำกลไกตลาดมาประยุกต์ใช้ เช่น จีนมีนโยบายสี่ทันสมัย เวียดนามใช้นโยบายปฏิรูป (Doi Moi) ส่วนประเทศที่ใช้ระบบทุนนิยม ก็มีการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งในด้านการค้าและการเงินโดยลดข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อให้เสรียิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการระดมทุนการเคลื่อนย้ายทุน อันส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตและการประกอบการลดลงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 4.2.2 การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ
เนื่องมาจากการแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายประเทศไม่มั่นใจว่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันในระบบการค้าเสรีบางประเทศเริ่มใช้มาตรการปกป้องทางการค้า หลายประเทศพยายามหาแนวร่วมทางเศรษฐกิจขยายขอบเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคขึ้น เช่น ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ด้กระชับความร่วมมือจัดตั้งเป็น ตลาดเดียว ใน ค.ศ. 1999 ส่วนสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ได้ร่วมมือทางเศรษฐกิจจัดตั้งเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ในขณะที่กลุ่มประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ร่วมมือกันจัดตั้ง เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)อีกทั้งยังมีการร่วมมือในย่านเอเชียแปซิฟิก (APEC) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเหล่านี้ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้าหรือสงครามการค้าได้ ถ้าหากผลประโยชน์ขัดกันจนไม่สามารถประนีประนอมได้ นอกเหนือจากการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาคแล้ว บางประเทศยังพยายามร่วมมือในระดับเล็ก ระหว่างบนพื้นที่ของประเทศในลักษณะอนุภูมิภาค เช่น ความร่วมมือสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (Indonesia Malasia Thailand Growth Triangle : IMTGT) และความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (Quadangle Cooperative) ระหว่างไทย ลาว พม่า และจีนตอนใต้ โดยแต่ละประเทศจะอาศัยความได้เปรียบของกันและกัน เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกกำลังนำไปสู่การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งมี 3 ขั้ว คือ ยุโรป เอเชีย และอเมริกา ระบบเศรษฐกิจโลก 3 เส้าดังกล่าวกำลังก่อตัว ซึ่งจะมีทั้งการแข่งขันและความร่วมมือ ดังจะเห็นได้จากการร่วมมือระหว่างเอเชียและยุโรป (Asia Europe Meeting :ASEM)
- 4.2.3 เกิดระบบเสรีด้านการเงินและการค้า
เป็นระบบเศรษฐกิจที่สินค้าและเงินตราต่างไหลเวียนไปทั่วโลกได้อย่างเสรี โดยความเป็นสากลของทุนและเงินตรา ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทำให้ทุนกลายเป็นปัจจัยการผลิตที่สามารถเคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมาได้อย่างเสรี การเคลื่อนย้ายของทุนในระดับโลกจากจุดที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไปยังจุดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ก่อให้เกิดการเก็งกำไรขึ้นทั่วไปในระบบตลาดที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ผู้ที่ควบคุมทุนได้จะอยู่ในฐานะได้เปรียบโดยสิ้นเชิง เมื่อระบบเศรษฐกิจถูกรวมเข้าด้วยกัน ทุนสามารถไหลเวียนไปยังที่ต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้กระจายต้นทุนออกไปสู่ภายนอกได้มากที่สุด ผลที่ตามมาคือการโอนย้ายภาระต้นทุนจากนักลงทุนระหว่างประเทศไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ในภาวะเช่นนี้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นกับประเทศที่นำทุนเข้าจากต่างประเทศได้ในระยะเวลาไม่นานนัก ไม่ว่าสมรรถภาพการบริหารเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ จะเป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของกองทุนขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วทั้งไหลเข้าและไหลออก
- 4.2.4 ระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ
เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตสินค้า โดยการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมการผลิตโดยมีลักษณะการใช้งานเฉพาะซึ่งใช้ระยะเวลาการผลิตสั้นกว่าสิ้นเปลืองน้อยกว่าเข้ามาแทนที่ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์อาจได้รับการผลิตอยู่ในหลายประเทศ แล้วนำมาประกอบเป็นรถยนต์ในประเทศที่ไม่ได้ผลิตชิ้นส่วน แล้วส่งขายไปทั่วโลก ซึ่งลักษณะการประกอบการอย่างนี้เป็นลักษณะของการเกิดบริษัทข้ามชาติ เป็นแบบฉบับธุรกิจโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีผลทำให้ธุรกิจ การเงิน หลักทรัพย์ ธนาคาร ประกันภัย ต้องปรับตัวเพื่อรองรับธุรกิจแบบโลกาภิวัตน์ด้วย การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนระบบการผลิตมาเป็นการผลิตอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ระบบการเงินก็จะต้องปรับมาบริการแบบเดียวกันด้วย กระแสเงินตราต่าง ๆ และธุรกรรมทางการเงินผ่านเข้าออกธนาคารตลอดเวลาในช่วงเสี้ยววินาที โดยใช้อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอัตราเร็วนี้คือความสามารถที่จะก้าวล้ำหน้า ทำให้มีผลต่อการกระจายอำนาจและผลกำไรอย่างมากมาย กระแสการแข่งขันด้านการค้าและการแสวงหาตลาดได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสภาพข้ามชาติอย่างแท้จริง
4.3 ผลกระทบด้านการเมือง กระแสโลกาภิวัตน์จึงส่งผลกระทบต่อสังคมโลก อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังนี้
- 4.3.1 ความเป็นท้องถิ่นนิยม (Localism)
กระแสโลกาภิวัตน์ สร้างความรู้สึกชาตินิยมระดับท้องถิ่น เติบโตแทนที่อุดมการณ์ชาตินิยม รัฐชาติแตกสลายย่อยตามชาติพันธุ์และลักษณะเฉพาะเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่เล็กกว่าชาติ กลายเป็นกลุ่มลัทธิชาตินิยมใหม่ (Neo-Nationalism) ได้ก่อตัวเป็นรัฐชาติที่มีรากฐานแห่งความเป็นชาติหรือเผ่าพันธุ์ที่แน่นแฟ้นกลมกลืนกันยิ่งขึ้น ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับความสำคัญของท้องถิ่น เนื่องจากสังคมยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกยุคข่าวสารซึ่งประชาชนในท้องถิ่นรับรู้ข้อมูลอย่างรวดเร็วได้จากสื่อมวลชน เป็นการปลุกจิตสำนึกของประชาชนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ให้รู้จักรักษาและหวงแหนทรัพยากรภายในท้องถิ่นของตน การรับรู้ข้อมูลทำให้ทราบผลดีผลเสียที่รัฐบาลกลางดำเนินการ ยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นยุคแห่งการตรวจสอบ รัฐบาลกลางที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติจะตักตวงผลประโยชน์จากท้องถิ่น จึงมักถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ถ้าหากเป็นเชื้อชาติเดียวกันรัฐบาลที่ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นก็ย่อมถูกต่อต้านอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน
- 4.3.2 บทบาทของสถาบันและกลุ่มทางการเมือง
สถาบันทางการเมืองที่มีอยู่เดิม ได้แก่ พรรคการเมือง รัฐบาล นิติบัญญัติ ตุลาการ
แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ได้เกิดสถาบันทางการเมืองใหม่เพิ่มขึ้น เป็นกลุ่มผลประโยชน์ต่าง
ๆ กลุ่มเฉพาะกรณีเกิดขึ้นมาก ดังเช่น กลุ่มสิทธิสตรี กลุ่มองค์กรเอกชน
กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้เป็นเพราะชัยชนะของปัจเจกชน
ทำให้แต่ละกลุ่มมีความเป็นอิสระในการเรียกร้องตามความต้องการของตน
มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มอยู่ตลอดเวลา
มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปทางการเมืองและสังคมเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเมืองและมีผู้นำทางการเมืองที่มองการณ์ไกล
สังคมโลกปัจจุบันนอกจากรัฐชาติเป็นตัวแสดงที่สำคัญแล้ว ยังมีตัวแสดงอื่น ๆ
ที่มีบทบาทโดดเด่น เช่น องค์การระหว่างประเทศ บรรษัทข้ามชาติ องค์กรเอกชน
ตัวแสดงเหล่านี้นับว่าจะมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การระหว่างประเทศ
ซึ่งเป็นองค์การรวมประเทศสมาชิกจากทั่วโลก
ที่จะมาร่วมปรึกษาหารือรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน
สังคมโลกยุคสงครามเย็น (Cold War)
สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์
องค์การระหว่างประเทศ
บทสรุป