สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

การเมืองการปกครอง

ความหมายการเมืองการปกครอง
รัฐ (State)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม
รัฐธรรมนูญ (Constitution)
กฎหมาย (Law)
อำนาจอธิปไตย
รัฐสภา พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
ประชาชนกับบทบาททางการเมือง
ลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเมืองการปกครองไทย
ระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครอง
ธรรมาภิบาล
บรรณานุกรม

 

รัฐ (State)

การกำเนิดรัฐ (Origin of State)

5. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory)

ตามทฤษฎีนี้เชื่อว่า รัฐเกิดขึ้นโดยการวิวัฒนาการ ทำให้นักปราชญ์ทางการเมืองถือว่าเป็นรัฐที่เกิดขึ้นด้วยเหตุด้วยผล นั้นคือเป็นการเกิดขึ้นเหตุผลทางสังคมศาสตร์ (Social Sciences) และเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Sciences) ในทางสังคมศาสตร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับการใช้กฎเกณฑ์ที่จะต้องอยู่รวมกันในรัฐ เป็นต้น ส่วนทางวิทยาศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของมนุษย์ การพัฒนาทางชีววิทยา การใช้วัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของมนุษย์ในรัฐ เป็นต้น ดังนั้นทฤษฎีนี้น่าจะเป็นทฤษฎีที่ใกล้กับความเป็นจริงมากกว่าทฤษฎีอื่น ๆ และอีกประการหนึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการได้มีเหตุผลอย่างไร จึงใคร่ขอให้ศึกษาการกำเนิดของรัฐจากสังคมเล็ก ๆ ไปสู่ระดับใหญ่สุดเป็นลำดับ ดังนี้

1. รัฐวงศาคณาญาติ (Kinship State)

มนุษย์ในสมัยโบราณมักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ความผูกพันกันในทางสายโลหิตหรือพูดอีกนัยหนึ่งสายโลหิตเป็นหลักของความผูกพัน บุคคลเป็นสมาชิกของวงศาคณาญาติได้ก็ต้องสืบสายโลหิตกัน ลักษณะของวงศาคณาญาตินี้จึงไม่ใหญ่โตกว้างขวาง (จรูญ สุภาพ 2522 : 21) ปรากฏการณ์ธรรมชาติเริ่มแรกของการรวมตัวของมนุษย์เป็นสังคมเล็ก ๆ ทำมาหากินอยู่ด้วยกันเฉพาะกลุ่มและพวกเดียวกัน และมีการสืบสายโลหิตกันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นตามลำดับ การต่อสู้กันเป็นไปในระหว่างตระกูลเท่านั้น ไม่ขยายไปถึงวงศ์ตระกูลอื่น สังคมวงศาคณาญาติจึงมักจะเป็นสังคมที่สงบ ยุติธรรม ปราศจากความป่าเถื่อน ความโหดร้าย ความว้าเหว่ และไม่มีความสกปรก

2. รัฐเผ่าชน (Tribal State)

การรวมตัวของกลุ่มชนหรือสังคมที่มีการขยายออกไปกว้างขวางกว่าวงศาคณาญาติ มีสมาชิกของกลุ่มมากขึ้น กลุ่มชนเหล่านั้นจึงได้ค้นหาระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อจะใช้ควบคุมหรือยึดถือปฏิบัติเป็นพวกเดียวกันขึ้นในรูปต่าง ๆ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสายโลหิตเดียวกันหรือไม่ และหลักเกณฑ์ใช้เป็นเครื่องยึดถือผูกพันสมาชิกในกลุ่มให้เป็นพวกเดียวกัน คือมีที่ตั้งเดียวกัน มีหัวหน้าเดียวกัน มีศาสนาหรือความเชื่อในสิ่งเดียวกัน มีประเพณีวัฒนธรรมเดียวกัน สร้างรัฐเผ่าชนให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมา มีกษัตริย์หรือประมุขเป็นผู้บริหารหรือปกครองเผ่า กษัตริย์หรือประมุขก็ได้จากการที่เขาผู้นั้นมีความแข็งแกร่ง มีอิทธิพล จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์หรือประมุขเผ่า ประมุขจะคอยต่อสู้ปกป้องศัตรูมิให้มารุกรานทำลายเผ่า และอำนวยความสะดวกสบายอื่น ๆ ในเผ่าของตน
ในรัฐเผ่าชนเช่นนี้อาจถือชายหรือบิดา (Patriarchal) เป็นหลักในการปกครอง หรือถือหญิงหรือมารดา (Matriarchal) เป็นหลักในการปกครองก็ได้ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปแต่ละชุมชนแล้วแต่ประวัติความเป็นมาของชุมชนนั้น ซึ่งบางทีก็เรียกว่าเป็นการปกครองแบบบิดากับบุตร (ปิตาธิปไตย) หรือมารดากับบุตร (มาตาธิปไตย) เช่น การปกครองของไทยในสมัยกรุงสุโขทัย

3. รัฐนคร (City State)

วิวัฒนาการของรัฐนครหรือนครรัฐคือการรวมเอารัฐ เผ่าพันธุ์และเผ่าชนต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นนครรัฐขนาดใหญ่ และถือว่านครนี้เป็นรัฐหนึ่ง ๆ เช่น นครรัฐของกรีกโบราณ คือ นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ต้า นครรัฐเหล่านี้มีอาณาเขตเล็ก พอที่จะปกครองตนเองได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกครองในนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการปกครองแบบนครรัฐนี้มีปัญหาน้อย เพราะประชาชนในนครรัฐนั้นมีไม่มาก ความสัมพันธ์กันระหว่างสายเลือดเกือบไม่มี แต่ความสัมพันธ์เกิดจากความรู้สึกในฐานะที่เป็นพลเมืองเข้ามาแทนที่ ส่วนลักษณะเด่น ๆ ของนครรัฐมีดังนี้ คือ

1. นครรัฐโดยสภาพทั่วไปแล้วจะมีสภาพทางภูมิศาสตร์เอื้ออำนวยต่อการป้องกันดินแดน เช่น มีภูเขาล้อมรอบ มีแม่น้ำกั้นเขตแดนหรือมีทางออกทางทะเลที่เหมาะสมและสะดวก
2. ในนครรัฐนั้น จะประกอบไปด้วยประชาชนหลายเช้าชาติ ศาสนา วัฒนธรรม หลายภาษาแต่รวมกันปกครอง
3. การจัดการปกครองแบบนครรัฐนี้ทำให้เกิดความคิดทางปรัชญาหรืออุดมการณ์เกิดขึ้นได้โดยง่าย เพราะภาวะจำเป็นทางสังคมของนครรัฐและลักษณะการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างทั่วถึง

4. รัฐจักรพรรดิ (Empire State)

รัฐจักรพรรดิ คือ รัฐที่มีแนวความคิดในการครอบครองรัฐอื่น โดยวิธีใช้กำลังทหารเข้ารุกราน เรียกว่าระบบจักรพรรดินิยม (Imperialism) ระบบนี้เกิดจากการแสวงหาผลประโยชน์จากการล่าเมืองขึ้น ซึ่งเริ่มด้วยการสำรวจและเสาะหาทรัพยากร สุดท้ายเข้ายึดครอง จะมีการรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จไว้ที่ส่วนกลางหรือประเทศมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ผู้ถูกยึดครองจะมีโอกาสเป็นเพียงส่วนน้อยในผลประโยชน์และการปกครอง ลักษณะของการปกครองในสมัยโบราณได้แก่ อาณาจักรโรมันหรือที่เรียกกันว่า จักรวรรดิโรมัน นั่นเอง ซึ่งเริ่มมีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลโดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดครองรัฐอื่น ๆ

จักรวรรดิโรมันแตกต่างจากนครรัฐกรีกตรงที่ว่า ประชาชนพลเมืองที่มีสัญชาติเดียวกัน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นแต่ไม่มีสิทธิร่วมในการปกครอง นครรัฐกรีกมีประชาธิปไตยแต่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Democracy Without Unity) ส่วนจักรวรรดิโรมันมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย (Unity Without Democracy)

5. รัฐศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudal State)

รัฐศักดินาสวามิภักดิ์หรือรัฐเจ้าขุนมูลนายเป็นรัฐที่เกิดขึ้นหลังจากการเสื่อมสลายลงของระบบจักรวรรดิโรมัน ทำให้อำนาจของผู้ปกครองในรัฐต่าง ๆ เริ่มเพิ่มมากขึ้น ผู้ปกครองของรัฐส่วนมากเป็นกษัตริย์ก็มิอาจที่จะดูแลอาณาเขตหรืออาณาจักรได้ด้วยตนเอง จึงได้มอบให้บุคคลทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณหรือเรียกว่าเจ้าผู้ครองนคร ในขณะเดียวกันเจ้าผู้ครองนครเองก็มิอาจจะดูแลอาณาเขตได้ทั้งหมด จึงได้มอบให้พวกขุนนางดูแลแทนตนอีกต่อหนึ่ง ในแคว้นต่าง ๆ ของนคร และเพื่อการแบ่งงาน แบ่งความรับผิดชอบ ขุนนางก็ได้แบ่งท้องที่ให้ไพร่ทำมาหากินและส่งผลตอบแทน (ส่วย) คืนให้ จึงกล่าวได้ว่า รัฐศักดินาสวามิภักดิ์นั้นเป็นการกระจายอำนาจการปกครองไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้ โดยการแบ่งให้เจ้าขุนมูลนายและไพร่ดูแลกันไปตามลำดับ ให้แต่ละระดับมีพันธะที่จะต้องส่งบรรณาการถวายแด่กษัตริย์ เป็นการบังคับการปกครองไปในตัว

6. รัฐชาติ (Nation State)

เมื่อระบบศักดินา (Feudalism) ได้เสื่อมสลายลงในตอนปลายศตวรรษที่ 16 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญขึ้น คือ ฝ่ายอาณาจักรกับฝ่ายศาสนจักรเกิดการขัดแย้งในเรื่องของอำนาจการปกครอง ในขณะเดียวกันในฝ่ายศาสนจักรเองก็ได้มีการแตกแยกภายในจนเป็นเหตุให้มีการปฏิรูปศาสนาขึ้น ต่อมารัฐมีความเข้มแข็งทำให้ฝ่ายศาสนจักรลดอำนาจลงไป ผู้ปกครองนครเล็ก ๆ หมดความสำคัญลง ประชาชนมีผลประโยชน์และเกิดความรับผิดชอบร่วมกันมากขึ้น กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน อยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน มีความรู้สึกรักชาติรักพวกเดียวกันอย่างจริงจัง เรียกว่า ระบบชาตินิยม (Nationalism) ความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นในหมู่ชนหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็คิดกันว่า เมื่อระบบจักรวรรดินิยมเสื่อมสลายลงระบบศักดินาเกิดขึ้น ซึ่งทั้งสองระบบต้องแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองทั้ง นั้น ทำไมคนในชาติที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน มีภาษาวัฒนธรรมเดียวกัน มีสายเลือดเดียวกัน จึงไม่คิดรวมตัวสร้างชาติบ้าง ความคิดดังกล่าว ฝังแน่นอยู่ในมันสมองของคนที่รักชาติทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน

เมื่อพิจารณาในแง่ของประวัติศาสตร์ รัฐชาติในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของคนที่รักชาติและการร่วมมือระหว่างชนชั้นทางเศรษฐกิจ อันได้แก่พ่อค้ากับพระมหากษัตริย์ ซึ่งในสมัยกลางนั้นพระมหากษัตริย์เป็นบุคคลหนึ่งในบรรดาบุคคลเท่าเทียมกัน (Primusinter pares) ครั้นสืบต่อมาภายหลังพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเด็จขาด ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้สนับสนุนจากชนชั้นกลาง และพระมหากษัตริย์ทรงมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจแทนพวกขุนนาง นอกจากนั้นการเกิดของรัฐชาติได้สร้างความเป็นปึกแผ่น กล่าวคือ ความจงรักภักดีของบุคคลหลายกลุ่มหลายพวกในบรรดาหมู่พวกขุนนางได้มุ่งเข้าสู่จุดรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า โลกปัจจุบันได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากสมัยกลางจนทำให้มีการเปลี่ยนไปสู่สภาวะของชาตินิยมมากขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ส่วนลักษณะเด่นของระบบชาตินิยม คือ

1. มีความรู้สึกผูกพันต่อกัน
2. มีความรู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นสมาชิกของชุมชนเดียวกัน
3. มีสัญลักษณ์อย่างเดียวกัน เช่น มีกษัตริย์องค์เดียวกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันเดียวกัน
4. มีวิถีชีวิตและยึดวัฒนธรรมอันเดียวกัน เช่น นับถือศาสนาและใช้ภาษาเดียวกัน
5. มีรัฐบาล
6. มีอำนาจอธิปไตย
7. มีพรมแดนหรืออาณาเขตที่แน่ชัด

7. รัฐโลก (World State)

แนวความคิดเรื่องการรวมชาติต่าง ๆ เข้าเป็นโลกเดียวกันนี้มิใช่เรื่องเกิดขึ้นใหม่ ๆ เมื่อ 40 ปีหรือ 50 ปีนี้ แต่เป็นความคิดตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์มหาราช พยายามสร้างจักรวรรดินิยม สมัยพระเจ้า นโปเลียนมหาราช หรือเยอรมันและญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) หรือจะกล่าวให้ชัดเจนอีกก็อาจพูดได้ว่า Karl Marx เองก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้วางรากฐานเรื่องสร้างโลกให้เป็นโลกเดียวกัน จนกระทั่งประเทศจีนและประเทศโซเวียตได้นำเอาแนวความคิดของ Marx มาขยายอิทธิพลในเวลาต่อมา จึงสรุปได้ว่า ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้พยายามสร้างโลกให้เป็นโลกเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกได้รับสันติภาพอย่างทั่วถึง จึงได้พยายามที่จะสร้างองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ขึ้น เช่น องค์การสันนิบาตชาติ องค์การสหประชาชาติ องค์การเหล่านี้เสมือนรัฐโลก แม้จะไม่เป็นรัฐโลกเลยทีเดียว แต่ก็เป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่รัฐโลก และรัฐโลกในอุดมคตินั้นก็คือสภาพการปกครองซึ่งจะอยู่ในระดับที่เหนือองค์การสหประชาชาติขณะนี้

จรูญ สุภาพ ได้กล่าวถึงลักษณะที่สำคัญของรัฐโลกไว้ดังนี้ คือ

1. โลกคือประเทศเดียว (One County = World) หมายความว่า ประเทศเอกราชที่อยู่ในปัจจุบันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลโลก
2. จะมีรัฐบาลเพียงแห่งเดียว เรียกว่า รัฐบาลโลก (World Government)
3. รัฐนี้มีอำนาจอธิปไตยอย่างเต็มที่
4. มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของรัฐสมาชิก
5. รัฐสมาชิกมีอำนาจในการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในของตน
6. การปกครองเป็นเสมือนการปกครอง Federal ในระดับโลก

จากแนวความคิดแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการว่า มีขั้นตอนของการเกิดขึ้นของรัฐถึง 7 ขั้นตอนนั้นใน 6 ขั้นตอนแรกนั้น เป็นขั้นตอนที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ในขั้นตอนที่ 7 สุดท้าย พูดถึงเรื่องรัฐโลก (World State) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างไม่เอื้ออำนวย เช่น ความแตกต่างของลัทธิการเมืองแต่ละรัฐ ผลประโยชน์ทางด้านการเมือง คือ ความอยากเป็นผู้นำหรือผู้มีอำนาจมีมาก ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความแตกต่างของสังคมวัฒนธรรม เป็นต้น แม้แต่เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้จะรวมกันก็ยังยาก ฉะนั้นแนวความคิดเรื่องนี้จึงเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น คือ แม้จะจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้นมาก็ไม่ถึงกับให้รัฐทั้งโลกนี้รวมกันปกครองได้

  1. ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (The Theory of the Divine Origin of State)
  2. ทฤษฎีสัญญาประชาคม (The Social Contract Theory)
  3. ทฤษฎีธรรมชาติ (The National Theory)
  4. ทฤษฎีพลกำลัง (The Force Theory)
  5. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory)

องค์ประกอบของรัฐ
การกำเนิดรัฐ (Origin of State)
การรับรองรัฐ (Recognition)
รูปของรัฐ (Forms of The State)
รูปของรัฐบาล (Forms of Government)
หน้าที่ของรัฐ (Functions of The State)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย