สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ความหมายการเมืองการปกครอง
รัฐ (State)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม
รัฐธรรมนูญ (Constitution)
กฎหมาย (Law)
อำนาจอธิปไตย
รัฐสภา พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
ประชาชนกับบทบาททางการเมือง
ลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การเมืองการปกครองไทย
ระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครอง
ธรรมาภิบาล
บรรณานุกรม
รัฐ (State)
รูปของรัฐบาล (Forms of Government)
2. รัฐบาลแบบประธานาธิบดี (Presidential Government)
รัฐบาลแบบประธานาธิบดีจะมีการแยกผู้ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็นสัดส่วน
โดยไม่มีการแบ่งแยกความรับผิดชอบแต่ละส่วนมีอำนาจที่จะปฏิบัติการโดยเสรี
(Discretion) ภายในขอบเขตแห่งการใช้อำนาจอธิปไตยของตน
การปกครองโดยรัฐบาลแบบประธานาธิบดีนี้
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่มเป็นชาติแรกและมีอายุนานมาจนถึงปัจจุบันนี้
ซึ่งรัฐบาลแบบประธานาธิบดีของอเมริกานั้นจะมีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะไม่เหมือนประธานาธิบดีประเทศใดในโลกก็ว่าได้
เพราะตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกาเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นทั้งประมุขของฝ่ายบริหารซึ่งประเทศอื่น
ๆ อาจจะมีประธานาธิบดีแต่ฐานะอาจแตกต่างออกไป เช่น
ประธานาธิบดีของอินเดียหรือประธานาธิบดีของฝรั่งเศสทั้งสองประเทศนี้ประธานาธิบดีแตกต่างจากอเมริกา
คือ ประธานาธิบดีเหมือนกันรัฐบาลไม่ได้เป็นแบบรัฐบาลประธานาธิบดี
ลักษณะที่สำคัญบางประการของรัฐบาลแบบประธานาธิบดี พอสรุปได้ดังนี้
1. องค์ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสามคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการมาจากเลือกตั้งและการแต่งตั้งโดยแยกสัดส่วนจากกันมาตั้งแต่ต้น คือ
ฝ่ายนิติบัญญัติ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกของรัฐสภาไปทำหน้าที่ออกกฎหมายอย่างเดียว สมาชิกรัฐสภาที่ประชาชนเลือกเข้าไปนั้นจะไม่มีสิทธิได้เป็นฝ่ายบริหารเหมือนกับสมาชิกสภาผู้แทนของไทย
ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุขนั้น ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งผู้ที่จะลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี จะต้องผ่านการเลือกมาจากพรรคการเมืองแต่ละพรรค เมื่อประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศแล้ว ประธานาธิบดีก็จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (Chief Executive) ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี ประธานาธิบดีมีอำนาจเด็ดขาดในการที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่ง (แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องฟังเสียงคัดค้านจากสมาชิกด้วย) หากประธานาธิบดีไม่พอใจรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคณะ ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะปลดออกจากตำแหน่งได้ เพราะถือว่าคณะรัฐมนตรีที่ประธานา ธิบดีแต่งตั้งมานั้นมีฐานะเป็นเพียงผู้ช่วยหรือเลขานุการของประธานาธิบดีเท่านั้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีนี้ไม่มีฐานะเป็นองค์การที่จะทำการพิจารณาตัดสินปัญหา เช่นกับคณะรัฐมนตรีแบบรัฐสภา คณะรัฐมนตรีแบบรัฐบาลแบบประธานาธิบดีจึงมีความรับผิดชอบต่อประธานาธิบดีแต่ผู้เดียว
ฝ่ายตุลาการ ศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาจะได้มาจากการแต่งตั้ง แต่ในการแต่งตั้งนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยอำนาจมากกว่าหนึ่งหน่วย เช่น ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา จะแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี แต่จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยอำนาจนิติบัญญัติ (รัฐสภา) และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วจะอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต หลักเกณฑ์เหล่านี้ทำให้ศาลเป็นสถาบันอิสระปราศจากการครอบงำโดยอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลจึงทำหน้าที่สองประการคือ ทำหน้าที่พิจารณาอรรถคดีพิพากษาทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาให้เป็นไปอย่างยุติธรรม ประการหนึ่ง และเป็นผู้พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญมีให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารละเมิดอีกประการหนึ่ง
2. ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสามส่วน คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด คือ แต่ละฝ่ายมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจจะถอดถอนหรือเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารจนทำให้ฝ่ายบริหารลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ฉะนั้นประธานาธิบดีจะอยู่ในวาระจนครบเทอม หรือฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจที่จะยุบสภา สภาจะอยู่ในวาระจนครบเทอมเช่นเดียวกัน ส่วนฝ่ายตุลาการก็มีอิสระในการพิพากษาอรรถคดีได้อย่างอิสระเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามระหว่างองค์กรประธานาธิบดีและองค์กรนิติบัญญัติ ในทางปฏิบัติแล้วยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เช่น ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะยับยั้งกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกมาได้และในทำนองเดียวกันรัฐสภามีอำนาจดำเนินคดีกับประธานาธิบดีด้วยวิธีที่เรียกว่า Impeachment คือ การฟ้องร้องกล่าวหาประธานาธิบดี ซึ่งได้กระทำผิดฐานทรยศต่อประเทศชาติหรือประกอบอาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ โดยสภาผู้แทนราษฎรยื่นเรื่องราวต่อวุฒิสภาและวุฒิสภาจะเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดคดีด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3
3. ในทางปฏิบัติงานของประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกิจการของรัฐสภา แต่ในกรณีพิเศษประธานาธิบดีสามารถเข้าไปกล่าวคำปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้ทราบนโยบายที่สำคัญ ๆ ของตนเป็นครั้งคราว ในคราวที่มีการประชุมรัฐสภา
ข้อสังเกตที่สำคัญบางประการเกี่ยวกับรัฐบาลแบบประธานาธิบดี คือ
1. รูปรัฐบาลแบบประธานาธิบดี เป็นระบบคานอำนาจ (Balance of Power) กล่าวคือ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ จะแบ่งแยกอำนาจกันเกือบเด็ดขาดหรือเด็ดขาดและมีการตรวจสอบซึ่งกัน (Checks of Balance)
2. ประธานาธิบดี จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารและเป็นประมุขของประเทศ (Titular Head of State) พร้อม ๆ กันไป
3. ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนคณะรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว สำหรับรัฐมนตรีจะต้องไม่เป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่ง (สมาชิกสภาสูงหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)
4. การอยู่ในตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีจะอยู่ไปจนครบวาระของตน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเสียงข้างมากหรือน้อยในสภาหรือกลัวถูกยุบสภา
5. เมื่อพิจารณารูปรัฐบาลแบบรัฐสภาและแบบประธานาธิบดีแล้วบางครั้งอาจเกิดความสับสนได้ในกรณีที่ประเทศในระบบรัฐสภามีประมุข (Head of State) เป็นประธานาธิบดี เช่น อินเดีย สิงคโปร์ จะทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นระบบใด วิธีการสังเกตว่าเป็นรัฐบาลแบบใด คือ
5.1พิจารณาว่าประเทศนั้นมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ ถ้ามีทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งประธานาธิบดีก็แสดงว่าเป็นแบบรัฐสภา
5.2 พิจารณาว่าประธานาธิบดีมีอำนาจทางการเมืองหรือมีอำนาจทางการบริหารประเทศด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มีก็แสดงว่าไม่ใช่ระบบประธานาธิบดีหรือไม่ใช่รัฐบาลแบบประธานาธิบดี
- รัฐสภาแบบรัฐสภา
- รัฐสภาแบบประธานาธิบดี
- รัฐสภาแบบกึ่งสภาและกึ่งประธานาธิบดี
องค์ประกอบของรัฐ
การกำเนิดรัฐ (Origin of State)
การรับรองรัฐ (Recognition)
รูปของรัฐ (Forms of The State)
รูปของรัฐบาล (Forms of Government)
หน้าที่ของรัฐ (Functions of The State)