สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

การแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
และความขัดแย้งทางการเมืองไทย

       วันที่ 6 ตุลาคม 2519 คือวาระสุดท้ายแห่งการทดลองครั้งล่าสุดของประเทศไทยที่จะมีการปกครองแบบมีผู้แทนราษฎร ยกเว้นเรื่องความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นด้วยในวันนั้นแล้ว การยึดอำนาจของคณะทหารครั้งนี้เป็นที่ประหลาดใจแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากระยะเวลาสามปีแห่งความคลอนแคลนทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่รังแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกที ประชาชนส่วนใหญ่ต่างก็เลิกมองการเมืองแบบเปิดเผยที่เอาอย่างตะวันตกอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมืองของไทย พวกเขาปรารถนาที่จะให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยเร็ว ตลอดจนยุติความสับสนวุ่นวายอันเกิดจากบทเรียนที่ฝ่ายซ้ายและขวาสอนให้ โดยอาศัยระบบรัฐสภาแบบมีการเลือกตั้งเป็นช่องทาง ความรุนแรงทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยของการยึดอำนาจในปี 2519 ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศที่ตามปกติไม่มีปฏิกิริยารุนแรงทางการเมือง จุดเริ่มต้นของข้อขัดแย้งในระบบการเมือง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมารังเกียจวิธีการรุนแรง ก็คือเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516 ต้นตอแห่งความเกลียดชังที่ประชาชนมีต่อฝ่ายทหารอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้บีบบังคับให้บรรดานายพลทั้งหลายต้องยอมสละทิ้งอำนาจในทางการเมือง ซึ่งพวกเขาได้กุมไว้เกือบตลอดเวลาสี่สิบปีที่แล้วมา

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2516 นักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งมีอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จำนวน 12 คน ถูกตำรวจในกรุงเทพฯ จับกุมในข้อหาแจกใบปลิวเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ และให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ปฏิกิริยาโต้ตอบที่เกิดขึ้นสองสามวันต่อมา หลังการจับกุมครั้งนี้ ในชั้นต้นเป็นเพียงการท้าทายดุลแห่งอำนาจซึ่งโน้มเอียงไปทางด้านทหารมาเป็นเวลานาน หากต่อมาจึงได้ทำให้ดุลอำนาจนั้นต้องสั่นสะเทือน หนึ่งสัปดาห์ต่อมา นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และโรงเรียนอาชีวะจำนวนหลายพันคนตลอดจนชนชั้นกลางที่เข้ามาสมทบด้วยก็เริ่มเคลื่อนย้ายออกมาจากที่มั่นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อมาชุมนุมประท้วงอย่างเป็นระเบียบในใจกลางกรุงเทพฯ สถานการณ์ซึ่งทั้งตึงเครียด และไม่แน่นอนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นรุนแรงในตอนเช้าของวันที่ 14 ตุลาคม เมื่อตำรวจและทหารซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านการจลาจลเริ่มปฏิบัติการรุนแรงกับนักศึกษาด้วยแก๊สน้ำตาก่อนและติดตามมาด้วยระเบิดมือ ปืนไรเฟิล ปืนกล และรถถังตามลำดับ ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า การตัดสินใจในครั้งนี้มีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าหรือเกิดจากความตื่นตกใจแต่ทว่าฝ่ายที่ประท้วงก็ไม่ยอมจำนน



ต่อมาในวันเดียวกันนั่นเอง หลังจากตึกที่ทำการของรัฐบาลหลายแห่งถูกเผา และมีการบาดเจ็บสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมากตามท้องถนน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสทางโทรทัศน์ทรงแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรกของประเทศไทยนับแต่ปี 2500 เป็นต้นมา แต่ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตามเพื่อระงับเหตุการณ์นองเลือดและเพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพสงบเรียบร้อยดังเดิม ในวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงขอให้จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุสเถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ทายาทจอมพลถนอม (บุตรเขยจอมพลประภาส) ให้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์พาดหัวข่าวว่า “บุคคลทั้ง 3 คน ที่มีคนเกลียดชังมากที่สุดในประเทศไทย ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว” และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ตลอดจนหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ต่างก็ลงบทความเกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเกรียวกราวเอิกเกริก ซึ่งทำให้ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อบุคคลทั้งสามและต่อรัฐบาลที่พวกนี้เป็นตัวแทนเปลี่ยนแปลงไป

ด้วยตำแหน่งหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสัญญาเป็นที่ยอมรับในหมู่นักศึกษาในฐานะประธานองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบกับตำแหน่งประธานศาลฎีกาในอดีต กล่าวได้ว่านายสัญญา มีคุณสมบัติที่เหมาะสมแม้ว่าจะต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง นายสัญญาก็ไม่ต้องการการปฏิรูปอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าที่ตำแหน่งใหม่ที่เขาเข้ามารับผิดชอบเขาก็ไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก นายสัญญาเป็นที่เคารพนับถือของนิสิตนักศึกษา โดยที่ไม่มีลักษณะเป็นนักปฏิวัติจึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐบาลในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือน

อ่านต่อหน้า 2 >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย