เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>

ข้อมูลการเกษตร

วิทยาการเกษตร

การตีราคารังไหม

ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบการกำหนดราคารังไหม

เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมเพื่อการจำหน่ายรังไหมแก่โรงงานสาวไหมหรือบริษัฑ ผู้รับซื้อรังไหมจะต้องมีการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ ระบบการกำหนดราคารังไหม ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงกับเกษตรกร หาก เกษตรกรได้มีการปฎิบัติที่ถูกต้องดังนี้ คือ

1. การคัดเลือกรังไหม ( Cocoon assorting)

เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อราคารังไหมที่เกษตรกรจะได้รับมาก หากเกษตรกรมีการคัดเลือกรังไหมไม่ดีพอก่อนที่จะส่งไปจำหน่ายก็จะทำให้ราคา รังไหมที่เกษตรกรได้รับต่ำ ฉะนั้น ในการคัดเลือกรังไหมนั้นเกษตรกรจะต้อง ทำการคัดรังเสียออกก่อน ซึ่งรังเสียมีอยู่ 11 ชนิด คือ

  1. รังแฝด (double cocoon ) คือรังไหมที่เกิดจากหนอนไหมตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ทำรังร่วมกัน ซึ่งรังประเภทนี้เมื่อนำมาสาวจะทำให้เส้นไหมขาดบ่อยๆ เพราะการพ่นเส้นใยไหมพันกัน เนื่องจากรังไหมใน 1 รัง มีเส้นไหมมากกว่า 1 เส้น ทำให้ความสามารถในการสาวออกต่ำ เส้นไหมก็ไม่เรียบ ประสิทธิภาพการสาวเส้นไหม ลดลง การเกิดรังไหมแฝดนั้นอาจจะเกิดจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน เช่น ลักษณะของพันธุ์ไหม จำนวนหนอนไหมต่อจ่อมากเกินไป ลักษณะจ่อไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสมกับหนอนไหม
  2. รังเจาะ (pierced cocoon) รังไหมชนิดนี้เกิดจากหนอนแมลงวันลายเจาะรัง ออกมาทำให้รังเหล่านี้เสียหาย การที่รังไหมเกิดรูก็เท่ากับไปตัดเส้นไหมให้ ขาดทั้งเส้น ด้งนั้น เวลานำรังไหมชนิดนี้ไปสาวเส้นไหมยืน จะทำให้ขาดบ่อยๆ ก่อ ให้เกิดปัญหายุ่งยาก และประสิทธิภาพในการสาวออกค่อนข้างต่ำ ทำให้เส้นไหม ที่ได้ไม่มีคุณภาพ
  3. รังสกปรกภายใน (inside soiled cocoon) รังไหมชนิดนี้เกิดจาก ตัวดักแด้ตายในรังหรือหนอนไหมเป็นโรคแต่สามารถทำรังได้ เมื่อทำรังแล้วหนอนไหมหรือ ดักแด้ตายในรังทำให้รังสกปรกเมื่อนำมาสาวจะได้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ
  4. รังสกปรกภายนอก (outside soiled cocoon) รังไหมชนิดนี้ เกิดจากหนอนไหมปล่อยปัสสาวะก่อนทำรังหรือเกิดจากการแตกของตัวหนอนไหม เป็นโรคที่อยู่ในจ่อ แล้วไปทำเปื้อนกับรังดีที่อยู่ในจ่อด้วยกัน รังไหมชนิดนี้เมื่อ นำไปต้มสาวแล้วจะดึงเส้นไหมยาก หรือรังอาจจะเละก่อนที่จะสาว โดยเฉพาะ เปลือกรังบริเวณที่เปื้อนปัสสาวะเพราะปัสสาวะของหนอนไหมมีฤทธิ์เป็นด่าง
  5. รังบาง (thin shell cocoon) เป็นรังไหมที่ได้จากการจับหนอนไหม ที่เป็นโรคเข้าจ่อทำรัง เมื่อพ่นเส้นใยทำรังได้เล็กน้อยก็จะตายไป ทำให้รังไหมบาง ผิดปกติ หรือเกิดจากการจับหนอนไหมเข้าจ่อช้าเกินไป หนอนไหมจึงพ่นเส้นใย ไหมตามขอบกระด้งหรือเหลี่ยมมุมของโต๊ะเลี้ยงไหม ทำให้มีเส้นใยน้อยจึงทำรัง ได้บางผิดปกติ รังไหมชนิดนี้ไม่สามารถที่จะต้มสาวได้เพราะรังไหมจะเละก่อน
  6. รังหลวม (loose shell cocoon) เป็นรังไหมที่เกิดขึ้นเนื่องจาก สภาพแวดล้อมในขณะที่ไหมทำรังไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดรังชนิดนี้ขึ้น ลักษณะ รังหลวมถ้านำไปสาวจะเกิดการขาดของเส้นไหมบ่อย เพราะว่ารังไหมแยกเป็น ชั้นๆ ทำให้ได้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ
  7. รังบางหัวท้าย (thin-end cocoon ) รังไหมชนิดนี้มักเกิดจาก ลักษณะสายพันธุ์ไหมหรือเกิดจากอุณหภูมิสูงในช่วงกกไข่ บางครั้งก็เกิดจาก สภาพอากาศที่เย็นเกินไประหว่างไหมเข้าทำรัง ลักษณะรังประเภทนืส่วนหัวจะ แหลมผิดปกติ เวลานำไปต้มจะเละบริเวณส่วนแหลมก่อนและถ้านำมาสาวเส้นไหม จะขาดบริเวณหัวแหลม ทำให้ความสามารถในการสาวออกลดลง เส้นไหมที่ได้ จะไม่มีคุณภาพ
  8. รังผิดรูปร่าง (malformed cocoon) รังไหมชนิดนี้มักเกิดจาก ลักษณะจ่อไม่ถูกต้อง หรือเกิดจากหนอนไหมอ่อนแอ ทำรังได้ไม่สมบูรณ์ ลักษณะ รังมักจะบิดเบี้ยวและไม่มีความสม่ำเสมอ รังประเภทนี้เวลานำไปต้มกับรังดีมัก จะเละก่อนหรือบางทีก็แข็ง ทั้งนี้ขี้นอยู่กับรูปร่างของรังนั้นๆ ว่าผิดปกติลักษณะใด
  9. รังติดข้างจ่อ (cocoon with prints of cocoon frame ) รังไหม ชนิดนี้เกิดจากการที่หนอนไหมไปทำรังติดข้างๆ จ่อ หรือติดกับกระดาษรองจ่อ ลักษณะรังจะแบนผิดปกติและหนาเป็นบางส่วน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจับไหม เข้าจ่อแน่นเกินไป หนอนไหมมีพื้นที่ในการทำรังไม่เพียงพอหรืออาจจะเกิดจาก การใช้จ่อที่ไม่ถูกลักษณะ
  10. รังบุบ (crushed cocoon) รังไหมชนิดนี้พบในกรณีที่ขนส่งโดย ไม่ระมัดระวังทำให้รังไหมเกิดการกระทบกระแทกกัน รังไหมนี้ถ้านำไปสาวจะ เกิดการขาดบ่อยๆ ตรงบริเวณส่วนที่ยุบลงไป
  11. รังเป็นเชื้อรา ( musty cocoon ) รังไหมชนิดนี้ไม่ควรนำไปสาว เพราะเส้นใยจะเสื่อมคุณภาพ ทั้งนี้เกิดจากการอบแห้งไม่สมบูรณ์และไม่มีการ ควบคุมความชื้นในห้องเก็บรังไหมดีพอ ทำให้มีเชื้อราเกิดขึ้นบนเปลือกรังไหม

จากลักษณะรังเสียตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ลักษณะรังเสียลำดับที่ 1.1-1.10 จะพบมากในการซื้อขายรังไหมจากเกษตรกร ส่วนลักษณะของรังเสีย ที่เกิดจากเชื้อราในลำดับที่ 1.11 นั้นจะเกิดขึ้นกับโรงงานสาวไหมในขั้นตอนของ การอบรังไหมไม่ดีพอ หรือการเก็บรังไหมที่อบแล้วในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม คือห้องเก็บรังไหมจะต้องมีการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 70%

2. การขนส่งรังไหม

เกษตรกรเมื่อไดทำการคัดเลอกรังไหมแล้ว ก็จะต้องนำรังไหมมา บรรจุภาชนะเพื่อทำการขนส่งไปจำหน่ายยังโรงงานหรือบริษัท ในขั้นตอนนี้มี ความสำคัญต่อคุณภาพรังไหมมาก เนื่องจากดักแด้ที่อยู่ภายในรังไหมสดนั้น ยังมีชีวิตอยู่ มีการหายใจอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ในการบรรจุภาชนะเพื่อการ ขนส่งจึงควรที่จะปฎิบัติดังนี้

  1. บรรจุรังไหมสดในถุงผ้าหรือเข่งที่มีการระบายอากาศได้ดี โดย อย่าให้มีน้ำหนักเกิน 15 กิโลกรัม (ถุงผ้าขนาด 40X40X80 เซนติเมตร) เพื่อ หลีกเลี่ยงการทับกันของรังไหมในปริมาณที่มากเกิน ซึ่งจะทำให้รังไหมบุบได้
  2. การขนย้ายถุงบรรจุรังไหม ในการขนส่งไม่ควรที่จะวางถุงหรือ เข่งทับกันเป็นชั้นๆโดยตรง แต่หากมีความจำเป็นควรจะต้องมีไม้ระแนงคั่นไว้ เพราะในระหว่างการเดินทางหากรังไหมอัดทับกันแน่นจะทำให้รังไหมเสียหาย เนื่องจากแรงกระแทก นอกจากนี้ดักแด้ยังมีการหายใจอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น การระบายอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นในระหว่างการขนส่งรังไหม
  3. การบรรจุรังไหมในภาชนะ ควรทำการบรรจุรังไหมและส่งไป จำหน่ายทันที เพราะหากบรรจุรังไหมทิ้งไว้จะทำให้เกิดความชื้นภายในภาชนะ ส่งผลทำให้รังไหมเปียกจนทำให้เกิดรังเสีย ดังนั้น หากเก็บรังไหมออกจากจ่อ คัดเลือกรังไหม และลอกปุยชั้นนอกออกแล้ว แต่ยังไม่ขนส่งไปจำหน่ายในขณะนั้น ก็ให้เก็บรังไหมไว้ในภาชนะที่กว้างสามารถเกลี่ยกระจายรังไหมได้โดยให้รังไหม ซ้อนทับก้นน้อยที่สุด เมื่อจะขนส่งจึงนำมาบรรจุใส่ภาชนะที่เตรียมไว้เพื่อป้องกัน ความสูญเสียรังไหมที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการอัดทับกันแน่นของรังไหม
  4. ช่วงเวลาในการขนส่ง การขนส่งรังไหมควรจะหลีกเลี่ยงช่วง เวลาที่อากาศร้อนจัด ควรจะขนส่งในช่วงเวลากลางคืนหรือเช้าตรู่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ระยะทาง นอกจากนี้ในระหว่างการขนส่งไม่ควรให้รังไหมโดนฝนโดยตรงเพราะ จะส่งผลต่อคุณภาพของรังไหม

3. การเก็บรักษารังไหมออกจากจ่อ

ในการเก็บรังไหมออกจากจ่อนั้นจะต้องเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะถ้าหากเก็บรังไหมเร็วเกินไปก็จะทำให้ได้รังไหมที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากหนอนไหม ยังพ่นเส้นใยทำรังไม่เสร็จ นอกจากนี้เมื่อเก็บรังไหมมารวมอัดกันแน่น แต่ดักแด้ ยังอ่อนอยู่ก็จะทำให้ดักแด้แตกและเกิดรังเปื้อนรังเสียได้ และถ้าหากเก็บช้า เกินไปก็อาจจะทำให้ไม่ทันเวลากับการส่งจำหน่ายให้โรงงานสาวไหมหรือบริษัท เพราะรังไหมสดจะอยู่ได้ประมาณ 10-12 วันเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วผีเสื้อก็ จะเจาะรังออกมาทำให้รังเป็นรู กลายเป็นรังเสียไป

จะเห็นได้ว่าปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นจะมีผลกระทบต่อราคา รังไหมที่เกษตรกรจะได้รับจากการตีราคารังไหมด้วยวิธีการใช้หลักเกณฑ์ของ คุณภาพของรังไหมมามีส่วนเกี่ยวข้องในการคำนวณราคาดังปรากฎอยู่ในตาราง มาตรฐานราคารังไหม ดังนั้น ในการจำหน่ายรังไหมเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมควร ที่จะต้องให้ความสำคัญและยืดถือปฎิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อผลประโยชน์และ รายได้ที่จะได้รับจากการเลี้ยงไหมของเกษตรกรเอง

» หลักเกณฑ์ในการตีราคารังไหม
» ขั้นตอนในการตีราคารังไหม
» ที่มาของตารางราคารังไหม
» ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบการกำหนดราคารังไหม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย