เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การปลูกชา
กองเกษตรสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด
ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด (Seed Propagation)
เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทย เหมาะสำหรับขยายพันธุ์อัสสัมและชาเขมร
ต้นชาที่เพาะจากเมล็ดจะมีระบบรากแข็งแรง มีรากแก้วสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดี
เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่บนดอยของประเทศไทย
โดยทั่วไปเมล็ดชาจะเริ่มแก่ราวปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม
เมล็ดชาที่ใช้ทำพันธุ์ควรเก็บจากผลชาที่แก่จัดเต็มที่ มีสีน้ำตาล และยังติดบนต้น
ไม่ควรเก็บเมล็ดชาที่ร่วงใต้ต้นเพื่อนำมาใช้เป็นเมล็ดพันธุ์
การขยายพันธุ์จะทำโดยเก็บผลชาที่แก่เต็มที่จากต้นแล้วนำมากระเทาะเปลือกออกหรือนำมาใส่กระด้งหรือกระจาด
ผึ้งทิ้งไว้ในที่ร่ม ผลชาจะแห้งและแตกเองภายใน 2-3 วัน
จากนั้นรีบนำเมล็ดชาที่ได้ไปเพาะ เนื่องจากเมล็ดชามีปริมาณน้ำมันภายในเมล็ดสูง
ทำให้มีอัตราการสูญเสียความงอกเร็วมาก
ก่อนเพาะเมล็ดชาควรนำเมล็ดที่ได้แช่น้ำไว้ 12-24 ชั่วโมง
เมล็ดชาที่เสียจะลอยน้ำให้ตัดทิ้งไว้ ใช้แต่เมล็ดที่จมน้ำนำไปเพาะต่อไป
วิธีการเพาะเมล็ดที่นิยมปฏิบัติกันมี 2 วิธีคือ
การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ
บริเวณที่ใช้เป็นแปลงเพาะควรเป็นที่โล่งแจ้งแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
มีการระบายน้ำได้ดี เพื่อไม่ให้น้ำท่วมขัง และสะดวกในการกำจัดวัชพืชในแปลงเพาะ
ควรเตรียมแปลงเพาะให้มีขนาดกว้าง 1.0-1.5 เมตร เพื่อสะดวกในการทำงาน
ความยาวของแปลงเพาะประมาณ 10 เมตร หรือตามขนาดของโรงเรือน โดยทำเป็นกระบะสูง 70
เซนติเมตร แล้วใส่ทรายหยาบลงในกระบะ ประมาณ 50 เซนติเมตร
เกลี่ยให้เรียบแล้วโรยเมล็ดพันธุ์ลงไปเกลี่ยให้สม่ำเสมอ กดเมล็ดลงไปในทราย
หรือวางเมล็ดเรียงเป็นแถว ระยะระหว่างแถวประมาณ 5-6 เซนติเมตร
ระยะห่างระหว่างเมล็ดประมาณ 4 เซนติเมตร แล้วกลบด้วยวัสดุเพาะหนาประมาณ 10
เซนติเมตร เกลี่ยให้เรียบ วัสดุเพาะอาจใช้ถ่านแกลบ
ถ่านแกลบผสมทรายหรือถ่านแกลบผสมขุยมะพร้าว อัตราส่วน 1 : 1
ในช่วงเมล็ดยังไม่งอกควรคลุมแปลงเพาะด้วยตาข่ายพรางแสงประมาณ 70-80%
เพราะช่วงนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงมาก
การให้น้ำควรให้เช้า-เย็นอย่างสม่ำเสมอทั่วแปลงเพาะแต่อย่าให้แฉะ
และควรฉีดสารเคมีป้องกันเชื้อราสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลายเมล็ด หลังจากนั้นต้นชาจะงอก ภายใน 30 วัน
การดูแลรักษาต้นกล้าชา ในช่วงที่เมล็ดชายังไม่งอกควรกำจัดวัชพืชในแปลงด้วย
หลังจากเพาะเมล็ดไปแล้ว 30 วัน เมล็ดชาจะเริ่มงอกเป็นต้นชาโผล่พ้นวัสดุเพาะ
จะมีใบจริง 2-3 ใบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 2 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร
ลักษณะใบที่ดีจะไม่งอหรือแหว่ง เมื่อต้นชาอายุ 40-45
วันหลังงอกก็สามารถย้ายต้นกล้าไปชำลงถุงได้ โดยก่อนการถอนชำ 1 สัปดาห์
ควรให้ปุ๋ยทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโต และจะทำให้ต้นกล้าชามีลำต้นแข็งแรง
ฟื้นตัวง่าย การถอนย้ายกล้าชาให้ใช้มือจับโคนต้นกล้าชา ดึงขึ้นมาตรง ๆ
เมื่อถอนออกมาแล้ว ให้ตัดรากชาออกให้เหลือประมาณ 2-3 นิ้ว
วัดจากโคนต้นถึงปลายรากแล้วล้างให้สะอาดก่อนนำไปแช่น้ำยากันเชื้อรา แช่เฉพาะรากนาน
5 นาที จากนั้นนำกล้าชาขึ้นมาวางเรียงไว้ในตะกร้าพลาสติก
เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายไปชำต่อไป)
การเตรียมถุงชำ ให้ใช้ถุงพลาสติกดำขนาด 2 ฝ x 10 นิ้ว
วัสดุเพาะชำให้ใช้ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพอสมควร ไม่มีวัชพืชปะปน
ย่อยดินให้ละเอียดผสมกับแกลบให้เข้ากันในอัตราส่วน ดิน : แกลบ = 5 : 1
เพื่อให้ดินร่วนระบายน้ำได้ง่าย จากนั้นกรอกดินให้เต็มถุง นำต้นกล้าชามาชำในถุง
โดยใช้ไม้ปลายแหลมเจาะวัสดุเพาะชำในถุง เป็นรูลึกพอที่จะนำต้นกล้าชาใส่ลงไปได้
นำต้นกล้าชาใส่ลงในถุง ใช้ไม้หรือมือกดดินรอบโคนต้นกล้าในถุงชำให้แน่น
เมื่อชำเสร็จแล้ว รดน้ำตามทันที ต้นกล้าที่ถอนไว้ควรชำลงถุงในเสร็จภายในวันเดียว
หลังจากชำเสร็จแล้วให้ไปวางเป็นแปลงสี่เหลี่ยม โดยใช้ไม้กั้นเป็นแปลง
ขนาดที่เหมาะสมคือกว้าง 1.2 เมตร ยาว 10 เมตร มีทางเดินระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร
เพื่อสะดวกในการดูแลและควรให้น้ำ 1-2 วัน/ครั้ง เพื่อไม่ให้วัสดุเพาะชำในถุงแห้ง
การเพาะเมล็ดในถุง
ให้นำเมล็ดชาที่ดีมาทำการเพาะในถุงพลาสติกขนาด 6x8 นิ้ว ใส่ดินผสมไว้ พ ถุง วางเมล็ดไว้กลางถุงให้ด้านตาคว่ำลง กลบเมล็ดด้วยถ่านแกลบหรือทรายผสมขุยมะพร้าวหนาประมาณ 1 นิ้ว ควรมีการพรางแสงให้ร่มเงา และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในระหว่างเพาะ
การขยายพันธุ์โดยการปักชำ
การขยายพันธุ์โดยการปักชำ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ให้ลักษณะตรงตามสายพันธุ์เดิม
เหมาะสำหรับขยายพันธุ์ชาพันธุ์ดี หรือพันธุ์ชาจีน
เนื่องจากการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดมีอัตราการกลายพันธุ์สูง
การปักชำนิยมใช้วิธีปักชำส่วนใบของชาที่มีแผ่นใบ ก้านใบ และกิ่ง
หรือลำต้นที่มีส่วนของตาติดอยู่ด้วย
กิ่งพันธุ์ที่เหมาะสมในการนำมาขยายพันธุ์ต้องเป็นกิ่งที่สมบูรณ์ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป
โดยสังเกตดูจากสีของเปลือกควรมีสีน้ำตาลและเขียว
กิ่งพันธุ์ชาที่ตัดยอดแล้วยังไม่สามารถนำไปปักชำในแปลงได้
แต่ต้องเก็บไว้ในที่เย็นชื้น เช่นถุงพลาสติกพรมน้ำ และควรปักชำภายใน 48 ชั่วโมง
แปลงเพาะชำควรมีขนาดกว้าง 1-1.5 เมตร วัสดุที่ใช้เพาะควรมี pH ไม่เกิน 5.5
และมีอินทรียวัตถุน้อย ซึ่งวัสดุเพาะชำที่เหมาะที่สุดคือดินแดง (red soil)
วิธีการชำทำโดยตัดกิ่งชาให้มีความยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร มี 1 ใบ และ 1 ข้อ
สำหรับชาอัสสัม หรือ 1 ใบ 2 ข้อ สำหรับชาจีน (ตัดใบออกครึ่งหนึ่ง เพื่อลดการคายน้ำ)
แล้วนำมาจุ่มฮอร์โมนเร่งราก
เพื่อช่วยให้การออกรากของกิ่งปักชำเร็วและสม่ำเสมอมากขึ้น
นำกิ่งชำปักลงไปในแปลงเพาะหรือชำในถุงพลาสติก โดยให้ส่วนโคนของกิ่งเอียงทำมุม 45
องศากับพื้น จัดใบให้หันไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้าชำในแปลงเพราะควรให้มีระยะห่างของกิ่งชำ 5 เซนติเมตร ระหว่างแถว 15 เซนติเมตร
แล้วใช้พลาสติกใสคลุมแปลงเพาะชำเป็นอุโมงค์เพื่อช่วยเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์
และลดการสูญเสียน้ำจากใบ เรือนเพาะชำควรมีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 90%
การให้น้ำควรให้ 2 วัน/ครั้ง หรือวันละครั้ง หลังชำประมาณ 3-4 เดือน
หรือเมื่อกิ่งชำแตกยอดเกิดใบจริง 2-3 ใบแล้วให้นำถุงพาลสติกคลุมแปลงออก
การชำในแปลงเพาะเมื่อรากเจริญดีแล้วก็สามารถแยกไปชำต่อในถุงพลาสติกขนาด 6x12 นิ้ว
หรือเลี้ยงต่อไปใน แปลงเพาะจนอายุ 10-12 เดือน หรือจนต้นสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ก็สามารถย้ายลงปลูกในแปลงได้ โดยช่วยก่อนย้ายลงปลูก 2 สัปดาห์
ควรตัดยอดเพื่อกระตุ้นให้ต้นแตกกิ่งข้าง ทำให้ทรงพุ่มแผ่ขยายออก
การปักชำสามารถใช้สารเร่งรากช่วย เช่น IBA ความเข้มข้น 1,500 ppm
จะสามารถเพิ่มอัตราการออกรากของกิ่งปักชำได้ดี
การติดตาต่อกิ่ง
การติดตาต่อกิ่ง วิธีนี้สามารถใช้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรง และมีการเจริญเติบโตดี โดยการนำยอดพันธุ์ดีมาต่อกับต้นตอที่ได้จากเมล็ดชาป่า ซึ่งมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เมื่อรอยแผลประสานกันดีแล้วสามารถนำไปปลูกในแปลงได้ วิธีการนี้จะช่วยแก้ปัญหาจากการปักชำ เนื่องจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการปักชำจะไม่มีรากแก้ว ดังนั้นในพื้นที่ที่ขาดน้ำ ขาดการชลประทาน การกระจายตัวของน้ำฝนไม่ดีพอในเขตภูเขาสูง จึงควรขยายพันธ์โดยวิธีการต่อกิ่ง เนื่องจากวิธีนี้จะทำให้ได้ต้นกล้าที่มีระบบรากแก้วแข็งแรง สามารถหาอาหารและน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ผลผลิตยอดชาสดที่เป็นชาพันธุ์ดี มีคุณภาพ
การต่อกิ่งโดยการเสียบกิ่ง (Cleft grafting)
ให้ตัดต้นตอจากต้นตอที่ได้จากการเพาะเมล็ดที่มีลำต้นขนาดเท่าดินสอดำ ยาวประมาณ
15-25 เซนติเมตร อายุประมาณ 1 - 1.5 ปี โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดต้นตอเป็น stock
สูงประมาณ 8-12 เซนติเมตร ผ่าต้นตอลึกประมาณ 1- 1.5 นิ้ว
จากนั้นตัดกิ่งพันธุ์ดีให้มีตาและใบติด 2-3 ตา
แล้วเฉือนส่วนล่างของกิ่งพันธุ์ดีเป็นรูปลิ่ม
เผยอรอยต่อบนต้นตอแล้วเสียบกิ่งพันธุ์ดีเข้าไปในส่วนของตัวตอที่ผ่า
โดยให้ส่วนของกิ่งพันธุ์ที่เฉือนเป็นรูปลิ่มสนิทแน่นกับต้นตอที่ผ่า
(ให้เนื้อเยื่อเจริญตรงกัน) พันด้วยผ้าพลาสติกและปิดรอยแผลให้มิดชิด
แล้วใช้ถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมไว้ทำที่บังร่ม เพื่อป้องกันการเหี่ยวของกิ่งพันธุ์ดี
และทำให้มีเปอร์เซ็นต์การเชื่อมติดดีขึ้น
ต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีจะเชื่อมติดต่อกันภายใน 45 วัน
การต่อกิ่งโดยวิธีเสียบกิ่งสามารถใช้ในการเปลี่ยนพันธุ์ชาในแปลงปลูกต้นชาที่มีอายุหลายปีได้ด้วย
โดยเสียบกิ่งพันธุ์ดี 2 กิ่งต่อต้นตอ 1 ต้น
การติดตา (bud grafting)
เตรียมต้นตอที่สมบูรณ์ไว้ กรีดเปลือกต้นตอเป็นรูปต้น T ขนาดความยาว 1.5x3 เซนติเมตรให้ตำแหน่งรอยกรีดอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 10 เซนติเมตร เฉือนแผ่นตาพันธุ์ดี ขนาด 2 เซนติเมตรออกมา แกะเนื้อไม้ออก แล้วนำไปสอดเข้ากับรอยกรีดของต้นตอที่เตรียมไว้เสร็จแล้วใช้พลาสติกใสพันปิดรอยแผลโดยพันจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์ รอยแผลที่ติดตาจะเชื่อมติดกัน ตัดแต่งกิ่งที่อยู่เหนือตาขึ้นไป 2 เซนติเมตรออก และส่วนเจริญของต้นตอที่อยู่ด้านล่างตาพันธุ์ดี ต้องตัดออกจนกว่ากิ่งพันธุ์ดีจะเจริญเป็นหน่อ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture)
เป็นวิธีการที่ทำให้ได้ต้นพันธุ์ครั้งละจำนวนมาก ปลอดโรค ตรงต่อพันธุ์และมีความสม่ำเสมอ สำหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อชายังอยู่ในขั้นการศึกษา วิจัย พัฒนา คาดว่าในอนาคตจะเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถทำให้ขยายพันธุ์ชาพันธุ์ดีได้อย่างรวดเร็ว
»
ประโยชน์ของชา
» แหล่งกำเนิดและประวัติการปลูกชา
» ประวัติการปลูกชาของประเทศไทย
» พันธุ์และการขยายพันธุ์
» การคัดเลือกชาเพื่อทำพันธุ์
» การขยายพันธุ์
» การปลูกและการจัดการสวนชา
» การเตรียมดิน
» การปลูก
» การให้น้ำ
» การทำไม้บังร่ม
» การกำจัดวัชพืช
» ธาตุอาหาร
» การใส่ปุ๋ย
» การเก็บเกี่ยวชา
» การปรับปรุงสวนชา
» โรคและแมลงศัตรูชา
» แมลงศัตรูชา
» ผลกระทบจากข้อตกลงแกลต์และแนวทางการปรับตัว