เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การปลูกพืชผักระบบไฮโดรโปนิกส์
จากเอกสารวิชาการ เรื่อง การปลูกพืชผักระบบไฮโดรโปนิกส์
จัดทำเอกสารโดย นางสาวขนิษฐา พงษ์ปรีชา สำนักงานส่งเสริมการเกษตรภาคตะวันตก
จังหวัดชลบุรี
สารละลายธาตุอาหาร
สารละลายธาตุอาหารนับเป็นหัวใจสำคัญของการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ เพราะพืชจะได้รับธาตุอาหารต่างๆ จากสารละลายธาตุอาหารซึ่งผู้ปลูกเตรียมขึ้นจากการนำปุ๋ยหรือสารเคมีมาละลายน้ำ จึงสามารถกำหนดปริมาณธาตุอาหารให้เป็นไปตามที่พืชต้องการได้ อย่างไรก็ตามการเตรียมสารละลายธาตุอาหารก็มีรายละเอียดที่ผู้ปลูกจำเป็นต้องรู้ ดังต่อไปนี้
1. คุณภาพของน้ำที่ใช้เตรียมสารละลาย น้ำ
ที่ใช้เตรียมสารละลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในการกำหนดการเจริญเติบโตของพืชที่ปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ มีผลต่อการเลือกพืชปลูก ระบบปลูก และวิธีจัดการธาตุอาหารพืช คุณภาพของน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง โดยทั่วไปถ้าน้ำสะอาดพอที่มนุษย์หรือสัตว์สามารถดื่มได้ก็ถือว่าเป็นน้ำที่สามารถนำมาใช้เตรียมสารละลายสำหรับปลูกพืชได้ นอกจากความสะอาด ควรต้องทราบคุณสมบัติทางเคมีว่ามีธาตุต่างๆ อยู่ในปริมาณเท่าใด มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ในระดับไหน ในการปลูกพืชผักเป็นการค้าจึงควรนำตัวอย่างน้ำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ค่าวิเคราะห์จะบอกให้ทราบว่าน้ำที่จะใช้ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง มีปริมาณอยู่ในระดับไหน เป็นพิษต่อพืชหรือไม่ โดยทั่วไปน้ำที่เหมาะสมที่จะนำมาเตรียมสารละลายได้ควรมีปริมาณธาตุต่างๆ
ธาตุที่มักพบในน้ำและเป็นปัญหาคือ โซเดียม และ คลอรีน ซึ่งเป็นธาตุที่พืชดูดไปใช้น้อยมาก ดังนั้นถ้าพบในน้ำในปริมาณมากก็จะเกิดการสะสมและเป็นพิษต่อพืชโดยเฉพาะในระบบปิดที่มีการนำสารละลายกลับมาใช้ใหม่ (closed system) ปริมาณโซเดียมในสารละลายจะมีความเป็นพิษต่อพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน เช่น โซเดียมอิออนที่ความเข้มข้น 50 ppm ในสารละลายจะเป็นพิษต่อผักสลัด สตรอว์เบอร์รี่ และกุหลาบ แต่สำหรับมะเขือเทศ สามารถทนความเข้มข้นของโซเดียมอิออนได้ถึง 200 ppm หรือมากกว่า จากปัญหาการสะสมของเกลือที่พืชต้องการในปริมาณน้อยนี้ จึงต้องมีการจัดการเกี่ยวกับธาตุอาหาร เมื่อใช้น้ำที่มีเกลือแร่เหล่านี้ละลายอยู่มากจะยุ่งยากกว่าน้ำที่มีเกลือละลายอยู่น้อย โดยเฉพาะระบบที่มีการหมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ เช่น ระบบ NFT ส่วนระบบที่ไม่มีการนำสารละลายกลับมาใช้ใหม่ เช่น การปลูกในวัสดุปลูกและระบายน้ำทิ้ง จะสามารถนำน้ำที่มีเกลือเหล่านี้มาใช้ได้แต่ต้องเพิ่มปริมาณน้ำที่ระบายออกให้มากขึ้นเพื่อชะเกลือที่สะสมในวัสดุปลูก ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองสารละลาย
อนุมูลไบคาร์บอเนตมีผลต่อค่า pH ของสารละลาย โดยทำให้ pH สูงขึ้น
ซึ่งมีผลต่อความเป็นประโยชน์ของธาตุบางชนิด เช่นถ้า pH ของสารละลายสูงกว่า 6
การละลายของอนุมูลคาร์บอเนตและฟอสเฟตจะลดลงโดยจะตกตะกอนกับแคลเซียมและแมกนีเซียม
ทำให้พืชใช้ประโยชน์ธาตุทั้งสองได้น้อยลง
นอกจากนี้ตะกอนที่เกิดขึ้นจะอุดตันหัวน้ำหยด ระบบท่อ และเครื่องกรองน้ำ
และยังไปหุ้มอีเลกโทรดของเครื่องวัด pH และ เครื่องวัด EC, pH
สูงยังมีผลให้เหล็กคีเลตอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้อีกด้วย
น้ำที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ คือ น้ำฝน
เพราะเป็นน้ำที่มีความบริสุทธิ์สูง
แต่จะต้องมีภาชนะเก็บขนาดใหญ่พอที่จะเก็บน้ำได้เพียงพอ
ที่จะนำมาใช้เตรียมสารละลายโดยตรงหรือมาใช้ผสมกับน้ำแหล่งอื่นในกรณีที่ปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอ
2. ชนิดของปุ๋ยหรือสารเคมีที่ใช้ในสารละลาย
ปุ๋ยหรือสารเคมีที่ใช้ในการเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืชจะต้องเป็นสารที่ละลายน้ำได้หมด ซึ่งปกติจะมีราคาแพง ดังนั้นต้องหาแหล่งธาตุอาหารในรูปของปุ๋ยซึ่งจะมีราคาถูกกว่าสารเคมีทั่วไป แต่บางธาตุก็ต้องใช้สารเคมี โดยเฉพาะจุลธาตุ ซึ่งมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม ธาตุเหล่านี้ใช้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากธาตุเหล็กซึ่งต้องใช้ในรูปคีเลตที่มีราคาแพงและต้องใช้ในปริมาณมาก นอกจากนั้นในปุ๋ยบางชนิดที่ให้ธาตุอาหารหลักยังมีจุลธาตุบางตัวปนอยู่ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเติมจุลธาตุเหล่านั้นอีก
ในการผสมสารละลายธาตุอาหารพืช ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยตัวหนึ่งตัวใดโดยเฉพาะ เมื่อหาซื้อตัวที่ต้องการไม่ได้ก็สามารถใช้ตัวอื่นที่ให้ธาตุเดียวกันแทนได้ เช่นถ้าหาแอมโมเนียมไนเตรทไม่ได้ ก็สามารถใช้แอมโมเนียมซัลเฟตแทนได้ แต่จะต้องปรับปริมาณที่ใช้ เนื่องจากแอมโมเนียมซัลเฟตมีปริมาณไนโตรเจนน้อยกว่าแอมโมเนียมไนเตรท นอกจากนี้จากแอมโมเนียมซัลเฟตยังให้อนุมูลซัลเฟตซึ่งให้กำมะถันและมีส่วนทำให้ pH ของสารละลายลดลงด้วย จึงต้องพิจารณาปรับลดปริมาณกำมะถันและปรับค่า pH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับธาตุอาหารรอง จะได้แมกนีเซียม จากปุ๋ยต่างๆ เช่น แมกนีเซียมซัลเฟต
แมกนีเซียมไนเตรท แมกนีเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมออกไซด์ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
และแมกนีเซียมคาร์บอเนต ส่วนแคลเซียมได้จากปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต
แคลเซียมไนเตรท แคลเซียมออกไซด์ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ แคลเซียมคาร์บอเนต
แคลเซียมซิลิเกต และแคลเซียมฟอสเฟต
สำหรับกำมะถันได้จากปุ๋ยที่ใช้เพื่อให้ธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองอื่นๆ อยู่แล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องให้เพิ่มอีก
ส่วนจุลธาตุไม่จำเป็นต้องเติมให้ครบทุกตัวเพราะมักมีเจือปนอยู่ในปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารหลัก
และมีปนอยู่ในน้ำที่ใช้เตรียมสารละลาย
นอกจากนั้นพืชยังต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามบางธาตุ เช่น
เหล็กก็มีความสำคัญ จึงต้องเติมปุ๋ยชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เฟอรัสซัลเฟต เฟอรัสฟอสเฟต
เฟอริกคลอไรด์ เฟอริกไนเตรท หรือในรูปคีเลต เช่น Fe-EDTA และ Fe-DTPA จุลธาตุอีก 2
ชนิดที่ควรเติมในสารละลาย คือ โบรอนและแมงกานีส โดยโบรอนมักใช้โซเดียมเมตาบอเรท
โพแทสเซียมบอเรท หรือ กรดบอริก ส่วนแมงกานีส ได้จากแมงกานีสซัลเฟต หรือ
แมงกานีสคลอไรด์
3. สูตรของสารละลายธาตุอาหาร
ปัจจุบันสารละลายธาตุอาหารมีอยู่หลายสูตรขึ้นกับชนิดพืชที่ปลูก ฤดูปลูก แสง อุณหภูมิขณะที่ปลูก สถานที่ปลูก ตลอดจนวัตถุประสงค์ของการปลูก การปลูกพืชเป็นการค้าจะต้องปลูกในปริมาณมากเพื่อให้มีผลกำไร จำเป็นที่จะต้องเลือกใช้สูตรที่เหมาะสมและมีความเข้มข้นของธาตุอาหารน้อยที่สุดเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร เพราะต้นทุนค่าสารละลายเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในการดำเนินการ เนื่องจากต้องใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาปลูก ซึ่งต่างจากค่าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียวแต่ใช้ได้เป็นเวลานาน สูตรสารละลายธาตุอาหารพืชที่เป็นสูตรมาตรฐานและมักถูกดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับพืชต่างๆ มีอยู่หลายสูตร เช่น Knops 1865, Sachs 1860, Shives และ Hoaglands
อย่างไรก็ดี ไม่มีสารละลายสูตรใดสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องปรับสูตรที่เลือกใช้ให้เหมาะสมหรือแม้แต่ปรุงสูตรธาตุอาหารพืชขึ้นเอง ดังนั้นแทนที่จะให้ความสำคัญกับสูตรสารละลายธาตุอาหาร ผู้ปลูกควรให้ความสำคัญกับการปรับหรือจัดสัดส่วนของธาตุอาหารให้เหมาะกับพืชที่ปลูกและสภาพแวดล้อม เช่น ในสภาพแดดจัด อากาศร้อนสัดส่วนของธาตุอาหารหลักคือ N:P2O5:K2O เท่ากับ 2:1:3 ถ้าเป็นฤดูมรสุม อากาศชื้นและมีเมฆหมอก ควรใช้สัดส่วน N:P2O5:K2O เป็น 2:1:3 แต่ก็ต้องปรับสัดส่วนตามชนิดผักที่ปลูกด้วย เช่น ถ้าเป็นการปลูกผักกินใบ เช่น ผักกาดหอม ก็ต้องให้มีสัดส่วนของไนโตรเจนสูงกว่าการปลูกผักกินผล เช่น มะเขือเทศ นอกจากการกำหนดปริมาณธาตุอาหารต่างๆ ตามสูตรพื้นฐานและสัดส่วนของธาตุอาหารหลักแล้ว ยังอาจเตรียมสารละลายโดยยึดหลักช่วงความเข้มข้นและค่าเฉลี่ยของธาตุอาหารตามความต้องการของพืช
4. การเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืช
เมื่อเลือกและปรับสูตรสารละลายหรือกำหนดสัดส่วนของธาตุอาหาร และเตรียมปุ๋ยหรือสารเคมีที่ต้องใช้ได้แล้ว ต้องคำนวณปริมาณของปุ๋ยหรือสารที่ต้องใช้ โดยคูณน้ำหนักปุ๋ยต่อลิตรตามที่กำหนดไว้ในสูตรหรือตามที่ปรับไว้ด้วยปริมาตรของสารละลายธาตุอาหารทั้งหมดที่จะเตรียม เช่น ต้องเตรียมสารละลายธาตุอาหารจำนวน 10 ลูกบาศก์เมตร โดยใช้โซเดียมไนเตรท 850 มิลลิกรัมต่อลิตร ต้องใช้โซเดียมไนเตรททั้งหมดเท่ากับ 850*10,000 (1 ลูกบาศก์เมตรเท่ากับ 1,000 ลิตร) คือ 8.5 กิโลกรัม โดยทั่วไปจะเตรียมสารละลายที่มีความเข้มข้นสูงก่อน เมื่อจะใช้จึงนำมาเจือจางให้ได้ความเข้มข้นตาม ซึ่งการเตรียมสารละลายเช่นนี้มีข้อดี คือ ไม่ต้องเตรียมภาชนะขนาดใหญ่เพื่อบรรจุสารละลายปริมาณมากๆ ไม่ต้องชั่งหรือตวงปุ๋ยหรือสารที่ใช้หลายครั้ง การเตรียมสารละลายครั้งเดียวสามารถใช้ได้ตลอดฤดูปลูกตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยวผลผลิต นอกจากนี้ปุ๋ยบางชนิดเช่น สารประกอบแคลเซียม และ โซเดียมไนเตรท ไม่ควรเก็บในรูปผงแห้ง เพราะจะดูดความชื้น จึงต้องเก็บในรูปสารละลาย
ควรเตรียมสารละลายโดยแยกเป็น 2 ถัง
เนื่องจากปุ๋ยบางชนิดไม่สามารถผสมกันได้ที่ความเข้มข้นสูง ตัวอย่างเช่น
เมื่อต้องเตรียมสารละลายทั้งหมด 10 ลูกบาศก์เมตร จะต้องเตรียม 2 ถังๆ ละ 50 ลิตร
เป็นสารละลายเข้มข้น ถังที่ 1 ใส่น้ำ 20 ลิตร
เติมกรดเท่ากับปริมาณที่ต้องใช้เพื่อปรับ pH ของสารละลาย ให้ได้ pH ตามต้องการ
ซึ่งควรจะต่ำกว่า 2 แล้วใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสทั้งหมด โดยละลายน้ำ 10 ลิตรก่อนผสม
จากนั้นอาจใส่ปุ๋ยที่ให้ ไนโตรเจน โพแทสเซียม และ แมกนีเซียม ในรูปของซัลเฟต ไนเตรท
ฟอสเฟต และแอมโมเนียม ที่ละลายน้ำก่อนผสม ถังที่ 1 นี้จะไม่ใส่แคลเซี่ยมเด็ดขาด
เพราะจะทำปฏิกริยากับฟอสเฟต ทำให้ตกตะกอน ใส่จุลธาตุทั้งหมดยกเว้น เหล็ก
แล้วเติมน้ำให้ได้ปริมาตร 50 ลิตร คนให้สารละลายเข้ากันดี สำหรับถังที่ 2
เริ่มจากเติมน้ำ 20 ลิตร แล้วเติมกรดเพื่อปรับ pH ซึ่งควรให้อยู่ในช่วง 4-6
เติมปุ๋ยที่มีแคลเซี่ยมเป็นองค์ประกอบทั้งหมด โดยต้องละลายในน้ำ 12 ลิตรก่อน
เติมเหล็กทั้งหมดในรูปคีเลต โดยละลายในน้ำ 12 ลิตรก่อน แล้วเติมน้ำให้ครบ 50 ลิตร
คนให้เข้ากันดี ในถังที่ 2 นี้ห้ามใส่สารที่มีอนุมูลซัลเฟตและฟอสเฟต สารละลายทั้ง 2
ถังเมื่อจะนำไปใช้จะต้องเจือจางในอัตราส่วน 1:200 เช่น ถ้าต้องการสารละลาย
ธาตุอาหาร 5 ลูกบาศก์เมตร (5,000 ลิตร) ต้องใช้สารละลายเข้มข้นถังที่ 1 และถังที่ 2
ถังละ (1:200)*5,000 ดังนั้นจะต้องใช้สารละลายถังละ 25 ลิตร
แล้วปรับปริมาตรโดยเติมน้ำให้ครบ 5,000 ลิตร
เมื่อเตรียมสารละลายได้แล้วต้องตรวจสอบค่า pH และค่า EC
ว่าได้ตามที่ต้องการหรือไม่ก่อนจึงนำไปใช้
สารละลายธาตุอาหารพืชที่สมบูรณ์จะต้องมีธาตุอาหารครบทุกชนิดในปริมาณสมดุลและเพียงพอต่อความต้องการ
ถ้าเตรียมสารละลายธาตุอาหารไม่สมบูรณ์หรือมีการจัดการสารละลายผิดพลาดทำให้สารละลายไม่สมดุล
อาจทำให้พืชได้รับธาตุบางชนิดไม่เพียงพอ ซึ่งอาจสังเกตได้จากอาการที่พืชแสดงออก
ค่าเฉลี่ยของปริมาณธาตุอาหารแต่ละชนิดในสารละลายที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืช
5. การจัดการสารละลายธาตุอาหารพืชในระบบปิด (closed system)
การปลูกพืชโดยวิธีไฮโดรโปนิกส์ที่มีการนำสารละลายกลับมาใช้ใหม่ เช่น NFT (nutrient film technique), deep flow technique (DFT) และ aeroponics เป็นการใช้สารละลายอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบการปลูกที่มีการขยายตัวอย่างมากเนื่องจากประหยัดสารละลายและไม่ก่อให้เกิดมลภาวะจากสารละลายที่เหลือใช้ แต่เนื่องจากเป็นระบบที่สารละลายหมุนเวียนอยู่ในระบบ การจัดการธาตุอาหารให้อยู่ในสภาพสมดุล ให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชตลอดการปลูก จึงมีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตและต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวในการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งการจัดการนี้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดและทำได้ยากกว่าในระบบไม่มีการหมุนเวียนสารละลาย ในทางปฏิบัติในการปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์เป็นเชิงพาณิชย์จะเน้นที่การควบคุมค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) และ ค่าการนำไฟฟ้า (EC) ของสารละลายให้อยู่ในช่วงที่ต้องการ คือควบคุมค่า pH ให้คงอยู่ระหว่าง 5.5-6.5 และค่า EC ที่อุณหภูมิ 25° C ระหว่าง 1.5-3.0 mS/cm ถ้าสูงหรือต่ำกว่านี้จะต้องมีการจัดการ
1.การจัดการค่า pH ของสารละลาย
ค่า pH ของสารละลายโดยทั่วไปควรอยู่ในช่วง 5.5-6.5 เมื่อ pH ของสารละลายต่ำกว่า
4 จะเป็นอันตรายต่อรากพืช ในทางตรงข้ามถ้า pH สูงกว่า 7 ติดต่อกันนาน 2-3 วัน
จะทำให้การดูดใช้ ฟอสฟอรัส เหล็ก และแมงกานีส ผิดปกติ เมื่อเตรียมสารละลายใหม่ pH
จะเท่ากับ 6 แต่เมื่อเวลาผ่านไป pH จะสูงขึ้น
เนื่องจากในการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ (vegetative growth) พืชจะมีการดูดใช้
ไนเตรทอิออน (NO3-) เป็นส่วนใหญ่ (ดูดใช้ประจุลบมากกว่าบวก)
จึงมีการปล่อยอนุมูลไบคาร์บอเนต (HCO3-) ออกมาในปริมาณเท่ากัน ทำให้ pH
ของสารละลายเพิ่มขึ้น ในการปลูกพืชในระบบปิดจึงต้องวัดค่า pH
สม่ำเสมอและปรับค่าให้อยู่ที่ 6 ตลอดเวลาโดยใช้กรดไนตริก หรือกรดฟอสฟอริก
ซึ่งจะเป็นการเติมไนโตรเจน
และฟอสฟอรัสให้สารละลายด้วยแต่การใช้กรดฟอสฟอริกต้องระวังไม่ให้เป็นการเพิ่มฟอสฟอรัสให้สารละลายมากเกินไป
การลดค่า pH ของสารละลายอาจทำได้โดยการเพิ่มแอมโมเนียมอิออน (NH4+) เมื่อมีอนุมูล
NH4+ ในสารละลายการดูดใช้อนุมูลนี้ของพืชจะเกิดการปลดปล่อยอนุมูลไฮโดรเจนออกมา
ทำให้ pH ลดลง อย่างไรก็ตามต้องระวังไม่ให้อนุมูล NH4+ เพิ่มเกิน ร้อยละ 10
ของความเข้มข้นของอนุมูล NO3- ในสารละลาย เนื่องจาก NH4+ ที่ความเข้มข้นสูงๆ
เป็นอันตรายต่อพืชได้ในทางกลับกัน การเพิ่ม pH
ของสารละลายทำได้โดยเติมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ หรือโพแทสเซียมคาร์บอเนต
และลดปริมาณแอมโมเนียมไนเตรต (NH4NO3) ลง หรือเปลี่ยนการใช้โมโนแอมโมเนียมฟอสเเฟต
มาใช้ไดแอมโมเนียมฟอสเฟตแทนก็ได้
2. การจัดการค่า EC ของสารละลาย
ค่า EC (electrical conductivity) คือค่าการนำไฟฟ้า เป็นค่าที่บอกความเข้มข้นของสารละลาย มีหน่วยเป็น มิลลิโมลต่อเซนติเมตร (mmho/cm) หรือมิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (mS/cm) ถ้าค่า EC สูงแสดงว่าสารละลายมีความเข้มข้นสูง คือมีธาตุอาหารละลายอยู่มาก ค่า EC ในการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่และชนิดพืชปลูก เช่น ผักสลัดในระบบ NFT ต้องมีค่า EC ตั้งแต่ 0.8-2.8 mS/cm ส่วนมะเขือเทศควรมีค่า EC สูงถึง 5-8 mS/cm เพื่อเพิ่มความหวาน
ปัญหาในการจัดการค่า EC คือ ค่า EC เป็นค่าที่บอกความเข้มข้นของสารละลายโดยรวม ไม่สามารถบอกความเข้มข้นของธาตุอาหารแต่ละตัวได้ จึงไม่มีโอกาสรู้ว่าธาตุใดมีปริมาณมากเกินหรือน้อยเกินไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการถ่ายสารละลายทิ้งเป็นช่วงๆ เพื่อกำจัดธาตุที่พืชไม้ต้องการและมีการสะสมอยู่ในสารละลาย ธาตุที่มักมีการสะสมและเป็นปัญหาในการปลูกพืชด้วยระบบปิดเสมอคือโซเดียม ซึ่งพืชไม่มีการดูดไปใช้และมักมีอยู่ในน้ำหรือมากับปุ๋ยที่ใช้เตรียมสารละลาย เมื่อสารละลายไหลผ่านรากพืช จะมีการดูดธาตุที่ต้องการไปใช้และเหลือโซเดียมสะสมอยู่ในสารละลาย เมื่อรอบการผ่านรากมากขึ้น ปริมาณธาตุอาหารพืชจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากพืชดูดไปใช้ ขณะเดียวกันปริมาณโซเดียมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน การสะสมของโซเดียมอาจถึงระดับที่เป็นพิษต่อพืชได้ ทางเดียวที่กำจัดโซเดียมออกจากระบบได้ คือการถ่ายสารละลายทิ้ง นอกจากโซเดียมแล้ว การสะสมของธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อยตัวอื่นๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ เป็นสาเหตุของความไม่สมดุลของธาตุอาหารในสารละลาย เช่นความไม่สมดุลของ แอมโมเนียม แคลเซียม แมกนีเซียม และ โพแทสเซียม ซึ่งเป็นประจุบวก และถูกดูดใช้ในขบวนการที่คล้ายกัน ถ้าธาตุเหล่านี้อยู่ในสภาพไม่สมดุลย เช่น มีแมกนีเซียม หรือ โพแทสเซียม มากเกินไป จะทำให้พืชดูดใช้แคลเซียมได้น้อยลง เมื่อเกิดความไม่สมดุลของสารละลายธาตุอาหารแล้ว จะทราบได้ก็ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารละลาย อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก นอกจากการวิเคราะห์อาจสังเกตจากอาการของพืช เช่นในผักกาดหอม จะแสดงอาการปลายใบไหม้ (tip burn) เมื่อขาดแคลเซียม แต่ทั้งนี้ การแสดงอาการผิดปกติดังกล่าวก็สายเกินกว่าจะแก้ไข วิธีที่ดีที่สุดจึงควรรักษาสมดุลของธาตุอาหารไว ้คือการถ่ายสารละลายธาตุอาหารในถังทิ้งให้หมดก่อนที่ความไม่สมดุลจะรุนแรง แล้วเติมสารละลายที่เตรียมใหม่แทน การถ่ายสารละลายโดยทั่วไปมักกำหนดเป็นช่วงแน่นอน เช่นอาจถ่ายทุก 2, 3, หรือ 4 สัปดาห์ จะถ่ายสารละลายให้น้อยที่สุดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ฤดูที่ปลูก การปลูกในฤดูร้อนจะต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อยกว่าฤดูหนาว
เพราะพืชมีการคายน้ำมากและมีการดูดใช้ธาตุอาหารเร็ว ส่วนฤดูฝน
ถ้าเป็นการปลูกกลางแจ้ง น้ำฝนจะเข้าไปในสารละลายได้ ทำให้สารละลายเจือจาง
จึงต้องระบายสารละลายบางส่วนออกจากระบบ แล้วเติมสารละลายเข้มข้นเพื่อปรับค่า EC
และ pH ใหม่
- คุณภาพของน้ำที่ใช้เตรียมสารละลาย ถ้าใช้น้ำที่มีความบริสุทธิ์มากๆ
เช่นน้ำฝน หรือน้ำ reverse osmosis (RO) จะมีสิ่งเจือปนน้อย
จึงมีการสะสมของธาตุที่พืชไม่ต้องการน้อย ทำให้ทิ้งช่วงการถ่ายสารละลายได้นาน
- ความบริสุทธิ์ของปุ๋ยและสารที่ใช้เตรียมสารละลาย
ถ้าใช้สารหรือปุ๋ยที่มีความบริสุทธิ์น้อย ก็จะต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อย
-
สูตรและความเข้มข้นของสารละลายที่ใช้มีความเหมาะสมกับความต้องการขอพืชหรือไม่
ถ้าไม่เหมาะสม เช่นมีอัตราส่วนของธาตุต่างๆ ไม่ตรงกับความต้องการของพืชที่ปลูก
ก็จะเกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารได้เร็ว และต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อย
- ชนิดและช่วงการเจริญเติบโตของพืช
การตอบสนองต่อความไม่สมดุลของธาตุอาหารของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน
บางชนิดแสดงอาการอย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อย
นอกจากชนิดพืชแล้ว ช่วงการเจริญเติบโตของพืชก็ตอบสนองต่างกัน เช่น
ผักกาดหอมจะแสดงอาการ tip burn ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว
เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
จึงต้องการน้ำและธาตุอาหารในปริมาณมาก
ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารได้ง่ายและรวดเร็ว
ควรถ่ายสารละลายก่อนช่วงนี้ประมาณ 1 สัปดาห์
เพื่อป้องกันความไม่สมดุลของธาตุอาหาร
- สัดส่วนระหว่างขนาดถังสารละลายต่อจำนวนพืชที่ปลูก (ปริมาณธาตุอาหารต่อพืช 1 ต้น) ถ้าถังสารละลายมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับจำนวนพืช การถ่ายสารละลายจะช้ากว่าเมื่อใช้ถังขนาดเล็ก แม้จะมีข้อดีที่ไม่ต้องถ่ายสารละลายบ่อยแต่ถังขนาดใหญ่ก็มีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับถังขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามจากปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าเมื่อใดจะต้องมีการถ่ายสารละลาย
วิธีเดียวที่จะทำให้รู้แน่นอนคือจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารละลายเป็นระยะๆ
นอกจากจะบอกได้แน่นอนว่าควรถ่ายสารละลายหรือยังแล้ว
ยังเป็นข้อมูลในการปรับสูตรสารละลายให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกพืชของบ้านเราได้
แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานานในการวิเคราะห์
วิธีที่ทำได้คือการสังเกตจากการตอบสนองของพืชโดยอาศัยประสบการณ์ของผู้ปลูก
หรือค่อยๆ ถ่ายสารละลายออกจากระบบอย่างสม่ำเสมอคราวละน้อยๆ
ซึ่งมีข้อดีคือปริมาณธาตุอาหารที่พืชไม่ต้องการหรือความไม่สมดุลของธาตุอาหารจะอยู่ในระดับคงที่ไม่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
พืชจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนองค์ประกอบของสารละลายมากนัก
ในระบบ NFT แม้จะถ่ายสารละลายทิ้งทั้งหมดและเติมสารละลายที่เตรียมใหม่แทน
สารละลายในระบบก็ยังไม่เป็นสารละลายใหม่ทั้งหมด เนื่องจากในระบบ NFT
สารละลายมากกว่าร้อยละ 80 จะคงค้างอยู่ในรางปลูกพืช
สารละลายที่เติมเข้าไปในถังสารละลายจะไปผสมกับสารละลายที่ค้างอยู่ในราง
การเกิดความไม่สมดุลของสารละลายจึงเร็วมากหลังการถ่ายสารละลาย
3. วิธีการควบคุมค่า EC ของสารละลาย
การควบคุมค่า EC ของสารละลายทำได้หลายวิธี การจะเลือกใช้วิธีใดขึ้นกับความพร้อมด้านเงินทุนของผู้ประกอบการ โดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้
- ระบบควบคุมอัตโนมัติ (automatic control) ค่า pH และ EC
ของสารละลายจะถูกควบคุมโดยเครื่องควบคุมอัตโนมัติ
ค่าทั้งสองจึงคงที่อยู่ตลอดเวลา และมีค่าแตกต่างจากค่าที่ต้องการน้อยมาก
เป็นระบบควบคุมที่ดีที่สุดแต่ก็มีราคาแพงที่สุดเช่นกัน
- ระบบเติมน้ำอัตโนมัติแต่เติมปุ๋ยโดยผู้ดูแล (automatic water make-up,
manual fertilizer adding) เป็นระบบที่มีลูกลอยรักษาระดับน้ำในถังสารละลาย
เมื่อพืชดูดสารละลายไปใช้ลูกลอยจะคอยรักษาระดับน้ำให้คงที่ตลอดเวลา ดังนั้นค่า
EC ของสารละลายจะลดลงเรื่อยๆ และคนดูแลจะวัดค่า pH และ EC เป็นช่วงเวลาแน่นอน
เช่น ทุกๆ เช้า แล้วจะเติมสารละลายเข้มข้นเพื่อปรับค่า EC ของสารละลาย
ช่วงความแตกต่างของค่า EC ที่ต้องการและค่า EC
ต่ำสุดจะขึ้นกับความถี่ในการตรวจวัดและปรับค่า EC ถ้าทำบ่อยๆ
ค่าความแตกต่างก็จะน้อย พืชจะเจริญเติบโตได้ดี
- ระบบที่เติมน้ำและปุ๋ยโดยผู้ดูแลและมีการตรวจวัดค่า (manual control with
checking) ระบบนี้จะปล่อยให้พืชใช้สารละลายไปเรื่อยๆ
จนถึงระดับหนึ่งแล้วผู้ดูแลจะเข้าไปเติมน้ำและปรับค่า EC
ของสารละลายให้เท่าที่ต้องการ การปรับค่าอาจเป็นช่วงเวลาที่แน่นอน เช่นทุกเช้า
หรือดูจากปริมาณสารละลายที่พืชใช้ไป เช่นร้อยละ 50, 60, และ 70
ของความจุถังสารละลาย ค่า EC ของระบบนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกว่าจะมีการปรับค่า ก็จะลดลงมาระดับที่ต้องการ
- ระบบที่เติมน้ำและปุ๋ยโดยผู้ดูแลและไม่มีการวัดค่า (manual control without
checking) เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด แต่เป็นระบบควบคุมค่า EC
ที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด ระบบนี้จะปล่อยให้พืชใช้สารละลายไปเรื่อยๆ
จนถึงระดับหนึ่ง แล้วจะมีการเติมสารละลายที่เตรียมไว้แล้ว
(เป็นสารละลายที่มีค่า EC ที่ต้องการ)
หรือโดยการเติมน้ำสารละลายเข้มข้นตามอัตราที่กำหนดไว้ เช่น สารละลายเข้มข้น 1
ส่วน น้ำ 100 ส่วน แต่ไม่มีการวัดค่า EC ในถังสารละลาย
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการที่ใช้กันมากในการปลูกเป็นงานอดิเรก ไม่มีเครื่องวัด EC
การเปลี่ยนค่า EC ในระบบนี้คือค่าEC ของสารละลายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนอาจถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อพืช
- เครื่องมือวัดค่า pH ของสารละลาย การวัดค่า pH นั้นอาจทำได้ 2 วิธี คือ วิธีเปรียบเทียบสีโดยใช้นำยาเปลี่ยนสี ซึ่งเป็นการวัดอย่างคร่าวๆ ส่วนอีกวิธีเป็นการใช้เครื่องวัดซึ่งบอกค่าได้ถูกต้อง เรียกเครื่องมือนี้ว่า pH มิเตอร์ เครื่องมือนี้มีส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ตัวเครื่องและกระเปาะวัด (probe) การวัดด้วยวิธีนี้เป็นการวัดค่าความต่างศักย์หรือวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกระเปาะวัดขณะที่วัด เครื่อง pH มิเตอร์สมัยแรกๆ มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก และราคาแพง ทำให้เหมาะที่จะใช้ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีขนาดกระทัดรัด ราคาถูกลง และวัสดุที่ใช้ทำกระเปาะก็มีความคงทน ไม่แตกง่าย จึงสามารถพกพาไปใช้ในไร่นาหรือโรงเรือนปลูกพืชได้
การใช้งานทั่วๆ ไปควรปฏิบัติดังนี้
- ปรับเครื่องให้เที่ยงตรงก่อนทำการวัด
การปรับเครื่องต้องใช้น้ำยามาตรฐานที่ทราบค่า pH ที่แน่นอน
เรียกว่าสารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐาน เช่น บัฟเฟอร์ pH 4 บัฟเฟอร์ pH 7 หรือ
บัฟเฟอร์ pH 10
เครื่องบางชนิดจะปรับค่าความเที่ยงตรงโดยใช้สารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐานได้เพียงค่าเดียว
คือ pH 7 เท่านั้น ซึ่งก็จะมีราคาถูกกว่าเครื่องที่ใช้สารได้ 2 ค่า
สำหรับเครื่องที่สามารถปรับค่าความเที่ยงตรงได้โดยใช้สารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐานได้
2 ค่า อาจต้องเลือกว่าจะใช้ pH 7 กับ pH 4 หรือ pH 7 กับ pH 10
การจะเลือกใช้สารละลายคู่ใดขึ้นกับสารละลายที่เราต้องการวัดว่ามีค่า pH
อยู่ในช่วงไหน เช่น ถ้าสารละลายที่เราต้องการวัดมีค่า pH ประมาณ 6.5
ควรเลือกใช้สารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐาน pH 7 และ pH 4
- pH ของสารละลายขึ้นกับอุณหภูมิภายในเครื่อง ดังนั้นเครื่อง pH
มิเตอร์จึงมีปุ่ม temperature หรือ temperature compensation
สำหรับแก้ไขความผิดพลาดเนื่องจากการเปลี่ยนความไวของกระเปาะ
ซึ่งความไวนี้จะขึ้นกับอุณหภูมิของเครื่อง
เครื่องบางชนิดสามารถปรับอุณหภูมิได้โดยอัตโนมัติ
แต่บางชนิดต้องวัดอุณหภูมิของสารละลายด้วยเทอร์โมมิเตอร์ก่อนแล้วนำค่าอุณหภูมิมาปรับในเครื่อง
pH มิเตอร์อีกที การวัด pH
ของสารละลายตัวอย่างให้ถูกต้องจะต้องปรับอุณหภูมิของเครื่องให้เท่ากับอุณหภูมิของสารละลายที่จะวัด
แต่อาจไม่สะดวกในการปฏิบัติจริง
ในขณะปรับความเที่ยงตรงของเครื่องโดยใช้บัฟเฟอร์
จึงควรปรับอุณหภูมิของเครื่องให้เท่ากับอุณหภูมิของสารละลายที่จะวัด
- ปัจจัยที่มีผลต่อความถูกต้องของกระเปาะ ในการใช้ pH มิเตอร์ ความชื้น
ความสะอาดของสภาพแวดล้อม และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
มีผลต่อความเที่ยงตรงของค่าที่วัดได้
เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อกระเปาะของเครื่อง
- อายุการใช้งานของกระเปาะ กระเปาะของ pH มิเตอร์มีอายุการใช้งานจำกัด
ถ้าเป็นกระเปาะแบบที่เปลี่ยนสารละลายข้างในไม่ได้ แต่เราต้องใช้เครื่องวัด pH
ทุกวัน โดยมีการดูแลรักษาอย่างดี จะสามารถใช้งานได้นานที่สุดประมาณ 18 เดือน
เมื่อกระเปาะหมดอายุ ถ้าเป็นเครื่อง pH
มิเตอร์ที่เปลี่ยนกระเปาะได้ก็ควรเปลี่ยนทันที
แต่ถ้าเป็นเครื่องที่เปลี่ยนกระเปาะไม่ได้ อาจต้องเปลี่ยนเครื่อง pH
มิเตอร์ใหม่
- ความละเอียดและความถูกต้อง ขึ้นกับคุณภาพเครื่องและส่วนประกอบของกระเปาะ
ยิ่งเครื่องสามารถอ่านได้ละเอียดและถูกต้องมากเท่าไรราคาก็จะยิ่งสูง
สำหรับการใช้ในสวนหรือโรงเรือน ควรเลือกเครื่องที่สามารถอ่านได้ถูกต้องตั้งแต่
2 ถึง 12 หลักก็เพียงพอ
- แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ที่ใช้กับเครื่องจะต้องไม่เสื่อมคุณภาพจึงจะอ่านค่าได้อย่างถูกต้อง
เมื่อใดที่เครื่องแสดงอาการว่าแบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที
การยืดอายุแบตเตอรี่ทำได้โดยปิดเครื่องทันทีที่ใช้งานเสร็จ
- หน้าปัดบอกค่าที่อ่านได้ ควรเลือกแบบที่เป็นค่าดิจิทอล (digital)
เพราะจะมีความเที่ยงตรงและสามารถอ่านได้ง่ายในทุกสภาพแวดล้อม
- มีน้ำยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะต้องใช้ร่วมกับเครื่อง pH มิเตอร์ให้พร้อมอยู่เสมอ ได้แก่ สารละลายบัฟเฟอร์มาตรฐาน pH 7 และ 4 น้ำกลั่น เทอร์โมมิเตอร์ กระดาษทิชชู และกระเป๋าใส่เครื่องที่สามารถกันกระเทือนได้
เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่อง pH มิเตอร์ ควรดูแลรักษาดังนี้
- ควรตรวจสภาพเครื่องเป็นระยะๆ ตามวิธีที่ระบุในคู่มือ
- ต้องให้กระเปาะของเครื่องมีความชื้นตลอดเวลา โดยใส่น้ำกลั่นในฝาครอบ ครอบไว้ตรงปลายกระเปาะตลอดเวลา ถ้าเป็นกระเปาะชนิดไม่มีฝาครอบ ควรใช้สำลีชุบน้ำกลั่นครอบตรงปลายกระเปาะไว้ แล้วคลุมด้วยผ้าพลาสติก ถ้าปลายกระเปาะไม่มีความชื้นสารละลายในกระเปาะจะแห้งอย่างรวดเร็ว ทำให้กระเปาะเสื่อมคุณภาพใช้งานไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเปาะชนิดที่เติมสารละลายใหม่ไม่ได้
- หลังใช้เครื่องแล้วต้องล้างกระเปาะให้สะอาดด้วยน้ำกลั่นทุกครั้ง เพราะถ้าไม่สะอาดอาจทำให้เกิดคราบเกลือจากสารละลายที่วัด pH เกาะตามปลายกระเปาะ ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดได้
- ต้องอบอุ่นเครื่องก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อให้อ่านค่าได้ถูกต้องแม่นยำ เวลาในการอบอุ่นเครื่องขึ้นกับชนิดและยี่ห้อของเครื่อง แต่ส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
- เมื่อเปิดเครื่องใหม่ทุกครั้ง ต้องปรับเครื่องให้เที่ยงตรงตามวิธีที่ระบุไว้ โดยทำหลังจากอบอุ่นเครื่อง จะทำให้อ่านค่าได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
- อย่าเก็บ pH มิเตอร์ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป เช่น ทิ้งไว้ในที่ที่มีแสงจัดตลอดเวลา แสงและอุณหภูมิสูงจะมีผลต่ออุปกรณ์ภายในเครื่อง ทำให้วัดคลาดเคลื่อนได้
- ต้องตรวจสอบแบตเตอรี่อยู่เสมอ เมื่อใดที่ตัวเลขบนหน้าปัดซีดจาง หรือแกว่ง ต้องตรวจแบตเตอรี่ ถ้าเสื่อมคุณภาพต้องเปลี่ยนทันที
- กระเปาะวัด pH มีอายุใช้งานจำกัด เมื่อกระเปาะเสื่อมคุณภาพต้องเปลี่ยนทันที ถ้าใช้เครื่องชนิดที่เปลี่ยนกระเปาะไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนเครื่อง
- เครื่องวัดค่า EC ของสารละลาย การวัดปริมาณเกลือในสารละลายจะใช้เครื่อง EC มิเตอร์ ซึ่งค่า EC จะผันแปรตามอุณหภูมิ จึงกำหนดเป็นมาตรฐานที่จะต้องระบุค่าการนำไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 25° C แต่ถ้าอุณหภูมิของสารละลายที่ต้องการวัดแตกต่างไปจากนี้ จะต้องใช้การคำนวณเพื่อเปลี่ยนค่าที่วัดได้ที่อุณหภูมิใดๆ มาเป็นค่าที่ 25° C EC มิเตอร์ในปัจจุบันมักจะสามารถปรับค่าไปที่ 25° C ได้โดยอัตโนมัติ แต่ผู้ใช้จะต้องปรับอุณหภูมิของเครื่องให้ตรงกับอุณหภูมิของสารละลายก่อน
»
ประวัติความเป็นมา
»
การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ในต่างประเทศ
»
การปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ในประเทศ
»
ข้อดีและข้อเสียของการปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปรนิกส์
»
ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชที่ปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์
»
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
»
เทคนิคการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์
»
ระบบการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์
» สารละลายธาตุอาหาร
»
การใช้เครื่อง EC มิเตอร์
»
วัสดุและภาชนะปลูก
»
การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ในภาคตะวันตก
»
การศึกษาวิจัย
»
การผลิตพืชผักเชิงพาณิชย์
»
เงื่อนไขในการผลิตพืชแบบไฮโดรโปนิกส์เชิงพาณิชย์
»
ต้นทุน-ผลตอบแทน
»
การตลาด
»
ความรู้ของเกษตรกร
»
ผู้บริโภคและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
»
ประโยชน์ของการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ต่อการเกษตรไทยในอนาคต