เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การผลิตเมล็ดพันธุ์ผัก
การปลูกแตงกวาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์
การเลือกพื้นที่ปลูก
ควรเป็นแปลงที่ไม่เคยปลูกแตงกวาและผักกาดตระกูลแตงมาก่อน แต่ถ้าเคยปลูกมาก่อนก็ควรจะมีการปลูกพืชอื่นหมุนเวียนเพื่อป้องกันโรคและแมลงระบาด การปลูกแตงกวาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์จะต้องปลูกห่างจากแตงกวาพันธุ์อื่น ๆ และแตงร้านไม่น้อยกว่า 500 เมตร ถ้าหาพื้นที่ไม่ได้ก็ใช้วิธีปลูกก่อนอย่างน้อย 1 เดือน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการผสมข้ามพันธุ์ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้
ฤดูปลูกที่เหมาะสม
ควรปลูกในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม เก็บเมล็ดพันธุ์ประมาณเดือน มีนาคม
ปลูกในพื้นที่ ๆ มีแหล่งน้ำ เช่น ในเขตชลประทาน
การเตรียมดิน
หลังไถพรวนแล้ว ไถหรือขุดดินขึ้นเป็นแปลงปลูกให้ลึก 25-30 เซนติเมตร (หว่านปูนขาวถ้าพบว่าดินเป็นกรด) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่าและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ คลุกปุ๋ยให้เข้ากับดินแล้วขึ้นแปลงปลูกกว้าง 100-110 เซนติเมตร และให้มีทางเดินซึ่งใช้เป็นทางปล่อยน้ำกว้าง 50 เซนติเมตร
การปลูก
ปลูกแบบแถวคู่บนแปลง ระยะห่างระหว่างแถว 75-80 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร โดยหยอดเมล็ด 3-4 เมล็ดต่อหลุม ก่อนหยอดเมล็ดควรนำมาแช่น้ำที่มีสารเคมีป้องกันโรคราน้ำค้าง เช่น ริโดมิลเอ็มแซดประมาณ 3-4 ชั่วโมงก่อนปลูกเพื่อให้เมล็ดดูดน้ำจนพองจะช่วยป้องกันการเข้าทำลายของโรคราน้ำค้าง หยอดเมล็ดลึก 1 เซนติเมตร เกลี่ยดินกลบแล้วโดยหน้าหลุมด้วยสารเคมีกำจัดแมลงชนิดเม็ดดูดซึม เช่น ฟูราดาน คูราแทร์หรือเดทพารอน เพื่อป้องกันแมลงที่ชอบเข้าทำลายในระยะแรก เช่น มด เต่าแดงและแมลงปีกแข็งอื่นๆ จากนั้นจึงปล่อยน้ำเข้าแปลง แล้วตักรดบริเวณหลุมที่ปลูก อย่าให้น้ำท่วมแปลงเพราะจะทำให้หญ้าขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 14 วัน ต้นจะงอกก็ทำการถอนแยกให้เหลือ 1 ต้น ต่อหลุม
การปักค้าง
เมื่อแตงกวาอายุได้ 14-20 วัน
ควรปักค้างเป็นกระโจมโดยใช้ไม้ไผ่หรือแขนงไผ่ปักขอบแปลงด้านนอกของหลุมปลูก
เพราะเมื่อแตงกวาอายุได้ประมาณ21 วัน จะเริ่มเลื้อย
แต่การปลูกแตงกวาในฤดูแล้วอาจจะไม่ต้องขึ้นค้างก็ได้เพื่อลดต้นทุนการผลิต
การให้น้ำ
กรณีให้น้ำแบบปล่อยตามร่องจะให้ตามความจำเป็นโดยดูจากความชื้นของดินเป็นหลักประมาณ
3-5 วัตต่อครั้ง ควรระมัดระวังอย่าให้น้ำท่วมแปลงเพราะจะทำให้วัชพืชขึ้น
โดยในระยะแรกตั้งแต่ปลูกถึงออกดอก
ควรใช้วิธีตักน้ำที่ไหลในร่องรดบริเวณหลุมปลูกหลังจากนี้นจึงค่อยปล่อยให้น้ำตามร่อง
การกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย
จะทำพร้อมกันโดยแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง คือ
- ครั้งที่ 1 หลังจากปลูกได้ 14 วัน ทำการกำจัดวัชพืชพร้อมกับถอนแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุมแล้วใส่ปุ๋ยสูตร 21-0-0 จำนวน 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 46-0-0 จำนวน 25 กิโลกรัมต่อไร่
- ครั้งที่ 2 หลังใส่ปุ๋ยเสริมครั้งแรก 14 วันหรือหลังปลูก 28 วัน กำจัดวัชพืชครั้งที่ 2 แล้วใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 50 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ควรให้ปุ๋ยเสริมทางใบสูตร 15-30-15 ร่วมกับธาตอาหาร รอง เช่น ยูนิเลท มัลติไมโคร โทน่า บีพลัส แคลเลทบี หรือดิซ ฉีดพ่นพร้อมกับสารเคมีป้องกันกำจัดดรคและแมลงทุกครั้งหลังจากใส่ปุ๋ยเสริมครั้งแรกเป็นต้นไปเพื่อป้องกันการขาดธาตอาหาร โดยเแฑาะธาตุรอง เช่น โบรอน และแมกนีเซี่ยม เป็นต้น
การไว้ผลเพื่อเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์
ในการผลิตเมล็ดพันธุ์แตงกวาเพื่อให้ได้เมล็ดที่สมบูรณ์ควรไว้ผลไม่เกิน 5 ผลต่อต้น โดยเกษตรกรสามารถเก็บผลสดบางส่วนไปขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง และเมื่อแตงกวาเริ่มติดผลอ่อนจะต้องตรวจคัดต้นที่มีพันธุ์อื่นปะปนทิ้ง โดยสังเกตจากสีของผลที่ผิดปกติ
ปัญหาการติดผลและติดเมล็ด
การที่ต้นแตงกวาติดผลน้อยเพียง 1-2 ผลต่อต้นและติดเมล็ดไม่ดีนั้น อาจะมีสาเหตุเนื่องมาจากต้นแตงกวามีดอกตัวเมียน้อยแต่มีดอกตัวผู้มาก ซึ่งเกิดจากสภาพที่มีอุณหภูมิสุง มีช่วงกลางวันยาวมักพบในกรณีที่ปลูกในฤดูร้อนช่วงเดือนพฤษภาคม หรืออาจจะเกิดจากการผสมเกสรที่ไม่ดีเพราะไม่มีแมลงที่ช่วยผสมเกสร เช่น ผึ้ง อยู่ในบริเวณที่ปลูก หรือมีการใช้สารเคมีกำจัดแมลงอย่างไม่ระมัดระวังในช่วงผสมเกสร ทำให้ผึ้งถูกฆ่าไปด้วย
วิธีการป้องกันก็คือ เลือกช่วงเวลาปลูกให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดแมลงที่เป็นอันตรายต่อผึ้งในช่วงออกดอกและผสมเกสร ฉีดพ่นสารเคมีในช่วงที่ผึ้งไม่ออกผสมเกสรซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาบ่าย ๆ รวมทั้งมีการตรวจรอบๆ บริเวณแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ว่ามีผึ้งอยู่หรือไม่ โดยสังเกตจากพืชอื่น ๆ ที่ออกดอกอยู่ใกล้เคียงว่ามีผึ้งออกมาช่วยผสมเกสรหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จำเป็นที่จะต้องเลี้ยงผึ้งหรือติดต่อให้เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงผึ้งนำรังผึ้งมาเลี้ยงในบริเวณใกล้เคียง
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญ
โรคที่สำคัญของแตงกวา
1. โรคราน้ำค้างหรือโรคใบลาย
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา Peronospora cubensis
ลักษณะอาการ เริ่มเป็นจุดสีเหลืองบนใบ
ต่อมาแผลจะขยายออกเป็นสี่เหลี่ยมในระหว่างเส้นใบ ถ้าเป็นมากๆ
จะลุกลามไปทั้งใบทำให้ใบแห้งตาย
ในตอนเช้าที่มีหมอกและน้ำค้างลงจัดหรือช่วงหลังฝนตกติดต่อกันทำให้มีความชื้นสูงในบริเวณปลูกจะพบว่าใต้ใบตรงตำแหต่งของแผลจะมีเส้นใยสีขาวเกาะเป็นกลุ่มและมีสปอร์เป็นผงสีดำ
การป้องกันกำจัด ก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดแตงกวาด้วยสารเคมีเอพรอนหรือริโดมิลเอ็มแซด หรือนำเมล็ดมาแช่สารเคมีที่ละลายน้ำและควรฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ริโดมิลเอ็มแซด ดาโคนิล อลิเอท หรือวามีนเอส สลับกันเพื่อป้องกันการดื้อสารเคมีของเชื้อสาเหตุ
2. โรคใบด่าง
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส Cucumber mosaic virus
ลักษณะอาการ ใบด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนหรือด่างเขียวสลับเหลือง
เนื้อใบตะปุ่มตะป่ำมีลักษณะนูนเป็นระยะ ๆ ใบหงิกเสียรูปร่าง
การป้องกันกำจัด ในปัจจุบันยังไม่มีการใช้สารเคมีหรือวิธีการใด ๆ ที่จะลดความเสียหายเมื่อเกิดการระบาดของโรคนี้ ดังนั้นวิะที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เช่น เลือกแล่งปลูกที่ปลอดจากเชื้อไวรัส อาจทำใได้โดยเลือกแหล่งปลูกที่ไม่เคยปลูกผักตระกูลแตงมาก่อน และทำความสะอาดแปลงปลูกพร้อมทั้งบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดไม่ให้เป็นที่อาศัยของเชื้อและแมลงพาหะ
3. โรคผลเน่า
สาเหตุ เกิดจาก
- เชื้อพิเทียม (Phythium spp.)
- เชื้อไรช็อกโทเนีย ( Rhizoctonic Solani)
- เชื้อโบทริทัส (Botrytis cinerea)
ลักษณะอาการ มักเกิดกับผลที่สัมผัสดิน และผลที่แมลงกัดหรือเจาะทำให้เกิดแผล
จะพบมากในสภาพที่เย็นและชื้น
กรณีที่เกิดจากเชื้อพิเที่ยมจะเป็นแผลฉ่ำน้ำเริ่มจากส่วนปลายผล
ถ้ามีความชื้นสูงจะมีเส้นใยฟูสีขาวขึ้นปกคลุม กรณีที่เกิดจากเชื้อไรช็อกโทเนีย
จะเป็นแผลเน่าฉ่ำน้ำบริเวณผิวของผลที่สัมผัสดิน
แผลจะเปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนเป็นสีน้ำตาลแก่และมีรอยแกของแผลด้วย
ส่วนกรณีที่กิดจากเชื้อ โบทริทัสนั้น
บริเวณส่วนปลายของผลที่เน่าจะมีเชื้อราขึ้นปกคลุม
การป้องกันกำจัด ทำลายผลที่เป็นโรค อย่าให้ผลสัมผัสดินและป้องกันไม่ให้ผลเกิดบาดแผล
4. โรคราแป้ง
เชื้อสาเหตุ เกิดจากเชื้อดออยเดียม Oidium sp.
ลักษณะอาการ
มักเกิดที่ใบล่างก่อนในระยะที่ผลโตแล้วโดยจะพบราสีขาวคล้ายผลแป้งปกคลุมอยู่เป็นหย่อม
ๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนใบ
เมื่อการรุนแรงจะพบเชื้อราปกคลุมเต็มผิวใบทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วแห้งตาย
การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมี เช่น เบนเลท เดอโรซาล หรือบาวิสติน ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาด
แมลงศัตรูที่สำคัญของแตงกวา
1. เพลี้ยไฟแตงโม
เป็นแมลงขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลแก่ พบตามยอดใบอ่อน ดอกและผลอ่อน
การทำลาย จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอกอ่อน
และยอดอ่อนทำให้ใบม้วนหงิกงอเป็นกระจุกผิดรูปร่าง มีสีขีดสลับเขียวเป็นทาง
ระบาดมากในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้ง เช่น
มีควาวมชื้นในอากาศต่ำแลชะระบาดไม่ได้จะทำให้การปลูกแตงกวาไม่ได้ผลเลย
การป้องกันกำจัด
- การรดน้ำโดยใช้บัวรดหรือฉีดด้วยสายยางให้น้ำเป็นฝอยโดนยอด ตอนเช้าและตอนเย็น รวมทั้งการรักษาความชื้นบริเวณแปลงปลูกจะช่วยลดปัญหาของเพลี้ยไฟลงได้
- ใช้สารเคมีกำจัดแมลงประเภทคาร์โบฟูราน ได้แก่ ฟูราดาน 3 จี หรือ คูราแทร์ 3 จี ปริมาณ 1 ช้อนชาต่อหลุม ใส่พร้อมกับการหยอดเมล็ดจะป้องกันได้ประมาณ 2 สัปดาห์
- กรณีที่เริ่มมีการระบาดให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลง ได้แก่ พอสซ์ เมชูโรล แลนเนท ไดคาร์โซล ออลคอล อะโซดริน โตกุไทออนหรือทามารอน เป็นต้น และการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดนั้นควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ใบอ่อนที่ถูกดูดน้ำเลี้ยงไหม้ได้
2. เพลี้ยอ่อน
เป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวคล้ายผลฝรั่ง มีท่อเล็ก ๆ
ยื่นยาวออกไปทางส่วนท้ายของลำตัว 2 ท่อ เป็นแมลงปากดูด ตัวอ่อน มีสีเขียวอ่อน
ตัวแก่สีดำและมีปีก
การทำลาย จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อน ทำให้ใบม้วนต้นแคระแกร็น
และยังเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสด้วย มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง
โดยมีมดเป็นตัวนำพาเพลี้ยอ่อน
การป้องกันกำจัด ใช้วิธีเดียวกับการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ
3. ไรแดง
ไม่ได้เป็นแมลงแต่เป็นสัตว์ที่มี 8 ขา มีขนาดเล็กมากมองเห็นเป็นจุดสีแดง
การทำลาย จะดูดน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อนทำให้ใบเป็นจุดด่างมีสีซีด
จะอาศัยอยุ่ใต้ใบและเข้าทำลายร่วมกับเพลี้ยไฟและเพลี้ยอ่อน
มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง
การป้องกันกำจัด การรดน้ำโดยใช้บัวหรือฉีดด้วยสายยางให้น้ำเป็นฝอยโดนยอดตอนเช้าและตอนเย็นรวมทั้งการรักษาความชื้นบริเวณแปลงปลูกจะช่วยลดปัญหาของไรแดงลงได้ กรณีที่เริ่มมีการระบาดให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลง ได้แก่ เดลเทน ไตรไทออน หรือโดไมท์ เป็นต้น
4. เต่าแตงแดงและเต่าแตงดำ
เป็นแมลงปีกแข็งปีกขนาดเล็กยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร มีสีส้มแดงและสีดำเข้ม
อาศัยอยู่ตามกอข้าวที่เกี่ยวแล้วในนาหรือตามกอหญ้า
การป้องกันกำจัด ควรทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลงรวมทั้งเศษซากแตงกวาหลังการเก็บเกี่ยว หรือใช้สารเคมีฉีดพ่น ได้แก่เซฟวิน คาร์โบน๊อกซี-85 หรือไบดริน หรือใช้สารเคมีชนิดเม็ด เช่น ฟูราดาน 3 จี หรือคูราแทร์ 3 จี ใส่ลงไปในหลุมปลูกพร้อมกับการหยอดเมล็ด จะป้องกันเต่าแตงได้ประมาณ 2 สัปดาห์
5. หนอนกินใบแตงและหนอนไถเปลือกหรือหนอนเจาะผล
หนอนกัดกินใบแตง มีรูปร่างเรียวยาวประมาณ 2 เซนติเมตร สีเขียวอ่อน
ตรงกลางสันหลังมีเส้นแถบสีขาวตามยาว 2 เส้น
เมื่อตัวเต็มวัยจะเป็นผีเสื้อที่มีปีกโปร่งใสตรงกลาง ส่วนหนอนเจาะผลมีขนาดใหญ่กว่า
ลำตัวยาวสีเขียวอ่อนถึงสีน้ำตาลดำ มีรอยต่อปล้องชัดเจน
การทำลาย จะกัดกินใบ ไถเปลือกเป็นแผลและเจาะผลเป็นสาเหตุให้โรคอื่น ๆ
เข้าทำลายต่อได้ เช่น ดรคผลเน่า
การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น อโซดริน แลนเนททามารอน โตกุไออน หรือ อะโกรน่า เป็นต้น
การทำเมล็ดพันธุ์แตงกวา
นำผลแตงกวาที่สุกแก่จัด และเปลือกผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วมาผ่าผลออกและใช้ช้อนตักไส้แตงกวาที่เป็นเมล็ดและอยู่ตรงกลางผลใส่ในถุงพลาสติกหรือใส่ถังพลาสตวิก หมักทิ้งไว้ 1 คืน (โดยไม่ต้องใส่น้ำผสมลงไป) เพื่อให้เมือกหุ้มเมล็ดแตงกวาหลุดออกจากเมล็ดได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นนำเมล็ดที่ผ่านการหมักมาล้างน้ำสะอาดเพื่อช่วยให้เมือกลื่น ๆ หลุดออกจากเมล็ด่ให้หมดและล้างเมล็ดแตงกวาจนเปลือกนอกหุ้มเมล็ดสะอาดดีแล้วจึงนำเมล็ดมาตากแดด โดยนำเมล็ดวางบนกระดาษหนังสือพิมพ์หรือบนฝ้าตาข่ายไนล่อน (ห้ามตากเมล็ดบนลานซีเมนต์หรือบนสังกะสีโดยตรงเพราะเมล็ดจะตายนึ่งได้) และควรเก็บเมล็ดเข้าที่ร่มในตอนกลางคืนเพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์เปียกน้ำค้าง ทำการตากเมล็ดวิธีนี้ประมาณ 5-7 วัน จนเมล็ดพันธุ์แห้งดีแล้ว จากนั้นนำเมล็ดมาฝัดในกระจาดเพื่อคัดเมล็ดลีบออก แล้วบรรจุใส่ถุงพลาสติกหรือกระสอบที่สะอาดเก็บไว้ใช้ทำพันธุ์หรือรอจำหน่ายต่อไป
»
หลักการผลิตเมล็ดพันธุ์ผัก
»
การผลิตเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน
»
การปลูกข้าวโพดหวานเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์
»
การปลูกผักกาดหอมเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์
» การปลูกแตงกวาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์