ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
เสขิยวัตรพระกรรมฐาน
เสขิยวัตรพระกรรมฐาน เมื่อออกเดินธุดงค์ของสมเด็จพระสังฆราช สุก ไกเถื่อน วัดราชสิทธาราม (พลับ)
บุพกิจเบื้องต้นเมื่อจะออก ธุดงค์นั้น ให้เตรียมย้อมจีวรสีกลัก เตรียมถุงย่ามใส่บาตร เตรียมกลด มุ้งกลด และไม้เท้าสำหรับใช้ยันขึ้นเนินเขา
เมื่อจะออกรุกขมูลเข้าป่า ต้องชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์เสียก่อน มีการแสดงอาบัติเป็นต้น รักษาจิตให้ปราศจานิวรณธรรม มีกามฉันท พยาบาท ถีนมิทธ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา และต้องมี
๑.อาตาปี มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
๒.ปหิตตโต มีตนส่งไปแล้ว
๓.อารัทวิริโย มีความเพียรปรารภแล้ว
๔.อุรัง ทัตวา พุทธสาสเน คือ มอบชีวิตจิตใจให้กับพระพุทธศาสนา ด้วยสติสังวร
สมาทาน ธุดงค์
เมื่อจะออกเดินธุดงค์นั้น ท่านให้สมาทานธุดงค์ก่อน การถือธุดงค์นี้สำเร็จด้วยการสมาทาน ด้วยการอธิษฐานใจ หรือเปล่งวาจา คำสมาทาน ต่อหน้า องค์พระปฏิมา หรือ พระอาจาริย์ผู้บอกกรรมฐา หรือสมาทานเองก็ได้ ธุดงค์นั้นมี ๑๓ ข้อ โดยมากพระที่ออกเดินรุกขมูลธุดงค์นั้นจะเลือกสมาทานเพียง ๒ หรือ ๓ อย่างเท่านั้น คือ สมาทานจีวรสามผืน หรือสมาทานเที่ยวบิณบาตรเป็นวัตร หรือฉันในบาตรเป็นวัตร
๑.สมาทานเตจิวรกังคะ ว่าจตุตถจีวรัง ปฏิกขิมามิ เตจีวริกังคัง สมาทิยามิ
เรางดจีวรผืนที่ ๔ เสีย สมาทานองค์ผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตร
๒.สมาทานปิณฑปาติกังคะ ว่า อติเรกลาภัง ปฏิกขิปามิ ปิณฑปาติกังคัง สมาธิยามิ
เรางดอดิเรกลาภเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือ เที่ยวบิณทบาตรเป็นวัตร
เมื่อออกเดินธุดงค์
๑.เมื่อถือกลดแบกให้ว่า นะโม ๓ จบ แล้วว่า อิมัง ฉัตตัง ธาตุมัตตะกัง
ปฏิคคัณหามิ ๓ จบ
๒.ถือไม้เท่าให้ว่า อิมัง อภยฑณฑัง ธาตุมัตตะกัง ปฏิคคัณหามิ ว่า ๓ จบ
วัตรเมื่อถึงราวป่า
ระหว่างที่สะบายบาตร แบกกลด เมื่อถึงราวป่าให้สวด ดังนี้
ปณิธานโต ปัฏฐายะ ตถาคตัสสะ ทส ปรามีโย ทส อุปปารีโย ทส ปรมัตถปารมีโย ปัญจมหาปริจจาเค ตัสโสจริยา ปัฉิมัพภะ เวคัพภาวิกกินติง ชาตง อภินักขมนัง โพธิบัลลังเก มารชิชยัง สัพพัญญูตญา รัปปฏิเวธัง นวโลกุตรธัมเมหิ สัพเพปิเณพุทธคุเณ อาวัชชิตวา เวสาลิยา ติงสุ ปาการันตะเรสุ ติยามะรัตติงปริตตัง กโรนโต อา ยัสมา อานันทัตเถโร วิย การุญญจิตตัง อุปัฏฐเปตตวาโกฏิสะตะสะหัสเสสุ จักวาเรสุ เทวดา ยัสสาฌัมปฏิคันหันติ ยัณจะ เวสาริยัมปุเร โรคามนุสสะทุพภิกขสัมภูตินติวิธโภคัง ขิปปมันตรธาเปสิ ปริตตันตัม ภะนามะเห
เราทั้งหลายจงตั้งจิตอันประกอบไปด้วยกรุณา ในสัตว์ทั้งหลาย ดังพระอานนท์ผู้มีอายุ นึกถึงพระพุทธคุณทั้งหลายแม้ทั้งปวง ของพระตถาคตเจ้า จำเดิมแต่ปรารภณาพุทธภูมิมา คือ บารมี ๑๐ ทัศ อุปบารมี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ มหาบริจาค ๕ จริยา ๓ เสด็จลงสู่คัพโภทรในภาพมีในที่สุด ประสูติ ออกอภิเนษกรมณ์ บำเพ็ยทุกขกิริยา ชนะมาร ตรัสรู้พระสัพพัญญตญาณ ณ โพธิบัลลังค์นวโลกุตร ๙ ประการ ดังนี้ แล้วกระทำพระปริต ตลอดราตรีทั้ง ๓ ยามในภายในกำแพงเมืองสามชั้น ในเมืองเวสาลี เทวดาทั้งหลายในแสนโกฏจักรวาลย์ ย่อมรับเอาแม้ซึ่งอาญาแห่งพระปริตอันใด
อนึ่งพระปริตอันใด ยังภัยสามประการอันเกิดจาก โรค อมนุส และข้าวแพงในเมืองเวสาลีให้อันตรธานไปโดยเร็วพลัน เราทั้งหลายจงสวดพระปริตนั้น (จบปณิธานโต ฯ แล้วสวด กรณีเมตตสูตร)
กรณีเมตตสูตร
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา
รัสสะกา อะณุกะถูลา
ทิฎฐา วา เย จะ อะทิฎฐา เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
พยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
ติฏฐิญจะรัง นิสินโน วา สยาโน วา ยาวตัสสะวิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
ทิฏฐินจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะหิ ชาตุ คัพภะเสยยังปุนะเรตีติ
อรหันต ๘ ทิศ
พุทโธ จะ มัชฌิโม เสฏโฐ สาริบุตโต จะ ทักขิเณ
ปัจฉิเม ปิจะ อานันโท อุตตะเร โมคคัลลานะ โก
โกณทัญโญ ปุระภาเค จะ พายัพเพ จะ คะวัมปะติ
อุปาลี หะรรติฏฐาเน อาคะเณยเย จะ กัสสะโป
ราหุโลเจวะ อีสาเณ สัพเพเต พุทธธมังคะลา
โย ญัตตะวา ปูชิโตโลเก นิทุกโข นิรุปัททะโว
มะหาเทโว มะหาเตโช ชะยะโสตถี ภะวันตุเม ฯ
จบบทสวด อรหันต์ แปดทิศ คุ้มอุปัทว เหตุร้ายทุกประการ แล้ว สวดพระคาถา พระพุทธเจ้า
๑๐ ทิศ
พระคาถาพระพุทธเจ้าสิบทิศ
ปทุมุตตะโร จะ ปุระพายัง อาคะเณยเย จะ เรวะโต
ทักขิเณ กัสสะโป พุทโธ หะระติเย จะ สุมังคะโล
ปัจฉิเม พุทธะสิขี จะ พายัพเพ จะ เมธังกะโร
อุตตะเร สากะยะมุนี เจวะ อิสาเณ สะระณังกะโร
ปะถะวียัง กุกกุสันโธ อากาเส จะ ทีปังกะโร
เอเต ทะสะทิศา พุทธา ราชะธัมมัสสะ ปูชิตา
นิตถิ โรคภะยัง โสกัง เขมังสัมปัตติทายะกัง
ทุกขะโรคะ ภะยัง นัตถิ สัพพะสัตรู วิธังเสนตุ
เต สัญญาเณนะ สังยะเมนะ ทะเมนะ จะ
เตปิ มัง อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
อะนาคะตัสสะ พุทธัสสะ เมตเตยยัสสะ ยัสสะสิโน
มะหาเทโว มะหาเตโช สัพพะโสตถี ภะวันตุเม ฯ
พระคาถาพระพุทธเจ้า ๑๐ ทิศ ใช้กันภัยในทิศต่างๆ ตลอดจนบนอากาศ และในพื้นดิน ล้วนมีเทพประจำ พระคาถานี้ พระสงฆ์ที่ออกสัญจรจาริกธุดงค์ ใช้สวดกัน เพื่อคุ้มภัยอันตราย และ เสนียดจัญลัย อันพึงบังเกิดมีมาแต่ทิศต่างๆได้ ใช้คู่กันกับพระคาถา อรหันต์แปดทิศ ใช้ทำน้ำมนต์ก็ได้ อาบกินเกิดสวัสดิมงคล
ปักกลด กางกลด ผูกสายกลดเรียบร้อยแล้ว ปูผ้านิสิทนะ ภายในกลดแล้วให้นั่งภาวนาดังนี้
อิมัสสมิง ฐาเน, สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ, สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ, สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ} สัพเพ ตตา สุขอัตตานัง ปริหรันตุ, สุขีๆ ๓ ครั้ง
แล้วภาวนาอีกว่า อิมัสสมิง เสนาสเน, สัพเพ สัตตา สุขิตาโหนตุ, สัพเพ สัตตา อเวรา
โหนตุ, สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ, สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ , สัพเพ สัตตา สุขี
อัตตานัง ปริหรันตุ, สุขีๆ ๓ ครั้ง
บทนี้เมื่อจะแผ่ ผู้แผ่ต้องมีเมตตาจิตถึงขั้นอัปนาสมาธิ ใช้ภาวนาได้ในที่ทุกสถาน
ในทางที่ไปในทางที่มา ที่นั่ง ที่นอน เป็นปฏิปทา ห่างจากรรมเวรทั้งปวง เป็นอุบาย
ป้องกันอารมณ์ชั่วร้ายออกจากจิตต์ จิตต์ห่างจากเครื่องเร่าร้อน จิตต์
เป็นธรรมชาติกลางๆ ประกอบอยู่ใน กองการกุศลกรรมทุกเมื่อ
วัตรเมื่อออกบิณฑบาตร
เมื่อมีทายกญาติโยม มาตักบาตร ให้ภาวนาว่า
สัพเพ มัยหังบิณฑปาตทานทายกัสสะ, อเวรา โหนตุ , อนีฆา โหนตุ, สุขีอัตตานัง
ปริหรันตุ,สุขี ๆ ๓ ครั้ง
เมื่อตกแต่งอาสนะปูลาดดีแล้ว พร้อมทั้งน้ำใช้น้ำฉัน เสร็จแล้วให้ว่า
อิมัง ปิณฑปาตังนานารสโภชนอาหารัง สัมมาสัมพุทเธนะ มัยหังทิเน (ว่า ๓ ครั้ง)
ก่อนฉัน ให้ว่า
ปฏิสังขาโย นิโสปิณฑปาตัง ปฏิเสวามิ เนวะ ทวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑนายะ นะ
วิภูสะนายะ ยาวะ เทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายก วิหิงสุปะเรติยา พรหมะ
จริยานุคคะหายะ อิติ ปุรานัญจะ เวทนัง ปฏิหังขามิ นะวัญจะ เวทนัง นะ อุปปาเทศสามิ
ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อนะวัชขะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ
เมื่อตั้งสติด้วยอาการอย่างนี้แล้ว อาหารซึ่งปราณีต เลวทรามอย่างไรก็ดี
จะกลายเป็นประหนึ่งว่าของทิพย์เต็มทั้งบาตร หาพิษสงค์ อะไรมิได้
ด้วยอานุภาพพระคาถานี้
เมื่อฉันแล้วทายก ญาติโยม จะอยุ่ก็ตามไม่อยู่ก็ตาม ให้ว่า พระคาถา
อนุโมทนาด้วยทุกครั้ง
เมื่อถอนกลดจากที่เก่าไปที่อื่นให้รำพึงว่า
อารักขเทวดาทั้งหลาย ซึ่งสิงสถิตอยู่เหนือต้นไม้ หรืออากาศก็ดี ยักข์รากษส
หรือผีเสื่อน้ำ ปีศาจบกทั้งหลายก็ดี สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทุกรูปทุกนาม
ซึ่งอยู่ในดินแดนที่นี้ ออกไปโดยรอบตรงหน้าแห่งบริเวณป่าทั้งมวล
ที่ถึงแล้วซึ่งทุกข์ จงพ้นจากทุกข์ ที่มีสุข ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกรูปทุกนามเถิด
ฯ
ให้แผ่เมตตาไปว่า
สัพเพ สัตตา สุขตา โหนตุ ว่าไปจนได้เมตตาจิตต์ สงบสติอารมณ์ ได้
เมื่อออกเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
สมาทานต้นหนทางว่าโอกาสัง วันทามิ ภันเต โอกาสัง วันทิตวา ภันเต มัคเคฐิโต
อาปุจฉามิ
สมาทานเอาหนทางทั้งปวงในระหว่างเดินไป ภาวนาทำไว้ในใจว่า
อุทธัง อโธ จะ ตริยัญจะ อะสัมปาธัง อเวรัง อะสะปัตตัง ตัฏฐินจะรัง นิสินโนวา
สะยาโนวา ยาวะตัสสะวิคะตะมิทโธ
สัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องเฉียง เป็นธรรมอันไม่คับแคบ
ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี นั่งแล้วก็ดี
นอนก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงเพียงใด ให้ว่าต่อไปว่า
ทุกขัปปัตตา จะนิททุกขา ภยับปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน เตตวตา จะ
อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ถึงแล้วซึ่งทุกข์ จงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ และที่ถึงแล้วซึ่งภัย
จงเป็นผู้ไม่มีภัย ถึงแล้วซึ่งโศก จงเป็นผู้ไม่มีโศก