ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สมถะวิปัสสนา
มัคคาคัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
วิปัสสนาแห่งพระโยคาวจรเจ้า รู้ไปใสมรรคแลใช่มรรค ดังนี้ว่า ธรรมสิ่งนี้เป็นทางมรรคธรรมสิ่งนี้มิใช่ทางมรรค เป็นทางผิด ป่วยการลำบากเสียเปล่า อนึ่งรู้ไปในปัจจัยกำหนดมาแล้วนั้น และรู้สังขารธรรมประกอบในภูมิทั้ง ๓ และ ปรารภซึ่งเบญจขันธ์อันมีใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน แลย่อซึ่งรูปธรรมกลาป มัดฟ่อน (กอง)
เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ด้วยอรรถว่าแปรปรวนไป รู้สิ้นสุดไป
เป็น ทุกขัง มีทุกขเวทนา ด้วยอรรถว่ามีภัยพึงกลัว
เป็นอนัตตา สูญเปล่า ด้วยอรรถว่าหาแก่นสารมิได้
ในเบญจขันธ์อันจะสืบต่อไปสิ้นกาลช้านาน เมื่อพระโยคาวจารเจ้าพิจารณาเห็นซึ่งพระไตรลักษณะญาณ ด้วย สัมมสนญาณ ญาณกำหนดรู้โดยพระไตรลักษณะ
พระโยคาวจรกำหนดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม เป็นภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม มีในที่ใกล้ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้ เป็น สัมมสนญาณ อย่างหนึ่ง
กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง
กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้เป็น สัมมสนญาณอย่างหนึ่ง แลเห็นเกิดแล้วดับหาย
ด้วยอุทยัพพยญาณ รูปทที่เกิดแล้วเป็นปัจจุบัน ชาติแห่งรูปที่เกิดแล้วนั้น
มีความเกิดเป็นลักษณะ ความเสื่อม มีความแปรปรวนเป็นลักษณะ ปัญญาพิจารณาเห็นดังนี้
เรียก อุทยัพพยญาณ ก็เห็นด้วยสามารถรู้ซึ่งอันตราย คือ วิปัสสนูกิเลส
อันจะทำให้เศร้าหมอง แห่งวิปัสสนาญาณ ๑๐ ประการ คือ
๑.โอภาโส ให้เห็นแสงสว่างแจ่มใสงามรอบคอบ
๒.ญาณัง ให้บังเกิดญาณรู้เกินกว่าปรกติ
๓.ปีติ ให้เกิดความยินดีกว่าปกติ
๔.ปัสสัทธิ ให้สงบกายและระงับจิตกว่าปรกติ
๕.สุขัง ให้เป็นสุขมากกว่าปรกติ
๖.อธิโมกโข ให้มีอันทรีย์แก่กล้ากว่าปรกติ
๗.ปัคคโห ให้มีความเพียรมากกว่าปรกติ
๘.อุปัฏฐานัง ให้มีสติมากกว่าปรกติ
๙.อุเบกขา ให้มีจิตเป็นอุเบกขามัธยัสถ์มากกว่าปรกติ
๑๐.นิกันติ ให้มีตัณหารักใคร่ชอบใจในธรรมอันมิสมควร
เป็นอุปกิเลส ๑๐ เท่านี้ ถ้าพระวิปัสนาญาณแห่งพระโยคาวจรเจ้า รู้ซึ่งธรรมทั้งหลายอันเป็นทางมรรคและมิใช่มรรคเป็นแท้ฉะนี้ ชื่อว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ