ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

สมถะวิปัสสนา

โสดาปัตติมรรค

อาสวะเหล่านั้นคือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐิสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เป็นเหุตให้สัตว์ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะ แห่งโสดาปัตตอมรรคนี้

สกทาคมมิมรรค
อาสวะส่วนหยาบ ภวาสะ อวิชชาสวะ อันตั้งกันอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยสหทาคมิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่ง สหทาคามิมรรคนี้

อนาคามิมรรค
กามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอนาคามิมรรคนี้

อรหัตมรรค
ภวาสวะ อวิชชาสวะ ย่อมสิ้นไปไม่มีส่วนเหลือด้วยอรหัตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอรหัตมรรคนี้

ชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิแห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิฌาน

โสฬสญาณ ญาณ ๑๖

๑.นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดจำแนกรู้นาม รูป(ทฏิฐิ–วิสุทธิ)
๒.ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป (กังขาวิตรณวิสุทธิ)
๓.สัมมสนญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการพิจารณาเห็นรูป นาม สังขาร โดยพระไตรลักษณะ
๔.อุทพยยญาณ ญาณกำหนดรู้ความเกิดและความดับ
๕.ภังคญาณ ญาณกำหนดรู้ความดับของสังขาร
๖.ภยญาณ ญาณกำหนดรู้สังขารโดยความเป็นสิ่งน่ากลัว
๗.อาทีนวญาณ ญาณกำหนดรู้โทษของนามรูป
๘.นิพพิทาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความเบื่อหน่ายในนามรูป
๙.มุญจิตุกัมมยตาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความปรารถนาที่จะพ้นไปจากนามรูป
๑๐.ปฏิสังขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการทบทวนโดยพระไตรลักษณะ
๑๑.สังขารุเบกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการวางเฉยในสังขาร
๑๒.อนุโลมญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการคล้อยตาม
๑๓โคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตรปุถุชนโดยอนุโลม
๑๔.มัคคญาณ ญาณในอริยมรรค
๑๕.ผลญาณ ญาณในอริยผล
๑๖.ปัจจเวกขณญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการสำรวจทบทวน

เมตตาเจโตวิมุต

ออกบัวบานพรหมวิหาร
ออกบัวบานพรหมวิหาร เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัปปนาเจโตวิมุติ คือเมตตาเจโตวิมุตนั้นเอง ออกบัวบานพรหมวิหารนี้ เป็น วิโมกขฺธรรมของสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน เป็นธรรมปฏิบัติที่ทำให้พระองค์ท่านหลุดพ้น ดังปรากฏในสมุดข่อยไทยดำของท่านว่า

ถ้าจะออกบัวบานพรหามวิหาร ครั้นตั้งจักร ด้วยสุขี จึงออกแต่สุขีในภูมิ ไป ทุติยะ ครั้นถึงทุติยะจึงออกด้วยอเวรา แต่ทุติยะไปให้ออกขึ้นตรงหน้า ขึ้นเบื้องบนถึงพรหมโลก อกนิฏฐพรหม จนอเวราแล้วจึงคลุม แต่พรหมโลกลงมา เอาขอบจักรวาลให้เห็นชอบจักรวาลอยู่ จบอเวรา แล้วช้อนลงไปตามศิลาปฐพี รอบลงไปเอาอวเวจีมหานรก ด้วยอเวรา จบหนึ่งเล่า แล้วกลับเข้ามายังภูมิ บริกรรมด้วย สุขี อยู่ในภูมิ นั้นสักคำหมากหนึ่ง แล้วออกจากสมาธิ

วิภุพพนา คือการทำเมตตาจิตได้ต่างๆ ออกบัวบานพรหมวิหารนี้ ย่อมสำเร็จแก่พระโยคาวจรผู้มีจิตตั้งมั่นเป็น อัปปนาสมาธิ หรือ องค์ฌาน ด้วยอำนาจแห่งฌาน มีรูปฌานเป็นต้น มิใช่จะสำเร็จแก่ผู้ใดเพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น

เมื่อจะนั่งออกบัวบานพรหมวิหารนั้น ท่านให้ว่าพระคาถานั่งธรรม ก่อน

พระคาถาอาราธนาธรรม
มุนินท วท นัมพุชะ คัพภะสัมภว สุนทรี
ปาณีณัง สรณัง วาณี มัยหัง ปิณตัง มนัง

ข้าฯ ขออาราธนานางฟ้า คือ พระไตรปิฏก ผู้มีรูปอันงามเกิดแต่ ห้องปทุมชาติ คือพระโอฏฐ์ ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นใหญ่กว่านักปราชญ์ทั้งหลาย มะนัง ขอจงมาสู่มโนทวารของข้าฯ ข้าจะปฏิบัติละเสียซึ่งอาสวะกิเลส ที่ดองอยู่ในขันธ์สันดานของข้าฯ ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ให้สิ้นไปเสื่อมไป ข้าฯ จะไม่ทำให้เป็น อัตตกิลมถานุโยค ให้ลำบากแก่สังขาร ฯ
พุทธัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง ชีวิตัง ยาวนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าฯ ขออาราธนา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า จงมารับเครื่องสักการะของข้าในกาลบัดนี้เทอญ

อาราธนานั่งออกบัวบานพรหมวิหาร
ข้าฯ ขอเอายัง สติปริติญาณปัญญาของพระสัพพัญูโคดมเจ้า เพื่อจะออกพรหมวิหารเจ้านี้ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแก่ข้าให้รู้ทีเถิด ฯ นิพพานปัจโยโหนตุ
อิติปิโส ภะคะวา ฯลฯ สัมมาอรหัง ๓ ครั้ง อรหัง ๓ ครั้ง

<< ย้อนกลับ | สารบัญ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย