ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตเมื่อเยาว์วัยของหลวงพ่อเดิม
เนื่องจากหลวงพ่อเดิมเกิดในตระกูลชาวนาน
เมื่อเยาว์วัยท่านก็ได้รับการนำเข้าไปหาพระหาวัด
โดยการศึกษาของชาวนาหนองโพในตอนนั้นมีศูนย์กลางคือวัดหนองโพ
เมื่อพ่อแม่ต้องการให้ลูกของตัวมีความรู้ก็นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปถวายเจ้าอาวาส
น้อมถวายบุตรแห่งตนเข้าเรียนในสำนักโดยกล่าวคำปวารณาว่า ขอฝากลูกของกระผม
หรือดิฉัน ไว้ในปกครองดูแล จะดุด่าว่าตี สั่งสอนอย่างไร
ก็แล้วแต่ขรัวเจ้าจะเห็นสมควร ระยะที่จะนำบุตรมาฝากวัดก็อยู่ในฤดูแล้ง คือระหว่าง
เดือน 9 เดือน 10 และเดือน 11 เพราะว่าระยะนั้นว่างจากงานไร่นา
เด็กจะได้ไม่เอาเวลาว่างไปเที่ยวเกะกะเกเรเข้าพวกพ้อง
การศึกษาในสมัยนั้นจากบันทึกกล่าวไว้ว่า กระดานชนวนหายาก
พ่อแม่จึงหาไม้กระดานใสให้เรียบแล้วทำกรอบให้ถือถนัดมือ รมไฟให้ดำ
และเอาเขม่าดินหม้อทาให้ดำ
และใช้ดินสอพองอย่างชนิดผสมคล้ายๆชอล์กในปัจจุบันเขียนลงไป
เมื่อเวลาพระให้เขียนแล้วอ่าน
เมื่อเขียนเต็มแล้วก็เอาน้ำลายลบเวลาลบถ้าสีดำที่ทาไว้ลอก
ก็ต้องหาดินหม้อผสมกันแล้วทาทับตากให้แห้งจึงนำเอามาเขียนต่อ
การเรียนเขียนอ่านมักจะทำเวลากลางวันเป็นส่วนใหญ่ โดยมีพระบ้าง ฆราวาสบ้าง
ช่วยกันสอนให้เขียนอ่าน
ตกเย็นถึงกลางคืนหลังจากกลับบ้านไปกินข้าวกินปลาแล้ว
พระทำวัตรเย็นเสร็จก็พากันมาวัดต่อการเรียนกับพระที่วัด สิ่งที่สอนกลางคืนก็คือ
การสวดมนต์บทต่างๆ อันเป็นพระพุทธมนต์ เช่น พระอิติปิโสถวายพรพระ และพระคาถาต่างๆ
วิธีการเรียนก็คือเข้าไปหาพระตามกุฏิแล้วขอเรียน
โดยท่านจะสอนให้วันละท่อนสองท่อนแล้วแต่สติปัญญาของเด็กแต่ละคน
ใครหน่วยก้านดีก็ต่อมากหน่อย ใครท่าทางปัญญาทึบก็สอนน้อยหน่อย
ท่องต่อหน้าท่านแล้วก็กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่เมื่อได้เวลาก็มาหาท่านแล้วท่องตอนที่สอนให้ไปท่องให้คล่องไม่ผิดอักขระวิธีแล้ว
ก็ต่อท่อนต่อไปให้ ถ้าท่องไม่ได้ก็ต้องท่องให้ได้ หรือไม่ก็ต้องกินไม้เรียวแทน
เรียกว่าใครไม่เอาใจใส่ก็มีแนวโน้มไม้เรียวไปอวดพ่อแม่แน่
แต่สิ่งที่ดีก็คือจะได้รับการอบรมจากพระให้มีจิตใจสะอาด ไม่ข่มเหงใคร ให้รู้จักศีล
รู้จักธรรม บางครั้งท่านก็เล่านิทานธรรมะให้ฟัง เช่น เรื่องในนิทานชาดกต่างๆ
สนุกสนาน จนลืมนอนก็มี
การสอนนั้นบางองค์ก็ใจดี เด็กๆ ชอบเรียน
บางองค์ก็ดุเพราะวิชาอาคมแข็งเรียกว่าร้อนวิชาเด็กก็มักจะกลัว
แต่พ่อแม่ชอบว่าพระดุดี กำหลาบจอมแก่นแทนพ่อแม่ได้ และมักจะสอนดี
มีคนมาฝากลูกหลานเข้าเรียนกันมากจนรับไม่ไหว
การสอนหนังสือไทยสอนจนอ่านออกเขียนได้ตามความจำเป็นในการดำรงชีวิต
จึงให้หัดหนังสือขอม(หนังสือใหญ่) คือหัดเขียน หัดอ่านหนังสือขอม
อันเป็นภาษาที่จารึกพระเวทย์วิทยาดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ท่องสูตร สนธิ การเรียกนาม
เรียกสูตร มูลกัจจายน์เป็นช่วงๆ ไป พอถึงหน้าทำนาทำไร่ คือ เดือน 6 เป็นต้นไป
ก็เรียกลูกกลับจากวัด มาช่วยงานในไร่ในนา
เพราะลูกชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานตั้งแต่ตัวเล็กๆ
เพราะพ่อแม่ก็ต้องทำมาหากินควบไปด้วย เรียกว่าช่วยกันทำช่วยกันกิน
เป็นอยู่อย่างนี้ทำให้การศึกษาไม่ติดต่อเหมือนปัจจุบันนี้ เรียนบ้างหยุดบ้าง
พอจะเรียนได้ก็ลืมเสียกลับมาเรียนใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่เรียกว่ายากลำบากเหลือเกินในการหาความรู้
บางคนเรียนมาถึงอายุ 15-16 ปี พ่อแม่ก็ให้บวชเณรเป็นระยะเพื่อเรียนวิชา
ที่บวชแล้วเรียนเรื่อยไปถึงบวชพระก็มี
เมื่อได้บวชเป็นพระในวัดก็แบ่งออกเป็นสองแผนก คือ
พระองค์ไหนบวชใหม่แล้วมีปัญญาดีชอบทางอักษรศาสตร์ ก็จะเล่าเรียนบาลี
การแปรพระธรรมบท และอักขระเลขยันต์ คาถาอาคม ตลอดจนการปลุกเสก วิปัสสนากรรมฐาน
พระเวทย์วิทยามนต์ การแพทย์แผนโบราณ เรียกว่าเรียนเพื่อเป็นพระอาจารย์เขา
มีทั้งลบผง เสกผง และอุปเท่ห์ต่างๆ ตามคำภีร์โบราณ
ซึ่งการเรียนอย่างนี้ส่งผลให้เกิดพระอาจารย์เจ้าที่มีอาคมขลังมามากต่อมาแล้ว
ประเภทนี้โดยมากบวชแล้วไม่ยอมสึกตลอดชีวิต
อีกแผนกหนึ่งบวชแล้วปัญญาไม่ดี
หรือไม่ประสงค์จะเรียนทางวิชาอักษรศาสตร์ ก็เรียนทางการช่างต่างๆ เช่น ช่างไม้
ช่างปูน ช่างปั้น การช่างฝีมือสารพัด
เรียกว่าเมื่อครบพรรษาแล้วสึกออกมาก็มีความรู้ติดตัวออกมาประกอบอาชีพได้สารพัด
ประเภทหลังนี้มักจะบวชชั่วคราวเพียงพรรษาเดียว หรือสองพรรษา แล้วก็สึกไปทำมาหากิน
ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น คือ การให้ศึกษาของวัดหนองโพต่อบุตรหลานของบ้างหนองโพ
แต่หลวงพ่อเดิมมิได้ไปศึกษาดังเช่นเขาอื่น เพราะเป็นบุตรคนหัวปีของพ่อแม่
จึงไม่ค่อยจะได้เข้าวัดเรียนหนังสืออาจจะเรียนบ้าง
แต่เนื่องจากความลำบากในการเรียนที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อเลยไม่ยอมเข้าเรียนก็เป็นได้
ชีวิตเมื่อเยาว์วัยของหลวงพ่อเดิม
ชีวิตในวัยรุ่นของหลวงพ่อเดิม
สู่ความเป็นพระพุทธบุตร
การศึกษาหาความรู้ของหลวงพ่อเดิม
ปฏิปทา วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเดิม
ล่วงรู้วาระสุดท้าย
มรณะสัญญาณมาถึงหลวงพ่อเดิม
หลวงพ่อเดิมมรณภาพ
อภินิหารครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อเดิม
จีวรไม่พอครองศพหลวงพ่อเดิม
น้ำอาบศพเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
อัฐิเถ้าอังคารคนแย่งกันทั้งยังร้อนระอุ