ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร

รวมธรรมบรรยายของ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

พิจารณากาย พิจารณาใจ

      พวกเราจงพิจารณาดูตัวเรากับรอบ ๆ ตัวเรา มันมีอะไร ตามภูตามเขามีดินมีหิน นั่นเป็นธาตุดิน มีห้วยมีธาร นั่นเป็นธาตุน้ำ มีฟ้าอากาศ นั่นเป็นธาตุลม มีความร้อนมีไฟ นั่นคือธาตุไฟ ดูเอาซี่ธาตุดินเขาเป็นอะไร ธาตุน้ำเขาเป็นอะไร ธาตุลมเขาเป็นอะไร ธาตุไฟเขาเป็นอะไร เขาเจ็บเขาปวดเขาร้อนอะไร นี่แนะไฟเห็นไหมล่ะ ธาตุไฟที่เผาอาหารให้ย่อย เผาร่างกายให้ชำรุดทรุดโทรมไป หรือให้อุ่นตามสรรพางค์กาย นี่เรียกว่าธาตุไฟ เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟนี้ประชุมกันเข้า เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน เมื่อเราจำแนกแจกธาตุแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรซักอย่าง มีแต่ธาตุ รวมลงเป็นรูป รูปกายได้แก่ธาตุสี่นี้ นามกายได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอะไรละ ให้พิจารณาขันธ์ล้วนแต่ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง มันเป็นยังงั้น
      นี่แหละเรามาพิจารณาให้ลงอย่างนี้ เราอย่าถือว่าเป็นคน อย่าถือว่าเป็นตัวเป็นตน เข้าใจไหมล่ะข้อนี้ ต่างคนต่างเพ่งพิจารณา แล้วโรคภัยมันก็ไม่มี สมเด็จสังฆนายกแต่ก่อนท่านนอนไม่หลับ ได้ไปเทศนาข้อนี้ให้ พอเทศน์แล้วจิตท่านก็สงบ ท่านก็นอนได้ หมอทั้งสองหมอประคองอยู่ พอค่ำท่านนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย พอเช้าก็มักเป็นลม นั่นแหละสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส ท่านลาพักไปอุบล อาตมาไปอุบลก็เลยเทศนาอย่างนี้แหละ ท่านถามว่า ฉันจะตลอดพรรษาไหม พระเดชพระคุณ อย่างนี้ก็ไม่ตลอดซี ใครจะทนได้ กลางคืนไม่ได้นอนตลอด กระสับกระส่ายยังงั้น พอเทศนาแล้วจิตท่านสงบ ท่านก็นอนได้สบาย โรคท่านก็เลยหาย อยู่ได้อีกสี่ปี ห้าปี
      นี่แหละเราก็ควรพิจารณาอย่างงั้น สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธาตุ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวเวทนา เป็นตัวสัญญา เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ เราเห็นสิ่งทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตนอยู่ที่ไหนเล่าทีนี้
      โอปนะยิโก เราต้องน้อมเข้า ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนเท่านั้น ใครเป็นผู้รู้เวทนา ใครเป็นผู้รู้สัญญา ใครเป็นผู้รู้สังขาร ใครเป็นผู้รู้วิญญาณ เราก็ต้องน้อมเข้ามา ใครว่าธาตุดิน ใคร
ว่าธาตุน้ำ ใครว่าธาตุลมและธาตุไฟ ผู้ไม่ได้เป็นพุทธะก็ไม่รู้อะไร เราจำแนกแจกออกไปแล้วก็เหลือแต่พุทธะคือผู้รู้ ดังนี้เราจึงจับตัวมันได้ ที่ไม่รู้จักอันใดนั้นเพราะมันคลุมเครือกันอยู่ ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นสุข ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นทุกข์ จะเอาอันใดดีจะเอาอันใดชั่ว มืดอยู่ยังงั้น นี่เรา นี่เราจำแนกแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุดินมันก็เป็นดินไปแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุน้ำมันก็เป็นน้ำลงไปแล้ว ส่วนใดเป็นลมก็เป็นลมไปแล้ว ส่วนใดเป็นไฟก็เห็นว่าเป็นไฟไปหมด ไฟเขาเป็นอะไร ดินเขาอะไร เขาหลับเขานอนไหมล่ะ เขาเจ็บเขาปวดเข เหนื่อยเขาหิวไหมล่ะ สิ่งเหล่านี้เราก็พิจารณาให้มันรู้ เพื่อกำจัดภัยกำจัดเวรกำจัดกิเลส ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เราจึงจะไม่ยึดไม่ถือ
      เมื่อเห็นแล้วจิตของเรามันก็วางก็ละน่ะซิ ให้ดูซิ น้ำเขาเป็นอะไรล่ะ ดินเขาเป็นอะไรล่ะ เขาเจ็บเขาปวดไหมล่ะ เขาหมุนเขาเวียนไหมล่ะ เขาไม่ได้ว่าอะไร เขาอยู่เฉย ๆ ยังงั้น นี่หล่ะก้อนขี้ดินหล่ะ นั่งอยู่คนละก้อน ก็มัวถือว่าเป็นคน ว่าเป็นตัว ว่าเป็นตน มันก็ทุกข์ล่ะซี เกิดวุ่นวายเกิดเดือดร้อนซี่ ไปสมสุติเอาว่าเราเป็นโรคว่าเราเป็นภัย ว่าเราเป็นโน่น ว่าเราเป็นนี่

|| หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย