ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
มิลินทปัญหา
ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย
วรรคที่หนึ่ง
2 สัพพัญญูภาวปัญหา
ร "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูหรือ "
ถ
"ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสัพพัญญู, ก็แต่พระญาณที่เป็นเหตุรู้เห็น
หาปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าฉับไวทันทีไม่,
พระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าเนื่องด้วยการนึก พระองค์ทรงนึกแล้ว
ย่อมรู้ได้ตามพระพุทธประสงค์"
ร
"ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่สัพพัญญูซิ,
ถ้าพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ย่อมมีได้ด้วยการค้นหา"
ถ
"ขอถวายพระพร ข้าวเปลือกร้อยวาหะ กับกึ่งจุฬา เจ็ดอัมมณะ สองตุมพะ
ข้าวเปลือกมีประมาณถึงเพียงนี้ คนมีจิตเป็นไปในขณะเพียงแต่อัจฉระ
คือชั่วดีดนิ้วมือครั้งเดียว ยังสามารถตั้งเป็นคะแนนนับให้ถึงความสิ้นไปหมดไปได้
นี้จิตเจ็ดอย่างเป็นไปอยู่ในขณะชั่วอัจฉระเดียวนั้น: ขอถวายพระพร คนจำพวกใด มีราคะ
มีโทสะ มีโมหะ มีกิเลส มีกายไม่ได้อบรมแล้ว มีศีลไม่ได้อบรมแล้ว
มีจิตไม่ได้อบรมแล้ว มีปัญญาไม่ได้อบรมแล้ว จิตของเขานั้นเกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย,
ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะจิตเป็นสภาพไม่ได้อบรมแล้ว ขอถวายพระพร มีอุปมาว่า
ลำไม้ไผ่อันสูงดวดลำอวบแข็งแรง เกี่ยวพันกันเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง คนฉุดลากมา
ก็ค่อยมาช้า ๆ ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะกิ่งเป็นของเกี่ยวพันกัน ฉันใด, คนจำพวกใด
มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีกิเลส มีกายไม่ได้อบรมแล้ว มีศีลไม่ได้อบรมแล้ว
มีจิตไม่ได้อบรมแล้ว มีปัญญาไม่ได้อบรมแล้ว จิตของเขานั้นเกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย,
ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะจิตเป็นสภาพอันกิเลสทั้งหลายเกี่ยวพันแล้ว ฉันนั้น
นี้จิตที่หนึ่ง"
ในจิตเจ็ดอย่างนั้น จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่สอง คนจำพวกใด
เป็นพระโสดาบันผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีอบายอันละเสียได้แล้ว
พร้อมมูลแล้วด้วยความเห็นชอบ มีคำสอนของพระศาสดาอันรู้แจ้งแล้ว
จิตของท่านนั้นเกิดขึ้นไว เป็นไปไว ในสามสถาน เกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย
ในภูมิเบื้องบน ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะจิตเป็นสภาพบริสุทธิ์ในสามสถาน
และเพราะกิเลสทั้งหลายในเบื้องบนเป็นสภาพอันท่านยังละไม่ได้แล้ว
มีอุปมาเหมือนลำไม้ไผ่โล่งหมดจากการเกี่ยวพันกันเพียงสามปล้อง
แต่ข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่งคนฉุดลากมา ย่อมคล่องเพียงสามปล้อง
สูงขึ้นไปจากนั้นย่อมขัด ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะข้างล่างโล่งหมด
และเพราะข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง ฉะนั้น นี้จิตที่สอง
จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่สาม คนจำพวกใด เป็นพระสกทาคามี มีราคะ โทสะ โมหะเบาบาง
จิตของท่านนั้น เกิดขึ้นไว เป็นไปไว ในที่ห้าสถาน เกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย
ในภูมิเบื้องบน, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะจิตเป็นสภาพบริสุทธิ์ในที่ห้าสถาน
และเพราะกิเลสเบื้องบนเป็นสภาพอันท่านยังละไม่ได้แล้ว
มีอุปมาเหมือนลำไม้ไผ่โล่งหมดจากการเกี่ยวพันกันเพียงห้าปล้อง
แต่ข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง คนฉุดลากมา ย่อมมาคล่องเพียงห้าปล้อง
สูงขึ้นไปจากนั้น ย่อมขัด, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะข้างล่างโล่งหมด
และเพราะข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง ฉะนั้น นี้จิตที่สาม
จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่สี่ คนจำพวกใด
เป็นพระอนาคามีมีสังโยชน์เบื้องต่ำห้าประการละได้แล้ว จิตของท่านนั้น เกิดขึ้นไว
เป็นไปไว ในที่สิบสถาน เกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย ในภูมิเบื้องบน,
ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะจิตเป็นสภาพบริสุทธิ์ในที่สิบสถาน
และเพราะกิเลสเบื้องบนเป็นสภาพอันท่านยังละไม่ได้แล้ว
มีอุปมาเหมือนลำไม้ไผ่โล่งหมดจากการเกี่ยวพันกันเพียงสิบปล้อง
แต่ข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง คนฉุดลากมา ย่อมมาคล่องเพียงสิบปล้อง
สูงขึ้นไปจากนั้น ย่อมขัด, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะข้างล่างโล่งหมด
และเพราะข้างบนยังเป็นสุมทุมด้วยเซิงกิ่ง ฉะนั้น นี้จิตที่สี่
จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่ครบห้า คนจำพวกใด เป็ฯพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว
ชำระมลทินหมดแล้ว ฟอกกิเลสแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
มีกิจที่จะต้องทำอันได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระเสียได้แล้ว มีประโยชน์ตนได้บรรลุถึงแล้ว
มีธรรมอันจะประกอบไว้ในภพสิ้นรอบแล้ว มีพระปฏิสัมภิทาได้บรรลุแล้ว
บริสุทธิ์แล้วในภูมิแห่งพระสาวก, จิตของท่านนั้น เกิดขึ้นไว เป็นไปไว
ในธรรมเป็นวิสัยของพระสาวก เกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย ในภูมิแห่งพระปัจเจกพุทธะ
และในภูมิแห่งพระสัพพัญญูพุทธะ, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ
เพราะท่านบริสุทธิ์แล้วเพียงในภูมิแห่งพระสาวก
และเพราะไม่บริสุทธิ์แล้วในปัจเจกพุทธภูมิและสัพพัญญูพุทธภูมิ
มีอุปมาเหมือนลำไม้ไผ่มีปล้องโล่งหมดจากการเกี่ยวพันกันทุกปล้อง คนฉุดลากมา
ก็มาได้คล่อง ไม่ช้า, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ
เพราะไม้ไผ่นั้นโล่งหมดจากการเกี่ยวพันกันทุกปล้อง และเพราะไม่เป็นสุมทุม ฉะนั้น
นี้จิตที่ครบห้า
จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่ครบหก คนจำพวกใด เป็นพระปัจเจกพุทธะ
คือตรัสรู้จำเพาะตัว เป็นพระสยัมภู คือ ผู้เป็นเองในทางตรัสรู้ ไม่มีใครเป็นอาจารย์
ประพฤติอยู่แต่ผู้เดียว มีอาการควรกำหนดเปรียบด้วยนอแรด
มีจิตบริสุทธิ์ปราศจากมลทินในธรรมเป็นวิสัยของท่าน, จิตของท่านนั้น เกิดขึ้นไว
เป็นไปไว ในธรรมเป็นวิสัยของท่าน เกิดขึ้นช้า เป็นไปเนือย
ในภูมิของพระสัพพพัญญูพุทธะ, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ
เพราะท่านบริสุทธิ์แต่ในวิสัยของท่าน และเพราะพระสัพพัญญูพุทธวิสัย
เป็นคุณอันใหญ่ยิ่ง, มีอุมาเหมือนบุรุษผู้เคยไม่พึงคร้าม
จะลงลำน้ำน้อยอันเป็นวิสัยของตัว ในคืนก็ได้ ในวันก็ได้ ตามปรารถนา,
ครั้นเห็นมหาสมุทรทั้งลึกหยั่งไม่ถึง ทั้งกว้างไม่มีฝั่งในที่ตำบลอื่นแล้ว
จะกลัวย่อท้อไม่อาจลง, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะวิสัยของเขา ๆ
ได้เคยประพฤติแล้ว และเพราะมหาสมุทรเป็นชลาลัยอันใหญ่ ฉะนั้น
นี้เป็นจิตที่ครบหก
จิตนี้ถึงความจำแนกเป็นจิตที่เจ็ด คนจำพวกใด เป็นพระสัมมาสัมพุทธคือตรัสรู้ชอบเอง
เป็นสัพพัญญูคือรู้ธรรมทั้งปวง ทรงญาณอันเป็นกำลังสิบประการ
กล้าหาญปราศจากครั่นคร้าม เพราะเวสารัชชธรรมสี่ประการ
พร้อมมูลด้วยธรรมของพระพุทธบุคคลสิบแปดประการมีชัยชนะหาที่สุดมิได้
มีญาณหาเครื่องขัดขวางมิได้, จิตของท่านนั้นเกิดขึ้นไว เป็นไปไว ในที่ทุกสถาน,
ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะท่านบริสุทธิ์แล้วในที่ทุกสถาน
ขอถวายพระพร
พระแสงศรที่ชำระดีแล้ว ปราศจากมลทินหาสนิมมิได้ คมกริบ ตรงแน่ว ไม่คด ไม่งอ ไม่โกง
ขึ้นบนแล่ง อันมั่นแข็งแรง แผลงให้ตกลงเต็มแรง ที่ผ้าโขมพัสตร์อันละเอียดก็ดี
ที่ผ้ากัปปาสิกพัสตร์อันละเอียดก็ดี ที่ผ้ากัมพลอันละเอียดก็ดี
จะไปช้าไม่สะดวกหรือติดขัดมีบ้างหรือ "
ร
"หาเป็นเช่นนั้นไม่, ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพราะผ้าเป็นของละเอียด
ศรก็ชำระดีแล้ว และการแผลงให้ตกก็เต็มแรง"
ถ
"ขอถวายพระพร ข้ออุปไมยก็ฉันนั้น คนจำพวกใด เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ฯลฯ
จิตของท่านนั้น เกิดขึ้นไว เป็นไปไว ในที่ทุกสถาน นี้จิตที่เจ็ด
ขอถวายพระพร
ในจิตเจ็ดอย่างนั้น
จิตของพระสัพพัญญูพุทธะทั้งหลายบริสุทธิ์และไวโดยคุณที่นับไม่ได้
ล่วงคณนาแห่งจิตแม้ทั้งหกอย่าง ขอถวายพระพร เหตุใด
จิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าบริสุทธิ์และไว เหตุนั้น
พระองค์จึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ได้, ในยมกปาฏิหาริย์นั้น พระองค์พึงทรงทราบเถิดว่า
'จิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเป็นไปไวถึงอย่างนั้น,'
อาตมภาพไม่สามารถกล่าวเหตุในข้อนั้นให้ยิ่งขึ้นไปได้ แม้ปาฏิหาริย์เหล่านั้น
เข้าไปเปรียบจิตของพระสัพพัญญูพุทธะทั้งหลายแล้ว
ย่อมไม่ถึงการคณานานับสักเสี้ยวก็ดี สักส่วนของเสี้ยวก็ดี
พระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าเนื่องด้วยการนึก,
พระองค์ทรงนึกแล้วก็รู้ได้ตามพระพุทธประสงค์ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า
บุรุษจะวางของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งวางอยู่ในมือข้างหนึ่ง ไว้ในมืออีกข้างหนึ่งก็ดี,
จะอ้าปากขึ้นเปล่งวาจาก็ดี, จะกลืนโภชนะ ซึ่งเข้าไปแล้วในปากก็ดี,
ลืมอยู่แล้วและจะหลับจักษุลง หรือหลับอยู่แล้วจะลืมจักษุขึ้นก็ดี,
จะเหยียดแขนที่คู้แล้วออกหรือจะคู้แขนที่เหยียดแล้วเช้าก็ดี, กาลนั้นช้ากว่า,
พระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าไวกว่า, ความนึกของพระองค์ไวกว่า,
พระองค์ทรงนึกแล้วย่อมรู้ได้ตามพระพุทธประสงค์,
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายได้ชื่อว่าไม่ใช่สัพพัญญู ด้วยสักว่าความบกพร่อง
เพราะต้องนึกเพียงเท่านั้น ก็หามิได้"
ร
"แม้ความนึกก็ต้องทำด้วยความเลือกหา, ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้า
อธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจในข้อนั้นโดยเหตุเถิด"
ถ
"ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มั่งมี มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก
มีทองเงินและเครื่องมืออันเป็นอุปการแก่ทรัพย์มาก มีข้าวเปลือกไว้เป็นทรัพย์มาก
และข้าวสาลี ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาร งา ถั่วเขียว ถั่วขาว
บุพพัณณชาติและอปรัณณชาติอื่น ๆ เนยใส เนยข้น นมสด นมส้ม น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำตาล
น้ำอ้อย ของเขาก็มีพร้อมอยู่ในไห ในหม้อ ในกระถาง ในยุ้ง และในภาชนะอื่น ๆ,
และจะมีแขกมาหาเขา ซึ่งควรจะเลี้ยงดู และต้องการจะบริโภคอาหารอยู่ด้วยล
ก็แต่โภชนะที่ทำสุกแล้วในเรือนของเขา หมดเสียแล้ว
เขาจึงนำเอาข้าวสารออกจากหม้อแล้วและหุงให้เป็นโภชนะ; บุรุษผู้นั้น
จะได้ชื่อว่าคนขัดสนไม่มีทรัพย์ ด้วยสักว่าความบกพร่องแห่งโภชนะเพียงเท่านั้น
ได้บ้างหรือ "
ร
"หาอย่างนั้นไม่ แม้ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ความบกพร่องแห่งโภชนะ
ในสมัยซึ่งมิใช่เวลาก็ยังมี, เหตุอะไรในเรือนของคฤหบดีจักไม่มีบ้างเล่า"
ถ
"ขอถวายพระพร ข้ออุปไมยก็ฉันนั้น พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตเจ้า
บกพร่องเพราะต้องนึก, แต่ครั้นทรงนึกแล้ว ก็รู้ได้ตามพระพุทธประสงค์ ขอถวายพระพร
อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ต้นไม้จะเผล็ดผล เต็มด้วยพวงผลอันหนักถ่วงห้อยย้อย,
แต่ในที่นั้น ไม่มีผลอันหล่นแล้วสักน้อยหนึ่ง; ต้นไม้นั้น จะควรได้ชื่อว่าหาผลมิได้
ด้วยความบกพร่องเพราะผลที่ยังไม่หล่นแล้วเพียงเท่านั้น ได้บ้างหรือ "
ร
"หาอย่างนั้นไม่ เพราะผลไม้เหล่านั้นเนื่องด้วยการหล่น, เมื่อหล่นแล้ว
คนก็ย่อมได้ตามปรารถนา"
ถ
"ขอถวายพระพร ข้ออุปไมยก็ฉันนั้น, พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตเจ้า
บกพร่องเพราะต้องนึก, แต่ครั้นทรงนึกแล้ว ก็รู้ได้ตามพุทธประสงค์"
ร
"พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้าทรงนึกแล้ว ๆ รู้ได้ตามพระพุทธประสงค์หรือ "
ถ
"ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนึกแล้ว ๆ รู้ได้ตามพระพุทธประสงค์;
เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงระลึกถึงจักรรัตนขึ้นเมื่อใดว่า
'จักรรัตนจงเข้ามาหาเรา' ดังนี้ พอทรงนึกขึ้นแล้ว จักรรัตนก็เข้าไปถึง ข้อนี้ฉันใด;
พระตถาคตเจ้าทรงนึกแล้ว ๆ ก็รู้ได้ตามพระพุทธประสงค์ ฉันนั้น"
ร
"เหตุมั่นพอแล้ว, พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูแท้, ข้าพเจ้ายอมรับว่า
'พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูจริง"
วรรคที่ 1
วัชฌาวัชฌปัญหา
สัพพัญญูภาวปัญหา
เทวทัตตปัพพาชิตปัญหา
มหาภูมิจาลนปาตุภาวปัญหา
สิวิราชจักขุทานปัญหา
คัพภาวัคกันติปัญหา
สัทธัมมอันตรธานปัญหา
สัพพัญญุตปัตตปัญหา
ตถาคตอุตตริกรณียาภาวปัญหา
อิทธิปาทพลทัสสนปัญหา
วรรคที่ 2
วรรคที่ 3
วรรคที่ 4
วรรคที่ 5
วรรคที่ 6
วรรคที่ 7
วรรคที่ 8
วรรคที่ 9