ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
มิลินทปัญหา
ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย
วรรคที่หนึ่ง
8 สัพพัญญุตปัตตปัญหา
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน
พระตถาคตทรงละอกุศลธรรมทั้งปวงแล้ว
จึงบรรลุความเป็ฯพระสัพพัญญูหรือว่าละอกุศลธรรมเป็นสาวะเศษมีส่วนเหลือ
บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู"
พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า "ขอถวายพระพร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละอกุศลทั้งปวงแล้ว
จึงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูอกุศลเป็นส่วนเหลือของพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้มี"
ร
"พระผู้เป็นเจ้า ทุกขเวทนาเคยเกิดขึ้นแล้วในพระกายของพระตถาคตหรือ"
ถ
"ขอถวายพระพร เคยเกิดขึ้น
พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันสะเก็ดศิลากระทบแล้วที่เมืองราชคฤห์
ประชวรลงพระโลหิตเกิดขึ้นแล้ว เมื่อพระกายหนาขึ้นหนักแล้ว
หมอชีวกเชิญให้เสวยพระโอสถรุน เมื่อประชวรลมเกิดขึ้นแล้ว
พระเถระผู้อุปฐากแสวงหาน้ำร้อนถวาย"
ร
"พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระตถาคตทรงละอกุศลทั้งปวงแล้ว
จึงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญู, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า
'พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันสะเก็ดศิลากระทบแล้ว
ประชวรลงพระโลหิตเกิดขึ้นแล้ว' นั้นผิด
ถ้าพระบาทของพระตถาตอันสะเก็ดศิลากระทบแล้วประชวรลงพระโลหิตเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'พระตถาคตทรงละอกุศลทั้งปวงแล้ว
จึงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญ' ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด
ความเสวยเวทนาซึ่งจะเว้นแล้วจากกรรมมิได้มี, ความเสวยเวทนาทั้งปวงนั้น
มีกรรมเป็นมูลที่ตั้ง, บุคคลย่อมเสวยเวทนาเพราะกรรมนั่นเทียว,
ปัญหาแม้นี้มีเงื่อนสอง มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว,
พระผู้เป็นเจ้าพึงขยายปัญหานั้นให้แจ่มแจ้ง"
ถ
"ขอถวายพระพร เวทนา ความเสวยอารมณ์ทั้งปวงนั้น
จะมีกรรมเป็นมูลเป็นที่ตั้งก็หาไม่
เวทนาความเสวยอารมณ์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุแปดประการ
สัตว์เป็นอันมากย่อมเสวยเวทนาทั้งหลายด้วยเหตุไรเล่า
เวทนาทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเหตุทั้งหลายแปดเป็นไฉน ในกายนี้
เวทนาทั้งหลายบางเหล่ามีลมเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่ามีดีเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่ามีเสมหะเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่ามีสันนิบาตเป็นเหตุเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่าเกิดแต่ความเปลี่ยนฤดูเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่าเกิดแต่การบริหารอิริยาบถไม่เสมอเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่ามีความเพียรเป็นเหตุเกิดขึ้นบ้าง,
เวทนาทั้งหลายบางเหล่าเป็นกรรมวิปากชาเกิดขึ้นบ้าง
สัตว์เป็นอันมากย่อมเสวยเวทนาทั้งหลาย ด้วยเหตุทั้งหลายแปดประการเหล่านี้แล
ในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดนั้นอ้างกรรม
สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นย่อมค้านเหตุเสีย,
คำนั้นของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นผิด"
ร
"พระผู้เป็นเจ้านาคเสน เวทนาที่มีลมเป็นสมุฏฐานอันใดก็ดี
ที่มีเสมหะเป็นสมุฏฐานอันใดก็ดี ที่มีสันนิบาตเป็นเหตุอันใดก็ดี
ที่มีสันนิบาตเป็นเหตุอันใดก็ดี ที่เกิดแต่ความเปลี่ยนฤดูอันใดก็ดี
ที่เกิดแต่การบริหารไม่เสมออันใดก็ดี ที่มีความเพียรเป็นเหตุเหตุอันใดก็ดี,
เวทนาทั้งปวงเหล่านั้นล้วนมีกรรมเป็นสมุฏฐานทั้งสิ้น
เวทนาทั้งปวงเหล่านั้นย่อมเกิดเพราะกรรมอย่างเดียว"
ถ
"ขอถวายพระพร ถ้าอาพาธทั้งหลายเหล่านั้นแม้ทั้งปวง
พึงเป็นอาพาธมีกรรมเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว,
ลักษณะทั้งหลายของอาพาธเหล่านั้นไม่พึงมีโดยส่วน
ขอถวายพระพร ลมเมื่อกำเริบ ย่อมกำเริบด้วยเหตุสิบอย่าง คือ ด้วยหนาวหนักหนึ่ง
ด้วยร้อนหนักหนึ่ง ด้วยความอยากข้าวหนึ่ง ด้วยความระหายน้ำหนึ่ง
ด้วยความบริโภคมากหนึ่ง ด้วยความยืนนานนักหนึ่ง ด้วยความเพียรเหลือเกินหนึ่ง
ด้วยความวิ่งมากหนึ่ง ด้วยอุปักกมะความเพียรของตนบ้างของผู้อื่นบ้างหนึ่ง
ด้วยกรรมวิบากหนึ่ง; ในอาพาธทั้งหลายเหล่านั้น อาพาธเก้าอย่างเหล่าใดนั้น
อาพาธเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วในอดีตก็หาไม่ จะเกิดขึ้นในอนาคนก็หาไม่
ย่อมเกิดขึ้นในภพปัจจุบัน, เพราะเหตุนั้น อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น
บัณฑิตไม่พึงกล่าวว่า "เวทยาทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นแดนเกิดพร้อม"
น้ำดีเมื่อจะกำเริบย่อมกำเริบด้วยเหตุสามอย่าง คือ: ด้วยหนาวหนักหนึ่ง
ด้วยร้อนหนักหนึ่งด้วยบริโภคไม่เสมอหนึ่ง เสมหะเมื่อจะกำเริบ
ย่อมกำเริบด้วยเหตุสามอย่าง คือ: ด้วยหนาหนักหนึ่ง ร้อนหนักหนึ่ง
ด้วยข้าวและน้ำหนึ่ง ลมอันใดก็ดี น้ำดีอันใดก็ดี เสมหะอันใดก็ดี สามอย่างนี้
กำเริบแล้วด้วยปัจจัยเครื่องกำเริบทั้งหลายเหล่านั้น ๆ เป็นของเจือกัน
พาเวทนาของตน ๆ มา เวทนาที่เกิดแต่ความเปลี่ยนฤดู
ย่อมเกิดขึ้นด้วยความเปลี่ยนฤดู, เวทนาที่เกิดแต่ความบริหารไม่เสมอ
ย่อมเกิดขึ้นด้วยความบริหารอิริยาบถไม่เสมอ, เวทนาที่มีความเพียรเป็นปัจจัย
เป็นกิริยาก็มี เป็นกรรมวิบากก็มี,
เวทนาที่เกิดแต่กรรมวิบากย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมที่ตนกระทำแล้วในกาลก่อน
เวทนาที่เกิดแต่กรรมวิบากน้อย เวทนานอกนั้นมากกว่าด้วยประการฉะนี้
ชนพาลทั้งหลายย่อมแล่นล่วงไปในเวทนานั้นว่า
'เวทนาทั้งปวงเกิดแต่กรรมวิบากอย่างเดียว,' กรรมนั้นอันใคร ๆ
ไม่อาจเพื่อจะกระทำความกำหนดเว้นจากพุทธญาณ
ก็พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันสะเก็ดศิลากระทบแล้วด้วยเหตุใด ด้วยเหตุนั้น
เวทนานั้นจะเป็นเวทนามีลมเป็นสมุฏฐานก็ไม่ใช่ มีดีเป็นสมุฏฐานก็ไม่ใช่
มีเสมหะเป็นสมุฏฐานก็ไม่ใช่ มีสันนิบาตคือ ประชุมธาตุสี่เป็นปัจจัยก็ไม่ใช่
จะเป็นเวทนาเกิดแต่ความเปลี่ยนฤดูก็ไม่ใช่
จะเป็นเวทนาเกิดแต่การบริหารอิริยาบถไม่เสมอก็ไม่ใช่
จะเป็นเวทนาเกิดแต่กรรมวิบากก็ไม่ใช่ เวทนานั้น
เป็นเวทนามีอุปักกมะความเพียรของผู้อื่นเป็นปัจจัยนั่นเทียว จริงอยู่ เทวทัต
ผูกอาฆาตในพระตถาคตหลายแสนชาติแล้ว เทวทัตนั้น
หยิบศิลาหนักใหญ่ปล่อยแล้วด้วยคิดว่า 'เราจักยิงศิลานี้ให้ตกเหนือกระหม่อม'
ด้วยอาฆาตนั้น ครั้งนั้น
ศิลาสองก้อนอื่นมารับศิลานั้นเสียแต่ยังไม่ทันถึงพระตถาคตเลย,
กะเทาะศิลาแตกเพราะกระทบที่ศิลานั้นแล้ว จึงตกลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงกระทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นแล้ว เวทนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดแล้ว
แต่กรรมวิบากบ้าง แต่กิริยาบ้าง, เวทนาอื่นยิ่งขึ้นไปกว่าเวทนานั้น ย่อมไม่มี
เหมือนพืชย่อมไม่เกิดพร้อมเพราะความที่นาเป็นของอันโทษประทุษร้ายแล้วบ้าง
เพราะความที่พืชเป็นของซึ่งอันตรายประทุษร้ายแล้วบ้าง ฉันใด,
เวทนานั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเป็นเวทนาเกิดแล้ว แต่กรรมวิบากบ้าง
แต่กิริยาบ้างฉันนั้น, เวทนาอื่นยิ่งไปกว่าเวทนานั้น ย่อมไม่มีแด่พระตถาคตเลย
อีกนัยหนึ่ง โภชนะแปรไม่เสมอ เพราะความที่ลำไส้เป็นของอันโทษประทุษร้ายแล้วบ้าง
เพราะความที่อาหารเป็นของอันโทษประทุษร้ายแล้วบ้าง ฉันใด,
เวทนานั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเวทนาเกิดแล้วแต่กรรมวิบากบ้าง
แต่กิริยาบ้าง ฉันนั้น, เวทนาอื่นยิ่งขึ้นไปกว่าเวทนานั้น
ย่อมไม่มีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเลยทีเดียว
ขอถวายพระพร "เออก็ เวทนาที่เกิดแต่กรรมวิบาก ย่อมไม่มีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า,
เวทนาที่เกิดแต่การบริหารไม่เสมอ ย่อมไม่มีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า,
เวทนาย่อมเกิดขึ้นแด่พระผู้มีพระภารเจ้าด้วยสมุฏฐานทั้งหลายนอกนั้น ก็แหละ
เวทนานั้นไม่อาจเพื่อจะปลงพระผู้มีพระภาคเจ้าจากพระชนมชีพได้
เวทนาทั้งหลายเป็นที่พึงใจและไม่เป็นที่พึงใจ งามและไม่งาม
ย่อมตกลงในกายสำเร็จแล้วด้วยมหาภูตทั้งสี่นี้ ณ ที่นี้มีก้อนดินอันใคร ๆ
โยนขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงในแผ่นดินใหญ่ ก้อนดินนั้นย่อมตกลงในแผ่นดินใหญ่
เพราะกระทำกรรมอันใดอันหนึ่งไว้แล้วในกาลก่อนบ้างหรือ ขอถวายพระพร"
ร "หาไม่
พระผู้เป็นเจ้า มหาปฐวีพึงเสวยวิบากเป็นกุศลและอกุศลด้วยเหตุใด เหตุนั้น
ย่อมไม่มีแก่แผ่นดินใหญ่, พระผู้เป็นเจ้า ก้อนคนนั้นย่อมตกลงในแผ่นดินใหญ่
ด้วยเหตุเป็นปัจจุบันไม่ใช่กรรม"
ถ
"ขอถวายพระพร แผ่นดินใหญ่ อันใด พระตถาคตเจ้า
บรมบพิตรพึงทรงเห็นว่าเหมือนแผ่นดินใหญ่ ฉะนั้น, ก้อนดินตกลงในแผ่นดินใหญ่
โดยไม่ได้กระทำกรรมไว้แล้วในกาลก่อน ฉันใด
สะเก็ดนั้นตกลงแล้วที่พระบาทของพระตถาคตเจ้า
โดยไม่ได้กระทำกรรมอันใดอันหนึ่งไวแล้วในกาลก่อน ฉันนั้นนั่นเทียวแล
อนึ่ง
ในโลกนี้ มนุษย์ทั้งหลายย่อมทำลายแผ่นดินใหญ่ด้วย ย่อมขุดแผ่นดินใหญ่ด้วย;
มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมทำลายแผ่นดินใหญ่ด้วย ย่อมขุดแผ่นดินใหญ่ด้วย
เพราะกรรมอันแผ่นดินกระทำไว้แล้วในกาลก่อนบ้างหรือเป็นไฉน"
ร "หาไม่
พระผู้เป็นเจ้า"
ถ"ขอถวายพระพร สะเก็ดใดนั้น ที่ตกลงแล้วที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สะเก็ดนั้นจะได้ตกลงแล้วที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพราะกรรมที่ได้ทรงกระทำไว้แล้วในกาลก่อนหามิได้ฉันนั้นนั่นเทียวแล
อาพาธมีความอาเจียนโลหิตเป็นปัจจัยแม้ใด ที่เกิดขึ้นแล้วแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
อาพาธแม้นั้น จะได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะกรรมที่ได้ทรงกระทำไว้แล้วในกาลก่อน
หามิได้, อาพาธนั้นเกิดขึ้นแล้วโดยอาพาธมีสันนิบาตเป็นปัจจัยอย่างเดียว
อาพาธทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เกิดขึ้นแล้วอาพาธทั้งหลายเหล่านั้น จะเกิดขึ้นแล้วเพราะกรรมหามิได้,
สมุฏฐานทั้งหลายหกเหล่านี้
อาพาธทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้นแต่สมุฏฐานอันใดอันหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเทพดาล่วงเทพดา แม้ได้ทรงภาสิตพุทธพจน์นี้
ในเวยยากรณ์ชื่อโมลิยสิวกา ดังดวงตราประทับไว้ในสังยุตตนิกายอันประเสริฐว่า
ดูก่อนสิวก ในกายนี้ เวทนาทั้งหลายบางเหล่า แม้มีดีเป็นสมุฏฐาน ย่อมเกิดขึ้นแล;
ดูเกิดขึ้นด้วยประการใด เวทนานั้น ท่านพึงรู้แจ้งแม้เองด้วยประการนั้น,
ดูก่อนสิวก ในกายนี้เวทนาทั้งหลายบางเหล่า แมี้ดีเป็นสมุฏฐาน
ย่อมเกิดขึ้นอย่างใดความรู้แจ้งอย่างนั้นนั่นเป็นสัจจะสมมติแม้ของโลกแล
ดูก่อนสิวก ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดนั้น
มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า 'บุรุษบุคคลนี้
ย่อมเสวยเวทนาอันใดอันหนึ่ง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
หรือไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขเป็นแต่กลาง ๆ เวทนาทั้งปวงนั้น
มีกรรมที่กระทำไว้แล้วในกาลก่อนเป็นเหตุ' ดังนี้,
สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็สิ่งใดที่ตนรู้แล้วเอง
ย่อมแล่นล่วงสิ่งนั้นด้วย, เพราะเหตุนั้น เราผู้ตถาคตย่อมกล่าวว่า
'ความเห็นของสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นผิด'ดูก่อนสิวก ในกายนี้
เวทนาทั้งหลายบางเหล่า แม้มีเสมหะเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้น ฯลฯ
แม้มีลมเป็นสมุฏฐานเกิดขึ้น ฯลฯ แม้มีสันนิบาตเป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
แม้เป็นอุตุปริณามชาเกิดขึ้น ฯลฯ แม้เป็นวิสมปริหารชาเกิดขึ้น ฯลฯ
แม้เป็นโอปักกมิกาเกิดขึ้น ฯลฯ เวทนาทั้งหลายบางเหล่า
แม้เป็นกัมมวิปากชาเกิดขึ้นแล; ดูก่อนสิวกในกายนี้ เวทนาทั้งหลายบางเหล่า
แม้เป็นกัมมวิปากชาเกิดขึ้นด้วยประการใด เวทนานั้น
ท่านพึงรู้แจ้งแม้เองด้วยประการนั้น, ดูก่อนสิวกในกายนี้ เวทนาทั้งหลายบางเหล่า
แม้เป็นกัมมวิปากชา ย่อมเกิดขึ้นอย่างใด
ความรู้อย่างนั้นนั่นบัณฑิตสมมติแล้วว่า เป็นของจริงแม้ของโลกแล ดูก่อนสิวก
ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดนั้น มีวาทะอย่างนี้
มีความเห็นอย่างนี้ว่า 'บุรุษบุคคลย่อมเสวยเวทนาอันใดอันหนึ่ง เป็นสุขหรือ
หรือเป็นทุกข์ หรือไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข เป็นแต่กลาง ๆ เวทนาทั้งปวงเหล่านั้น
มีกรรมที่กระทำไว้แล้วในกาลก่อนเป็นเหตุ' ดังนี้, ก็สิ่งใดที่ตนรู้แล้วเอง
สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมแล่นล่วงสิ่งนั้นเสียด้วย, ก็แหละ
สิ่งใดที่เขาสมมติแล้วว่าเป็นของจริงในโลก สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น
ย่อมแล่นล่วงสิ่งนั้นเสียด้วย, เพราะเหตุนั้น เราผู้ตถาคตย่อมกล่าวว่า
'ความเห็นของสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นผิด' ดังนี้
ขอถวายพระพร เวทนาทั้งหลายทั้งปวง จะเป็นของเกิดแต่กรรมวิบากทั้งสิ้น หามิได้
ด้วยประการฉะนี้ บรมบพิตรจงทรงปัญหาข้อนี้ไว้อย่างนี้ว่า
'พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละอกุศลทั้งปวงแล้ว จึงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญู'
ขอถวายพระ
ร "ดีละ
พระผู้เป็นเจ้า ข้อวิสัชนาปัญหานี้สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น"
วรรคที่ 1
วัชฌาวัชฌปัญหา
สัพพัญญูภาวปัญหา
เทวทัตตปัพพาชิตปัญหา
มหาภูมิจาลนปาตุภาวปัญหา
สิวิราชจักขุทานปัญหา
คัพภาวัคกันติปัญหา
สัทธัมมอันตรธานปัญหา
สัพพัญญุตปัตตปัญหา
ตถาคตอุตตริกรณียาภาวปัญหา
อิทธิปาทพลทัสสนปัญหา
วรรคที่ 2
วรรคที่ 3
วรรคที่ 4
วรรคที่ 5
วรรคที่ 6
วรรคที่ 7
วรรคที่ 8
วรรคที่ 9