ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
มิลินทปัญหา
ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย
ปรารภเมณฑกปัญหา
พระเจ้ามิลินท์ผู้ช่างตรัส ทรงสันทัดในการเถียงปัญหา ทรงพระปัญญาล่วงสามัญชน
มีพระปรีชาญาณลบล้น เห็นแจ้งในเหตุผลเสด็จเข้าไปหาพระนาคเสนเถรเจ้า
เพื่อความแตกฉานแห่งพระปรีชาเสด็จอยู่ในฉายาที่เป็นร่มเงาของพระเถรเจ้า
เฝ้าตรัสถามปัญหา ได้พระปัญญาแตกฉาน ทรงพระไตรปิฎกธรรมแล้ว
ในส่วนแห่งราตรีวันหนึ่ง เสด็จอยู่ ณ ที่สงัด ทรงพิจารณาถึงนวังคสัตถุศาสนา คือ
พระพุทธวจนะมีองค์เก้าประการ ทรงพระญาณเล็งเห็นเมณฑกปัญหา คือ
ปริศนาสองเงื่อนดุจเขาแกะ ซึ่งวิสัชนาแก้ได้เป็นอันยาก
และประกอบไปด้วยอุบายเครื่องจะยดโทษขึ้นกล่าวได้
อันมีในพระศาสนาของสมเด็จพระธรรมราชา ที่ทรงภาสิตไว้โดยบรรยายก็มี
ทรงหมายภาสิตไว้ก็มีทรงภาสิตไว้ตามสภาพก็ดี
เพราะไม่รู้แจ้งอรรถาธิบายแห่งภาสิตทั้งหลายในเมณฑกปัญหาที่สมเด็จพระชินพุทธเจ้าทรงภาสิตไว้นั้น
ในอนาคตกาลไกล จักมีความเข้าใจผิดในเมณฑกปัญหานั้นแล้วเถียงกันขึ้น
เอาเถิดเราจักให้พระธรรมกถึกเลื่อมใสเห็นชอบด้วยแล้ว
จักอาราธนาให้ตัดสินเมณฑกปัญหาทั้งหลายเสีย, ในอนาคตกาล
ชนทั้งหลายจักได้แสดงตามทางที่ท่านได้แก้ไว้แล้วนั้น
ครั้นราตรีสว่าง
อรุณขึ้นแล้ว ทรงสนานพระเศียรเกล้าแล้วทรงประณมพระหัตถ์เหนือพระเศียร
ทรงพระอนุสรถึงสมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้า ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันแล้ว
ทรงสมาทานพรตบทแปดประการ โดยทรงพระราชปณิธานตั้งพระราชหฤทัยว่า
"เราจักสมาทานองคคุณแปดประการ บำเพ็ญตบะธรรม คือ จำศีลให้ถ้วนเจ็ดวัน
ข้างหน้าแต่วันนี้ไป, ครั้นบำเพ็ญตบะธรรมครบกำหนดนั้นแล้ว
จักอาราธนาพระอาจารย์ให้เต็มใจแล้ว จักถามเมณฑกปัญหาท่าน"
ขณะนั้น
ท้ายเธอทรงผลัดคู่พระภูษากาสาวพัสตร์ ทรงสวมลองพระสกอันโล้นไว้บนพระเศียร
ถือเพศมุนีแล้ว ทรงสมาทานองคคุณแปดประการ ดังต่อไปนี้ ถ้วนเจ็ดวันนี้
1
เราจะหยุดว่าราชการ
2
เราจะไม่ยังจิตอันประกอบด้วยราคะให้เกิดขึ้น
3
เราจะไม่ยังจิตยังประกอบด้วยโทสะให้เกิดขึ้น
4
เราจะไม่ยังจิตอันประกอบด้วยโมหะให้เกิดขึ้น
5
เราจะเป็นผู้ประพฤติสุภาพ แม้แก่พวกบุรุษชนซึ่งเป็นทาสกรรมกร
6
เราจักรักษากายกรรมและวจีกรรม ให้บริสุทธิ์ปราศจากโทษ
7
เราจะรักษาอายตนะทั้งหกไม่ให้มีส่วนเหลือ
8
เราจะตั้งจิตไว้ในเมตตาภาวนา
ครั้นทรงสมาทานองคคุณแปดประการเหล่านี้แล้ว
ทรงตั้งพระหฤทัยอยู่ในองคคุณแปดประการนั้นอย่างเดียว
ไม่เสด็จออกข้างนอกถ้วนเจ็ดวันแล้ว ในวันที่แปด พอเวลาราตรีสว่างแล้ว
รีบเสวยพระกระยาหารแต่เช้าแล้ว เสด็จเข้าไปหาพระนาคเสนเถรเจ้า
มีดวงพระเนตรอันทอดลง ตรัสแต่พอประมาณ มีพระอิริยาบถสงบเสงี่ยม
มีพระหฤทัยแน่วไม่ส่ายไปส่ายมา ทรงพระปราโมทย์เบิกบานพระราชหฤทัย
สดใสชุ่มชื่นแล้วเป็นอย่างยิ่ง ทรงถวายนมัสการแทบบาทของพระเถรเจ้า
ด้วยพระเศียรเกล้าแล้ว เสด็จยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ตรัสดังนี้
"พระผู้เป็นเจ้า
ข้อความบางเรื่องที่ข้าพเจ้าจะต้องหารือกับพระผู้เป็นเจ้ามีอยู่ ใคร ๆ
อื่นไม่ควรปรารถนาให้มาเป็นที่สามในข้อความเรื่องนั้นเข้าด้วย,
ปัญหานั้นจะต้องถามได้แต่ในป่าอันเป็นโอกาสว่างสงัดประกอบด้วยองค์แปดประการ
เป็นสมณสารูป, ในที่นั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องกระทำให้เป็นข้อทีจะต้องปกปิด
ไม่ต้องกระทำให้เป็นข้อลี้ลับซึ่งจะต้องซ่อนเร้น,
เมื่อความหารือกันด้วยความประสงค์อันดีมีอยู่ ข้าพเจ้าก็คงจะฟังความลับได้
ความข้อนั้น ควรพิจารณาเห็นโดยข้ออุปมา เหมือนอะไรเล่า
เหมือนอย่างมหาปฐพี เมื่อการจะต้องผั่งมีอยู่ ก็ควรเป็นที่ผั่ง ฉันใด,
ข้อนี้ก็ฉันนั้น"
เสด็จเข้าไปสู่ป่าอันสงัดกับพระอาจารย์แล้ว ตรัสว่า "พระผู้เป็นเจ้า
บุรุษในโลกผู้จะใคร่หารือการณ์ ควรเว้นสถานแปดตำบลเสีย บุรุษผู้เป็นวิญญูขน
ไม่หารือข้อความในสถานเหล่านั้น, สถานแปดตำบลนั้นเป็นไฉน สถานแปดตำบลนั้น คือ :
1
สถานที่ไม่สม่ำเสมอ ควรเว้นเสีย
2
สถานที่มีภัย ควรเว้นเสีย
3
สถานที่ลมพัดจัด ควรเว้นเสีย
4
สถานที่มีของกำบัง ควรเว้นเสีย
5 เทวสถาน
ควรเว้นเสีย
6 ทางเปลี่ยว
ควรเว้นเสีย
7
ตะพานที่เดินข้าม ควรเว้นเสีย
8 ท่าน้ำ
ควรเว้นเสียสถานแปดตำบลนี้ควรเว้นเสีย"
พระเถรเจ้าทูลถามว่า "มีโทษอะไร ในสถานแปดตำบลนั้น ขอถวายพระพร
ร
"ข้อความที่หารือกันในสถานที่ไม่สม่ำเสมอ ย่อมแพร่งพรายเซ็งแซ่อื้อฉาวไม่มีดี;
ในสถานที่มีภัย ใจย่อมหวาด คนหวาด พิจารณาเห็นความได้ถูกต้องหามิได้:
ในสถานที่ลมพัดจัดนัก เสียงฟังไม่ถนัด: ในสถานที่มีของกำบัง
คนทั้งหลายไปแอบฟังความได้: ข้อความที่หารือกันในเทวสถาน กายเป็นหนักไป:
ข้อความที่หารือกันในทางเปลี่ยวเป็นของเสียเปล่า: ที่ตะพาน
เขย่าอยู่เพราะฝีเท้า; ที่ท่าน้ำ ข่าวย่อมปรากฏทั่วไป"
พระราชาตรัสต่อไปว่า "บุคคลแปดจำพวกเหล่านี้
ใครหารือด้วยย่อมกระทำข้อความที่หารือด้วยให้เสีย, บุคคลแปดจำพวกนั้นเป็นไฉน
1 คนราคจริต
2 คนโทสจริต
3 คนโมหจริต
4 คนมานจริต
5 คนโลภ
6
คนเกียจคร้าน
7
คนมีความคิดแต่อย่างเดียว
8
คนพาลบุคคลแปดจำพวกเหล่านี้ ย่อมกระทำข้อความที่หารือด้วยให้เสีย"
ถ
"เขามีโทษอะไร"
ร "คนราคจริต
ย่อมกระทำข้อความที่หารือด้วยให้เสีย ด้วยอำนาจราคะ, คนโทสจริต ด้วยอำนาจโทสะ,
คนโมหจริต ด้วยอำนาจโมหะ, คนมานจริต ด้วยอำนาจมานะ, คนโลภ ด้วยอำนาจความโลภ,
คนเกียจค้าน ด้วยอำนาจความเกียจคร้าน,
คนมีความคิดแต่อย่างเดียวด้วยอำนาจความเป็นคนมีความคิดแต่อย่างเดียว, คนพาล
ด้วยอำนาจความเป็นพาล"
พระราชาตรัสต่อไปว่า "บุคคลเก้าจำพวกเหล่านี้ ย่อมเปิดความลับที่หารือด้วย
หาปิดไว้ไม่, บุคคลเก้าจำพวกนั้นเป็นไฉน
1 คนราคจริต
2 คนโทสจริต
3 คนโมหจริต
4 คนขลาด
5
คนหนักในอามิส
6 สตรี
7 คนขี้เมา
8 บัณเฑาะก์
9 เด็กเล็ก ๆ"
ถ
"เขามีโทษอะไร"
ร "คนราคจริต
ย่อมเปิดความลับที่หารือด้วย ไม่ปิดไว้ ด้วยอำนาจราคะ, คนโทสจริต
ด้วยอำนาจโทสะ, คนโมหจริต ด้วยอำนาจโมหะ, คนขลาด ด้วยอำนาจความกลัว,
คนหนักในอามิส ด้วยเหตุแห่งอามิส, สตรี ด้วยความเป็นคนอ่อนความคิด, คนขี้เมา
ด้วยความเป็นคนโลเลในสุรา, บัณเฑาะก์ ด้วยความเป็นคนไม่อยู่ในฝ่ายอันเดียว,
เด็กเล็ก ๆ ด้วยความเป็นผู้มักคลอนแคลน"
พระราชาตรัสต่อไปว่า "ปัญญาย่อมแปรถึงความแก่รอบด้วยเหตุแปดประการ,
ด้วยเหตุแปดประการนั้นเป็นไฉน
1
ด้วยความแปรแห่งวัย
2
ด้วยความแปรแห่งยศ
3
ด้วยการไต่ถาม
4
ด้วยการอยู่ในสถานที่เป็นท่า คือ ทำเล
5
ด้วยโยนิโสมนสิการ คือ ความกระทำในใจโดยอุบายที่ชอบ
6
ด้วยความสังสนทนากัน
7
ด้วยอำนาจความเข้าไปเสพ
8
ด้วยสามารถแห่งความรัก|
9
ด้วยความอยู่ในประเทศอันสมควร"
พระราชาตรัสต่อไปว่า "ภูมิภาคนี้ เว้นแล้วจากโทษแห่งการหารือแปดประการ,
และข้าพเจ้าก็เป็นยอดสหายคู่ปรึกษาในโลก,
และข้าพเจ้าเป็นคนรักษาความลับไว้ได้ด้วย ข้าพเจ้าจักมีชีวิตอยู่เพียงใด
ข้าพเจ้าจักรักษาความลับไว้เพียงนั้น,
และปัญญาของข้าพเจ้าถึงความแปรมาด้วยเหตุแปดประการ,
เดี๋ยวนี้อันเตวาสิกเช่นข้าพเจ้าหาได้เป็นอันยาก
อาจารย์พึงปฏิบัติชอบในอันเตวาสิกผู้ปฏิบัติชอบ
ด้วยคุณของอาจารย์ยี่สิบห้าประการ, คุณยี่สิบห้าประการเป็นไฉน
1
อาจารย์พึงเอาใจใส่จัดความพิทักษ์รักษาอันเตวาสิกเป็นนิตย์
2
พึงรู้ความภักดีหรือไม่ภักดีของอันเตวาสิก
3
พึงรู้ความที่อันเตวาสิกเป็นผู้ประมาทหรือไม่ประมาท
4
พึงรู้โอกาสเป็นที่นอนของอันเตวาสิก
5
พึงรู้ความที่อันเตวาสิกเป็นผู้เจ็บไข้
6
พึงรู้โภชนาหารว่าอันเตวาสิกได้แล้ว หรือยังไม่ได้แล้ว
7 พึงรู้วิเศษ
8
พึงแบ่งของอยู่ในบาตรให้
9
พึงปลอบให้อุ่นใจว่า อย่าวิตกไปเลย ประโยชน์ของเจ้ากำลังเดินขึ้นอยู่
10
พึงรู้ความเที่ยวของอันเตวาสิกว่า เที่ยวอยู่กับบุคคลผู้นี้ ๆ
11
พึงรู้ความเที่ยวอยู่ในบ้าน
12
พึงรู้ความเที่ยวอยู่ในวิหาร
13
ไม่พึงกระทำการเจรจากับอันเตวาสิกนั้นพร่ำเพรื่อ
14 เห็นช่อง
คือ การกระทำผิดของอันเตวาสิกแล้ว พึงอดไว้
15
พึงเป็นผู้กระทำอะไร ๆ โดยเอื้อเฟื้อ
16
พึงเป็นผู้กระทำอะไร ๆ ไม่ให้ขาด
17
พึงเป็นผู้กระทำอะไร ๆ ไม่ซ่อนเร้น
18
พึงเป็นผู้กระทำอะไร ๆ ให้หมดไม่มีเหลือ
19
พึงตั้งจิตว่าเป็นชนก โดยอธิบายว่า ตนยังเขาให้เกิดในศิลปทั้งหลาย
20
พึงตั้งจิตคิดหาความเจริญให้ว่า ไฉนอันเตวาสิกผู้นี้จะไม่พึงเสื่อมเลย
21
พึงตั้งจิตไว้ว่า เราจะกระทำอันเตวาสิกผู้นี้ให้แข็งแรงด้วยกำลังศึกษา
22
พึงตั้งเมตตาจิต
23
ไม่พึงละทิ้งเสียในเวลามีอันตราย
24
ไม่พึงประมาทในกิจที่จะต้องกระทำ
25
เมื่ออันเตวาสิกพลั้งพลาด พึงปลอบเอาใจโดยทางที่ถูกเหล่านี้แล
คุณของอาจารย์ยี่สิบห้าประการ,
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงปฏิบัติชอบในข้าพเจ้าด้วยคุณเหล่านี้เถิด
ความสงสัยเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า, เมณฑกะปัญหาที่พระชินพุทธเจ้าทรงภาสิตไว้มีอยู่
ในอนาคตกลางไกลจักเกิดความเข้าใจผิดในเมฆฑกะปัญหานั้นแล้วเถียงกันขึ้น,
และในอนาคตกาลไกลโน้น ท่านผู้มีปัญญาเหมือนพระผู้เป็นเจ้า จักหาได้เป็นอันยาก,
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้ดวงจักษุในปัญหาเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้า
สำหรับข่มถ้อยคำของผู้อื่นเสีย"
พระเถรเจ้ารับว่าสาธุแล้ว ได้แสดงองคคุณของอุบาสกสิบประการว่า "ขอถวายพระพร
นี้องคคุณของอุบาสกสิบประการ, องคคุณของอุบาสกสิบประการนั้นเป็นไฉน:
องคคุณของอุบาสกสิบประการนั้น คือ
1
อุบาสกในพระศาสนานี้ เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กับสงฆ์
2
เมื่อประพฤติอะไร ย่อมถือธรรมเป็นใหญ่
3
เป็นผู้ยินดีในการแบ่งปันให้แก่กันตามสมควรแก่กำลัง
4
เห็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมพยายามเพื่อความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
5
เป็นผู้มีความเห็นชอบ
6
ปราศจากการถือมงคลตื่นข่าว
แม้ถึงกับจะต้องเสียชีวิตก็ไม่ถือท่านผู้อื่นเป็นศาสดา
7
มีกายกรรมและวจีกรรมอันรักษาดีแล้ว
8
เป็นผู้มีสามัคคีธรรมเป็นที่มายินดี และยินดีแล้วในสามัคคีธรรม
9
เป็นผู้ไม่อิสสาต่อผู้อื่น และไม่ประพฤติในพระศาสนานี้
ด้วยสามารถความล่อลวงไม่ซื่อตรง
10
เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ขอถวายพระพร
นี้แลองคคุณของอุบาสกสิบประการ,
คุณเหล่านี้มีอยู่ในสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าครบทุกประการ,
การที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาแล้ว
มีพระประสงค์จะให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปนั้น เป็นการควรแล้ว ชอบแล้ว เหมาะแล้ว
สมแล้วแก่พระองค์ อาตมภาพถวายโอกาส
พระองค์จงตรัสถามอาตมภาพตามพระราชอัธยาศัยเถิด"