ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน
โดย :: เจือจันทน์ อัชพรรณ (มิสโจ)
ข้อที่หนึ่ง การสร้างอนาคต
5
ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะ ขอให้หมั่นบริกรรมอย่าได้หยุดยั้ง
จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป็นนิสัย
ไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตดิ่ง
เป็นเอกัคตาแล้วไซร้ ย่อมรวมมนต์คาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรม
และจิตที่บริกรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบริกรรม
ก็จะประสบความสำเร็จทันที อธิษฐานไว้เช่นไร ก็จะสมปรารถนาเช่นนั้น
พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า
เสวียห่าย ในวันนั้นพ่อเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เหลี่ยวฝาน เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า
การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเอง ใช่รอคอยโชคชะตา มาผลักดัน เป็นไปตามยถากรรม
พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพล
ของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมา
พ่อสำรวมระวังบทบาทของกายวาจาใจ อยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมาก ความมักง่าย ตามใจตนเอง
ความไม่สำรวมอินทรีย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท
ดุจดั่งเตรียมพร้อมตั้งรับภยันตราย ที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อฉะนั้น
แม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐาน ก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดา คอยจ้องจับตามองพ่ออยู่
ต่อหน้าและลับหลังคน จึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร
วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษณี
ไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย
เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี
พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้ได้ที่หนึ่ง
พลิกความคาดหมายของท่านผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สาม
ท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีก แต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก
เป็นอันว่าคำพยากรณ์ ไม่สามารถกุมวิถีชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
แต่การทำความดีนั้น
มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้ สำรวจดูแล้ว ก็พบข้อบกพร่องมากมาย เช่นไม่มีความอาจหาญพอ
ที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย บางทีจิตใจลังเล
ไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไป บ่นว่าไป อดติเตียนเสียมิได้
เวลาปกติก็ยังมีสติควบคุมตนเองได้ดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย
ความประพฤติดั้งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีก คะแนนของกรรมดี ถูกกรรมชั่วลบไปเสียมาก
ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ ๑๑ ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๑๒-พ.ศ.๒๑๒๒
จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง
บังเอิญขณะนั้น
พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อน จึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศล
ดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ จนกระทั่งรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง พ.ศ. ๒๑๒๓
เมื่อกลับมาทางใต้แล้ว จึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคงและท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระ
ที่ทรงคุณวิเศษ มาประกอบพิธีอุทิศกุศลผลบุญ ที่ได้เพียรทำต่อเนื่อง
มาได้รวมสามพันครั้ง ตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้
แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง
พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. ๒๑๒๔ พ่อก็ได้เจ้ามา จึงตั้งชื่อให้ว่า เทียนชี่ แปลว่า
ฟ้าประทาน
เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี
พ่อก็จะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันที แต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น
เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีครั้งใด ก็ใช้ก้านขนห่าน จิ้มชาดกดวงไว้บนปฏิทิน
บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมาก วันหนึ่งๆ
แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกัน เพียงสองปีกว่าก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้
พ่อนิมนต์พระเถระรูปก่อนๆ มาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง
และเริ่มตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง
ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณ พ.ศ. ๒๑๒๙ (ประมาณ
ค.ศ. ๑๕๘๖)
พ่อได้ทำสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ให้ชื่อว่าสมุดบริหารใจตอนเช้า อันเป็นเวลา ที่พ่อนั่งชำระความ
พ่อก็ให้คนนำสมุดนี้มาวางไว้บนบัลลังก์ด้วย ในแต่ละวัน พ่อชำระคดีไว้อย่างไรบ้าง
ก็จะบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด
เพื่อไว้ตรวจสอบดูว่าจะมีอคติในการชำระความอย่างไรบ้างหรือไม่
มีความยุติธรรมเพียงพอไหม ให้ความเมตตาปรานีเพียงพอไหม
เพื่อจะได้ไว้แก้ไขในวันต่อไป พอตกกลางคืน พ่อก็ตั้งโต๊ะที่กลางลานบ้าน
พ่อแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงความเคารพต่อฟ้าดิน แล้วจุดธูปเทียนบูชาฟ้าดิน
คุกเข่าลงอ่านบันทึกนั้น แล้วเผาถวายฟ้าดินหนึ่งชุด เก็บไว้หนึ่งชุด
ที่พ่อทำเช่นนี้ ก็เพราะพ่อเห็นตัวอย่างอันดีงามนี้ มาจากขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ในสมัยราชวงศ์ซ้อง ที่ได้รับการจารึกไว้ ในประวัติศาสตร์จีน ด้วยความเคารพอย่างสูง
ว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของท่าน
เท่ากับชีวิตของท่านเอง ไม่ยอมสยบต่อขุนนางกังฉิน ดูแลความทุกข์สุขของราษฎร
และขุนนางใหญ่น้อยอย่างไม่กลัวตาย ถ้ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวง
มีการอาศัยหน้าที่หรืออิทธิพล ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้าน หรือขุนนางผู้น้อยแล้วไซร้
แม้ผู้นั้นจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงไรก็ตาม
ท่านก็ไม่เกรงกลัว เป็นต้องนำหลักฐานทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้ให้ได้รับโทษานุโทษจงได้
เมื่อท่านสิ้นอายุขัยแล้ว จึงได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่ง
ได้รับสถาปนาเป็นที่ชิงเซี่ยงกง หมายถึงผู้ที่กราบทูลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใจ
(เข้าใจว่าหมายถึง เปาบุ้นจิ้น) พ่ออ่านชีวประวัติอันเกริกเกียรติของท่านแล้ว
ประทับใจมาก จึงถือเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะต้องปฏิบัติตามให้ได้
เพื่อป้องกันการชําระความของพ่อ มิให้ด่างพร้อยเสียความยุติธรรมไปได้
พ่อจึงกระทำเช่นนี้ทุกคืน
แม่ของเจ้าแสดงความวิตกกังวลให้พ่อฟังว่า แต่ก่อนนี้อยู่บ้านเราเอง
ก็ช่วยกันทำบุญทำทาน มีโอกาสประกอบกรรมดีมาก ไม่กี่ปีก็ได้ครบสามพันครั้ง แต่ตอนนี้
เราอยู่ในสถานที่ราชการ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับคนยากจน เหมือนแต่ก่อน
ความดีหนึ่งหมื่นครั้ง เมื่อใดจะทำสำเร็จได้เล่า
ประวัติท่านเหลี่ยวฝาน
ข้อที่หนึ่ง
การสร้างอนาคต
ข้อที่สอง
วิธีแก้ไขความผิดพลาด
ข้อที่สาม
วิธีสร้างความดี
ข้อที่สี่
ความถ่อมตน