ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน
โดย :: เจือจันทน์ อัชพรรณ (มิสโจ)
ข้อที่สาม วิธีสร้างความดี
4
ที่พ่อเล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ มีอยู่สิบเรื่องด้วยกัน แม้เรื่องราวจะแตกต่างกัน
แต่ก็ล้วนเป็นการประพฤติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น
แต่ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ ก็ยังจะต้องพิจารณาว่า
การทำความดีนั้นดีจริงหรือดีปลอม บริสุทธิ์ใจ หรือไม่บริสุทธิ์ใจ
ทำแล้วมีคนรู้เห็นหรือไม่มีคนรู้เห็น ทำถูกหรือทำผิด ทำด้วยความสุจริตหรือทุจริต
ทำครึ่งๆ กลางๆ หรือทำอย่างสมบูรณ์ ทำใหญ่หรือทำเล็ก ทำยากหรือทำง่าย ทั้งหมดนี้
จะต้องใคร่ครวญให้ถ่องแท้ หากกระทำความดีโดยไม่อาศัยเหตุผลแล้วไซร้
ความดีนั้นอาจจะให้ผลร้าย เป็นบาปไปก็ได้ เป็นการสูญเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย
ทีนี้พ่อจะมาพูดให้ฟังทีละข้อ
ข้อแรก การทำความดีนั้น ทำแล้วดีจริงหรือไม่ ในสมัยราชวงศ์หยวน พ.ศ. ๑๘๑๔-๑๙๑๑
มีพระเถระรูปหนึ่งมีนามว่าท่านจงฟง ฮ่องเต้ในสมัยนั้นได้สถาปนาท่านเป็นถึงสังฆราช
ท่านมีคุณธรรมล้ำเลิศ มีคนไปนมัสการท่านมากมาย อยู่มาวันหนึ่ง
มีพวกนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ได้พากันไปนมัสการท่าน กราบถามท่านถึงปัญหาหนึ่งว่า
พระพุทธศาสนานั้น เน้นหนักในเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ดุจเงาตามตัว แต่บัดนี้ ปรากฏว่าบางคนทำความดี แต่ลูกหลานไม่เจริญรุ่งเรือง
ส่วนคนที่ทำชั่วนั้นเล่า กลับได้ดีมีหน้ามีตา
เช่นนี้แล้วจะเชื่อคำสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างไรกัน พระเถระจงฟงกล่าวตอบว่า
หากเราจะวินิจฉัยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าใช้ทัศนะของชาวโลก
ก็จะวินิจฉัยได้แง่มุมในทางโลก ถ้าใช้ทัศนะทางพุทธธรรม ก็จะวินิจฉัย
ได้แง่มุมในทางธรรม อันปุถุชนคนธรรมดา ไม่สามารถจะมองเห็นได้แจ่มแจ้งเท่า
เพราะฉะนั้น การวินิจฉัยในทัศนะทางโลก จึงไม่อาจถูกต้องเสมอไป
บางทีคนดีก็มองไปว่าเป็นคนไม่ดี ส่วนคนไม่ดีก็มองเห็นว่าเป็นคนดีไปก็มี
ชาวโลกจึงมักจะไม่สำรวจตนเอง เอาแต่โทษฟ้าดินลำเอียง
แล้วท่านก็ให้พวกนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ลองยกตัวอย่าง
ที่พวกเขาเห็นว่าดีและไม่ดีออกมา จะได้เข้าใจความหมายของความดีถ่องแท้ขึ้น
บางคนก็ยกตัวอย่างว่า การตีคน ด่าคนไม่ดี การอ่อนน้อม มีมรรยาทดีจึงจะดี
บางคนก็ยกตัวอย่างว่า การละโมบ อยากได้ของเขาอื่นไม่ดี
การไม่โลภถือสันโดษเป็นความดี ท่านจงฟงเถระก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า
ไม่ใช่อย่างว่าเสมอไป
ท่านอธิบายว่า
ถ้าเราทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นเรียกว่า ทำความดี แต่ถ้า
เราทำเพื่อตัวเราเองนั่นคือความไม่ดี ถ้าเราทำเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น
ถึงแม้เราจะตีเขาก็ดี ดุด่าว่ากล่าวก็ดี ล้วนแต่เป็นการกระทำดีทั้งนั้น
ถ้าเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจึงอ่อนน้อมต่อผู้อื่น ทำความคารวะต่อผู้อื่น
นี่เป็นความดีปลอม ไม่ใช่ดีจริง ฉะนั้น การกระทำใดๆ ก็ตาม
ถ้าทำเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้วไซร้ เป็นความดีจริงทั้งนั้น
ถ้าเราทำเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง ก็เป็นดีปลอมทั้งนั้น
ถ้าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีความจริงใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน
จึงจะเป็นความดีที่ดีแท้ หากยังต้องการอามิสสินจ้างรางวัล จึงจะทำความดี
ความดีนั้นก็เป็นดีปลอม เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะกล่าวว่า สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี
คนนี้ดี คนนี้ไม่ดี ก็จะต้องพิจารณา ใคร่ครวญทุกแง่ทุกมุมเสียก่อน มิฉะนั้น
การวินิจฉัยของเราก็จะเกิดการผิดพลาดขึ้นได้
ทีนี้พ่อจะพูดถึง ความดีข้อที่สอง
คือทำความดีโดยบริสุทธิ์ใจ หรือแฝงด้วยเจตนาใดๆ สมัยนี้คนส่วนมาก
ชอบคนที่มีนิสัยไม่ดื้อรั้นว่าเป็นคนดี
แต่นักปราชญ์ท่านมักจะชอบคนที่เป็นตัวของตัวเอง เพราะคนชนิดนี้ มักจะสอนง่าย
แต่หาได้ยากมาก คนที่ว่านอนสอนง่าย ชักจูงอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
ถึงแม้ใครต่อใครพากันชมเชย ว่าเป็นคนดีนักหนาก็ตามที
แต่ท่านนักปราชญ์กลับเห็นว่า คนชนิดนี้เป็นผู้ร้ายในคุณธรรม สอนให้ดีได้ยาก
หาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความดีความไม่ดี
ชาวโลกมักเห็นตรงข้ามกับนักปราชญ์เสมอ ส่วนเทวดาฟ้าดินนั้น
มีความเห็นตรงกับนักปราชญ์เสมอ ดังนั้น การทำความดีจึงมิได้อาศัยที่ตาดู หูฟัง
แต่ต้องเริ่มที่ใจของตนเอง เริ่มไตร่ตรอง สำรวจตนเองอย่างระแวดระวัง
อาศัยกำลังใจของเราเองซักฟอกจิตใจให้ใสสะอาด ไม่ว่าจะทำอะไร
ก็ให้คิดถึงประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อน แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ไม่แฝงไว้ด้วยเจตนาที่จะต้องการการตอบแทนจากใคร จึงจะเป็นความดีโดยบริสุทธิ์
หากเราทำความดีเพื่อเอาใจผู้อื่นก็ดี หวังการตอบแทนก็ดี
ก็ไม่ใช่ความดีที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจแล้ว เป็นการเสแสร้งเพทุบาย
เพื่อหวังประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์
จะถือเป็นความดีแท้ไม่ได้
ส่วนความดีข้อที่สาม
คือการทำดีที่มีผู้รู้เห็น และไม่มีผู้รู้เห็น ถ้าเราทำความดี มีคนรู้เห็นมาก
ก็กลายเป็นความดีทางโลกไป แต่ทำแล้วไม่มีผู้รู้เห็น เหมือนการปิดทองหลังพระ
นี่เป็นความดีทางธรรม ความดีทางธรรม ฟ้าดินย่อมประทานผลดีให้ ส่วนความดีทางโลก
ก็จะได้รับแต่ชื่อเสียงเกียรติยศ ความมั่งคั่งเป็นผลตอบแทน
การมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น ชาวโลกมักจะเห็นว่า เป็นผู้มีบุญวาสนา
แต่ทางธรรมแล้วเห็นว่า ผู้นั้นมิได้ทำความดีมากพอกับการมีชื่อเสียง
จึงมักจะได้รับผลไม่ดีในบั้นปลาย
แต่คนดีที่ได้รับการปรักปรำจนเสียชื่อเสียงนั้น ลูกหลานกลับรุ่งเรืองได้ดีมีสุข
เพราะผู้ที่ได้รับการปรักปรำ สามารถอดทน ต่อการถูกประณามเหยียดหยาม
หวานอมขมกลืน ก้มหนัารับความขมขื่น ด้วยความสงบ
เป็นการสั่งสมกุศลกรรมอย่างใหญ่หลวง ลูกหลานจึงมีโอกาสได้ดี เพราะฉะนั้น
ลูกจะต้องเห็นความสลับซับซ้อนอันล้ำลึก ของการทำความดีที่ดีแท้และดีปลอม
จึงจะทำความดีได้ถูกต้อง
ความดีข้อที่สี่
คือความดีที่ทำผิดหรือทำถูก ในแคว้นหลู่สมัยชุนชิวนั้น
มีกฎหมายอยู่ข้อหนึ่งกำหนดว่า หากราษฎรในแคว้นหลู่ ถูกจับไปเป็นเชลยในแคว้นอื่น
หากมีคนไถ่ออกมาได้ ส่งคืนแคว้นหลู่ไป จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทน
เพราะสมัยชุนชิวนั้น ต่างคนต่างก็ตั้งตัวเป็นอ๋องกัน
รบราฆ่าฟันเพื่อชิงเขตแดนกัน จับเชลยศึกได้ก็นำไปเป็นข้าทาสทั้งหญิงชาย
แคว้นหลู่เป็นแคว้นเล็กๆ ไม่ค่อยจะมีกำลังไปสู้รบกับใครนัก จึงมักถูกแคว้นอื่น
บุกเข้ามาจับราษฎรไปเป็นทาสเสมอ ใครใจบุญอยากทำความดี
ก็นำเงินไปไถ่มาคืนเจ้าผู้ครองแคว้นหลู่ ก็จะได้รับเงินรางวัลทันที ต่อมา
ท่านจื่อก้ง ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านขงจื๊อ
ท่านก็ไปไถ่เชลยศึกคืนมาให้แคว้นหลู่ โดยไม่ยอมรับเงินรางวัล
เพราะท่านมีฐานะดีอยู่แล้ว ทำไปโดยมิหวังผลตอบแทนใดๆ
แต่เมื่อท่านขงจื๊อทราบเรื่องเข้า ท่านก็โกรธลูกศิษย์ของท่านมาก ท่านบอกว่า
แคว้นหลู่นั้นคนจนมาก คนรวยมีน้อย ต่อนี้ไป
คงจะไม่มีใครกล้าไปไถ่เชลยศึกอีกแล้ว
เพราะท่านจื่อก้งไปทำตัวอย่างเอาไว้เช่นนี้ ก็มีแต่คนที่มีฐานะดี
จึงจะกล้าเอาอย่างท่านจื่อก้งได้ ส่วนคนที่โลภเงินรางวัลก็ดี
คนที่ไม่ค่อยจะมีเงินนักก็ดี ต่างก็ไม่ทำความดีอีกต่อไป
เพราะไม่ได้เงินรางวัลจะทำไปทำไม ดังนี้ จึงเห็นได้ว่า นักปราชญ์นั้น
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น จึงต้องระมัดระวัง
จะทำอะไรผิดไม่ได้ คนก็จะพากันทำตามอย่างผิดๆ ไปด้วย
ความดีก็เลยเป็นความดีปลอมไป
ประวัติท่านเหลี่ยวฝาน
ข้อที่หนึ่ง
การสร้างอนาคต
ข้อที่สอง
วิธีแก้ไขความผิดพลาด
ข้อที่สาม
วิธีสร้างความดี
ข้อที่สี่
ความถ่อมตน