ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร


ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อปัญญา

เรื่อง ร้อนกายไม่ร้อนใจ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2520

2

ความจริงคนที่ประพฤติธรรมะนั้นแหละ มีธรรมะเป็นพื้นฐานอย่างมั่นคงนั่นแหละ จะช่วยตัวได้ ช่วยชาติได้ช่วยประเทศได้ เวลานี้โลกทั้งโลกมันอยู่ในสภาพอย่างไร เราลองพิจารณาศึกษากันให้ดีแล้ว เราจะพบความจริงว่าโลกทั้งโลกนี้ เป็นเมืองขึ้นทั้งนั้นไม่มีใครเป็นอิสระ ไม่มีใครมีเสรี ไม่มีชนชาติใดที่เรียกว่า อยู่อย่างอิสรเสรีโดยธรรมะ อิสรเสรีคือแบบการบ้านการเมืองอะไรไปตามเรื่อง แต่ว่าไม่เป็นอิสรเสรีโดยธรรม จิตใจไม่อิสรเสรี เพราะว่าคนเหล่านั้นละทิ้งสิ่งดีสิ่งงามไป ไม่เอาใจใส่อยู่ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ

คนอเมริกันนี่เขาพิมพ์บัตรแล้ว เขาเขียนไว้ในธนบัตรว่า "วีทรัสอินก๊อด" (we triust god) หมายความว่าเราไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้าก็เขียนไว้หรูๆ หราๆ นั่นเองละว่าไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าไว้ใจแน่หรือในพระผู้เป็นเจ้านะ ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า ไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้า ยังไม่เอาพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นดวงประทีป นำทางชีวิตอย่างแท้จริง จึงยังตกอยู่ในสภาพวัตถุนิยม แล้วก็ยังเหลวไหลกันอยู่ยังยุ่งกันอยู่ แม้ประชาชนก็ยังหลงผิดคิดทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ ที่ปรากฎเป็นข่าวว่า หญิงสาวที่เขาไปเปลือยกายที่ชายหาดมากๆ แล้วตำรวจไปจับ พวกนั้นประท้วงด้วยการแก้ใหม่ ที่ใหม่ต่อไป แล้วถือว่านี่เป็นสิทธิมนุษยชน แต่เรียกว่าสิทธิของมนุษย์ที่ทำได้จะนุ่งก็ได้ไม่นุ่งก็ได้ ตำรวจอย่ามายุ่งกับพวกฉันเลยอย่างนี้เป็นตัวอย่าง

นั่นเขาเรียกว่าไม่ได้ไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว แต่ไปไว้ใจในกิเลสแล้วนี่ ควรจะพิมพ์เสียใหม่ว่า อย่าไปไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้า ควรจะว่าเราไว้ใจกิเลสทั้งหลาย ทีนี้มันยุ่งแหละ ถ้าไว้ใจในกิเลสมันยุ่ง ทำไมจะต้องเปลือยกายเปลือยกายทำไม ถ้าคิดถึงธรรมะจำเป็นจะต้องเปลือยกายเพราะว่ามนุษย์เรานี่เมื่อเด็กมันเปลือยกาย โตขึ้นมันก็ต้องนุ่งผ้าตบแต่งร่างกาย กันร้อนกันหนาวกันเหลือบกันยุง กันสิ่งที่น่าละอาย ไม่ควรจะเปิดเผย นี่มันเป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาแต่ว่าถ้ารู้ไม่รู้จักความละอาย จิตใจมันจะเป็น มนุษย์อยู่ได้หรือ ถ้าหากว่าคิดสักเล็กน้อยว่าเอ๊ะนี่เราทำเพื่อความเป็นมนุษย์ หรือว่าเราทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อเอาใจพระหรือว่า เราทำเพื่อเอาใจผีกันแน่ ถ้าคิดให้ละเอียดก็จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้ความแล้วพวกเรานี่ มันจะชวนกันบ้าทั้งเมืองแล้ว ก็จะคลายลงไป แต่ก็ไม่อย่างนั้น ไม่มีความคิดในรูปอย่างนั้น ทำไปตามเรื่องของเขา ก็แสดงว่าไม่ไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้าไม่เอาธรรมะมาใช้ จึงเกิดเรื่องวุ่นวายกันเป็นทาสของกิเลสกันไปตามๆ กัน

ถ้าสมมติว่าจะพูดจะอะไรกันนะต้องมีเรื่องเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ข้างหลังเสมอ แม้ว่าสัญญาอะไรกันก็ต้องเอารัดเอาเปรียบกันนิดๆ หน่อยๆ ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้าฉันเอาเปรียบแกได้ฉันจะต้องเอาละ ฉันไม่ยอมเป็นอันขาด นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ละ ชาติใหญ่ก็อย่างนั้น ชาติเล็กนะไม่ต้องสงสัยละเป็นเบี้ยล่างชาติใหญ่เป็นธรรมดา ไอ้ชาติใหญ่มันเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลาอันนี้เขาเรียกว่าธรรมดาโลก ปลาใหญ่มันก็ต้องกันปลาเล็กละ ปลาเล็กจะได้กินปลาใหญ่ เมื่อปลาใหญ่ตายนั้นแหละ ถ้าปลาใหญ่ยังไม่ตายก็ยังไม่ตอดหรอก แต่ถ้าตายเข้าวันไหน ปลาเล็กก็ว่ากูต้องกินแกบ้างละ คราวนี้เลยมันก็กินกันใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้

นี่มันไม่ใช่วิสัยของโลกที่มีธรรมะ แต่มันเป็นวิสัยของวัตถุของจิตใจ ที่ยังมิได้อบรมไม่ได้ฝึกฝนด้วยคุณธรรม จึงเป็นกันอย่างในรูปอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นจิตใจที่ได้อบรมบ่มนิสัยในทางธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือทางศาสนาใด เราอย่าไปรังเกียจกันเลย ในเรื่องของศาสนาว่าคนนั้นเป็นพุทธ คนนั้นเป็นคริสต์คนนั้นเป็นอิสลาม คนนั้นเป็นฮินดู ก้อย่าไปถือเลย

อาตมาเคยพูดในที่ๆ เขาอภิปรายกันหลายศาสนาเขาชอบอย่างนี้ โดยมากพี่น้องชาวอิสลามเขาชอบให้อภิปรายหลายศาสนา แต่เพียงเปลือกนอก คือการแต่งกายการโพกหัว การนุ่งผ้า การใส่เสื้อในรูปนั้นรูปนี้ หรือว่าการทำพิธีไหว้แบบนั่น แบบนี้ อะไรต่างๆ นั้น ไม่ใช่เนื้อแท้อะไรหรอก เป็นแต่เพียงเปลือกนอกทั้งนั้น แต่ว่ามนุษย์ในโลกเรานี้ชอบติดเปลือกไว้ก่อนถ้าถึงเนื้อมันน้อย คล้ายมดแดงแฝงพวงมะม่วงงอม มันเที่ยวไต่อยู่นั้นแหละไต่รอบนอก ไต่ไปไต่มาไม่ได้แอ้มสักหน่อย พอมะม่วงก็คนก็สอยเยาไปกินเสีย มดแดงก็มองชะเง้อต่อไป ไอ้ลูกไหนที่จะสุกกูจะไปไต่มันต่อไปมันเป็นอยู่อย่างนั้น

คนนับถือศาสนาก็คล้ายๆ กันเที่ยวไต่อยู่ตามขอบคัมภีร์บ้าง ตามโบสถ์ ตามพระพุทธรูปบ้าง อะไรอย่างนี้ อะไรเที่ยวไต่อยู่นั่นแหละ เที่ยวอ้อมโบสถ์บ้างไม่เข้าไปในโบสถ์ ไปเจอพระพุทธรูปก็ติดแต่พระพุทธรูปอยู่นั่นแหละ ไม่ได้เปิดเข้าไปถึงเนื้อในของพระรูปสักที นี่เขาเรียกว่าติดเปลือก ถ้าติดเปลือกอยู่อย่างนี้ทะเลาะกันตาย เปลือกมันไม่เหมือนกันนี้ ทะเลาะกันใหญ่ สมมติว่าเราได้มะพร้าวกันมาคนละผล ไอ้คนหนึ่งได้ผลเล็ก คนหนึ่งได้ผลใหญ่ คนหนึ่งได้มะพร้าวแก่ คนหนึ่งได้มะพร้าวห้าว ก็เถียงกันอยู่นั่นแหละว่าของกูสีเขียว ว่าของกูสีน้ำตาลของข้ามันใหญ่โว้ย ของข้ามันเล็ก ไม่ปลอกเปลือกออก แล้วก็ไม่คั้นเอาน้ำกะทิไปกินเป็นแต่เพียงน้ำกะทิ ก็ยังมีเปลือกอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังมีน้ำเจือปนอยู่ ต่อเมื่อใดเราไปเคี่ยวน้ำกะทินั้น ได้น้ำมันมะพร้าวล้วนๆ เคี่ยวร้อยครั้งได้น้ำมันมะพร้าวแท้ว่าอย่างนั้นเถอะ เขาจึงพูดว่าน้ำมันที่เคี่ยวร้อยครั้งนี้คือเคี่ยวๆ ๆ ๆ จนกระทั้งเหลือน้ำมันจริงๆ เรียกว่าน้ำมันแท้ ถ้าเอาไปใช้เป็นประโยชน์ต่อไป โดยมากไม่ถึงของแท้หรอก มักจะได้ของปลอมทุกที เวลานี้มันเป็นอย่างนั้นแหละ

คนถือศาสนาทั้งหลาย มักถือศาสนาแต่เพียงชื่อแต่ไม่พยายามเข้าถึงธรรมะอันเป็นเนื้อแท้ของศาสนา ถ้าถึงธรรมะแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่ต้องเถียงกัน ไม่ต้องทะเลาะกัน ไม่ต้องแบ่งกันว่า ฉันเป็นคริสต์ นั่นเป็นพุทธ นั่นเป็นอิสลาม แต่เรามารู้เข้าใจ ในใจเราบอกว่าเขานั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมแล้วก็เหมือนกัน จะเอาธรรมะจากคัมภีร์ไหนก็ตามเถอะ มันก็เท่ากันเช่นเป็นคนซื่อสัตย์ มันก็ซื่อสัตย์เท่ากัน เป็นคนไม่ซื่อมันก็ไม่ซื่อเท่ากันแหละ คนไม่โลภมันก็เหมือนกัน เอาคัมภีร์ไหนมาก็ได้แล้วเราประพฤติตามหลักธรรมนั้นก็ใช่ได้ ถ้าไม่มีการสอนให้เข้ากันเรื่องอย่างนี้มีแต่สอนให้ยึดมั่นถือมั่น ถือเขาถือเราแล้วบางทียังกีดกัน กันเสียอีกน่ะ ไม่ได้ฟังคำสอนศาสนาอื่นอะไรอย่างนี้แหละ

คือนั้นมีคนหนึ่งพูดดี เป็นอิสลามว่า เออ.. วิทยุเปิดเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงมาฟังกันได้พวกเราล่ะ พระเทศน์ไม่ฟังฮื่อ.. พระเทศน์นี่มีนดีกว่าเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ท่านสอนไม่ให้เพาะกิเลส ไม่ให้เพาะความชั่ว ไม่ฟังพอได้ยินเสียงพระพูดก็ปิดวิทยุเสียเลย แต่พอเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงมา เปิดก้องบ้านไปเลย นี่มันอะไรกันมี่ แกพูดจาเข้าทีนะไอ้คนนั้นน่ะ นี่จิตใจมันพอเป็นธรรมบ้างคือพอให้คนรู้บ้างว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ หรือว่าไม่ใช่เสียงในคัมภีร์โกระอ่านเขาไม่ฟัง คือเขาถือว่าเสียงไม่ใช่เสียงในคัมภีร์ พอเราอ่านเขาไม่ฟัง จะฟังแต่เสียงเฉพาะคัมภีร์นั้น อีกอันหนึ่งเขาว่ากับชาวบ้าน แม้จะเป็นคนขี้เมายังไหว้ได้แต่พอแต่งตัวเป็นพระมาแล้วก็ไหว้ไม่ได้ พระกับชาวบ้านอันไหนดีกว่ากัน พระแกดีกว่าชาวบ้าน ประพฤติตามพระวินัยครบถ้วนก็ยังดีกว่าชาวบ้านทั้งหลาย แต่เราพอเจอชาวบ้านยกมือไหว้ เจอกำนันก็ไหว้ เจอผู้กองก็ไหว้แม้เมาก็ไหว้ แต่เจอพระกลับไม่ไหว้ เรื่องอะไรเขาว่าอย่างนั้น เออฟังแล้วมันจะเข้าทีสักหน่อย แสดงให้เห็นว่ามันควรจะเช้ากันระหว่างต่างศาสนา ต่างชาติ ต่างผิวต่างวรรณะ ไม่ควรจะถือกัน คนเรามันโง่ที่มาถือกันอย่างนั้น เช่นการถือผิวในอัฟริกาใต้นั้น โง่ทั้งนั้นมีเรียนปริญญาสูงๆ แต่ว่ายังโง่ นี่มันโง่เพราะอะไร โง่เพราะความยึดมั่นตัวเดียว อุปาทานว่าฉันผิวขาวนั่นแหละลองเปิดหนังออกดูซิ แล้วเอาเลือดคนผิวขาวกับคนผิวดำมาดูกันซิ มันเลือดสีเดียวกันไม่ใช่อายเลือดแขกดำมันสีดำเมื่อไร ก็แดงนั่นแหละ เลือดผิวขาวก็ไม่ใช่เลือดขาว ถ้าเลือกขาวมันก็ไปป่าช้า มันเป็นโรคเร็งในเส้นเลือดแล้วมันอยู่ไม่ได้ มันแดงทั้งนั้นละ แต่ว่าไม่ได้นึกไปอย่างนั้น มาเถียงกันอยู่ได้

มันคล้ายๆ กับว่าคนมาเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง สมัยก่อนนี้ตามโรงพักเขาแขวนตะเกียงไว้ แล้วตะเกียงนั้นมีแก้วหลายสี สีเขียว สีเหลือง สีขาว สีม่วง สีแดงละเขาติดไว้ที่คนมาดูตะเกียง คนหนึ่งมาดูด้านไฟสีเขียวไปบอกว่าตะเกียวสีเขียว ไฟสีเขียว เฮ้ยไฟสีขาว ไอ้นั่นบอกว่าไฟสีแดง อ้ายนั่นบอกไฟสีม่วง เถียงกันอยู่นั่นแหละสามสี่คนนั่งเถียงกันอยู่ จะชกปากกันอยู่แล้ว ว่ามันไฟสีนั่นสีนี้ แล้วก็มีคนฉลาดอยู่คนหนึ่งบอกว่าอย่าเถียงกันเลย ฉันจะไปเอาตะเกียงมาดูกันดีกว่า เอาตะเกียงมาแล้วเอาแก้วออกหมดแล้วก็ดูว่าไฟมันสีอะไร อ้อไฟมันสีเดียวกัน ดูทางช่องนี้ซิอ้อเหมือนกัน ดูช่องนั้นบ้างช่องนี้บ้างซิมันก็เหมือนกันดูช่องโน้นมันก็เหมือนกัน ดูทุกช่องไฟมันเหมือนกัน เพราะไม่มีแก้วเข้ามาใส่มันก็เป็นอะไร เหมือนกับเราใส่แว่นตาแว่นตาสีชา มองอะไรก็เป็นชาไปหมดละ แว่นตาสีเขียวมองอะไรก็เป็นสีเขียวไปหมด เราใส่แว่นตาสีแดง เอ้อโลกมันจะแดงเถือกไปหมด อันนี้ไม่ใช่ความจริงอย่างนั้น นั่นมันเป็นเพียงมายาที่เราไม่รู้จักกับเรื่องที่แท้จริง เพราะอย่างนี้แหละมนุษย์มันถึงยุ่งกันหนักหนา

ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนเราอย่างไร ท่านสอนเราให้เพิกสิ่งที่เป็นมายาออกไป ให้ถอนเปลือกทั้งหลายออกไป ให้ถอนเปลือกทั้งหลายออกไปแล้วเอาแต่เนื้อแท้กัน เนื้อแท้ของคนนั้นนะมันอยู่ที่อะไร ก็อยู่ที่จิตนั่นเอง จิตที่จะรู้สึกนึกคิดในเรื่อยอะไรๆ ต่างๆ ญาติโยมเคยอ่านหนังสือสูตรเวยหล่างหรือเปล่า ถ้าอ่านสูตร เวยหล่างจะพบคำสำคัญหนึ่ง คือขณะที่เด็กน้อยเวยหล่างไปหาอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่า เธอมาจากไหน บอกว่ามาจากทางใต้ บอกว่าคนเมืองใต้ คนป่าคนเยิงจะมาทำไม อาจารย์เล่นงานเอาแล้ว ว่าคนว่าคนเยิงมาจากบ้านป่าเมืองดอย จะมาศึกษาธรรมะ คนป่าคนเยิงจะมาเรียนภาษาธรรมะกับเขาด้วยหรือ อาจารย์พูดสัพยอกอย่างนั้น ไม่ได้ว่าอะไรนักหนา เจ้าเวยหล่างเด็กน้อย ตอบว่าอย่างไร บอกว่าแม้จะเป็นคนป่าคนเยิง จิตที่จะรู้ธรรมะก็มีเหมือนกัน อาจารย์บอกว่าตอบเข้าทีดีนี่ ว่าอย่างนั้น เธอตอบเข้าทีดี ไป๊...หุงข้าว ตำข้าวผ่าฟืนดีกว่า ก็ส่งเข้าครัวเสียเลย ไปตำข้าว ไปผ่าฟืน ไปอะไรไปตามเรื่อง ตามฐานะของเด็ก

แต่ว่าคำตอบของเด็กที่ว่าจิตที่มันจะรู้ธรรมะมันมี ไอ้จิตที่จะรู้ธรรมะนะ ไม่ใช่เป็นหญิงนะ แล้วก็ไม่เป็นชายนะ ไม่ใช่เป็นแขก ไม่เป็นผิวดำ ไม่เป็นผิวขาว ไม่เป็นศาสนิกในศาสนานั้นศาสนานี้ แต่มันเป็นจิตล้วนๆ เป็นจิตที่จะเข้าถึงความสงบ ถึงความสะอาด ความสว่าง มันเป็นธรรมะที่จะเข้าถึงความสงบ ถึงความสะอาด ความสว่างมันเป็นธรรมที่จะเข้าถึงเข้าถึงได้มันไม่มีอะไร ทีนี้เราไปเข้าไม่ถึงจุดนั้นหัน ไปติดอยู่ข้างนอกเลยไม่เข้าถึงเนื้อแท้ ถ้าทุกคนที่นับถือศาสนาพยายามเข้าถึงตัวแท้ตัวจริงแล้ว เรื่องทะเลาะกันก็ไม่มี เราสามารถจะเข้ากันได้ เราฟังอะไรมันเป็นธรรมะทั้งนั้นแหละ จะไปฟังพระฝรั่งเทศน์มันก็เป็นธรรม ไปฟังฮินดูเทศน์ก็เป็นธรรม ไปฟังพวกอิสลามพูดเป็นธรรมก็เป็นธรรม มันธรรมทั้งนั้นมันไม่มีอะไรที่จะไปทะเลาะกัน

คนที่ทะเลาะกันนั้นเป็นคนที่ไม่มีธรรมะขณะทะเลาะไม่มีธรรมะ เราเถียงกันนี่ไม่มีธรรมะอะไร มันมีแต่ความโกรธ มีแต่ความเกลียด มีแต่ความถือตัวถือตน สำคัญตนผิดอย่างนั้น สำคัญอย่างนี้ เถียงกันจนหน้าแดง มันไม่มีธรรมเวลานั้น สามีภรรยานี้อยู่ในบ้านมีธรรมะทั้งสองฝ่ายไม่ทะเลาะกันเลย ไม่มีเถียงกัน ไม่มีอะไรถ้าฝ่ายหนึ่งดังขึ้นมาฝ่ายนั้นก็เงียบเสีย เพราะฝ่ายหนึ่งรู้ว่านั่นมันไม่เป็นธรรม เมื่อความไม่เป็นธรรม เมื่อความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นแก่ฝ่ายหนึ่ง แล้วเราจะไปเพิ่มความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นอีกทำไม เราเงียบเสียดีกว่า ไอ้คนที่ไม่เป็นธรรมมานึกขึ้นได้ว่ากูนี่เลอะอยู่คนเดียวก็ละอาย พอละอายก็หยุดเรื่องมันก็สงบเท่านั้นเอง

แต่ที่มันไม่สงบก็เพราะว่า แข่งกันสร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในใจ เราไม่ทำไม่แข่งกันสร้างในความเป็นธรรม แต่ไปสร้างในความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้น เลยทะเลาะกัน แล้วพอทะเลาะกันแล้วต่างคนก็ต่างคนก็ว่ากูไม่ยอม กูไม่ยอม ไอ้คำว่ากูไม่ยอมนั่นคืออะไร นั่นแหละตัวอธรรมแท้ๆ แหละที่เข้ามาครองร่างเราอยู่ เราไม่เป็นไทยแล้ว เราไม่เป็นมนุษย์ ไม่เป็นพุทธบริษัทแล้ว แต่ว่าเป็นอะไร เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมเข้ามาครองร่าง มาบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไปแล้ว ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนายไปแล้วทีนี้ นี่แหละมันไปกันใหญ่ละ ต่างคนต่างก็เพาะเชื้อแห่งความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ตีกันทะเลาะกันยิงกันตายทั้งสองฝ่าย แต่ผลที่สุดก็ปิดฉากกันเท่านั้นเอง นี่คือตัวอย่างที่เห็นกันง่าย

เพราะฉะนั้นในสังคมปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายจึงควรจะได้นึกไว้ในใจว่า ตัวเราแท้คือธรรมะ ธรรมะนั้นคือความสงบ คือความสะอาด คือความสว่างที่อยู่ในตัวเรา แต่บางครั้งความสว่างหายไป มีความมืดเข้ามาแทน บางครั้งความสงบหายไป มีความวุ่นวายความทุกข์เข้ามาแทน ความสะอาดหายไป มีความสกปรกเร่าร้อนเข้ามาแทน เราจึงต้องคอยสังเกตดูจิตของเรา เวลาใดมันมืดต้องขจัดความมืดออกไป จุดตะเกียงส่องเข้าไป ตะเกียงนั้นคือนึกถึงธรรมะ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ พอนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ใจมันก็สว่างขึ้นมา รู้สึกตัวว่ามแหมเผลอไปหน่อย แล้วเราก็กลับใจมาอยู่ในที่สว่างต่อไป พอรู้สึกว่าเราอยู่ในที่สกปรก เราก็ต้องรู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่กูแล้วไม่ใช่ตัวเดิมแล้ว แต่เป็นสิ่งที่แทรกแซงเข้ามา แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจของเรา เราต้องเอาเจ้านี่ออก การจะเอาออกนั้นก็ต้องเพ่งลงไป เพ่งว่าสิ่งนี้คืออะไร กิเลสมันไม่ทนต่อความเพ่ง พอเราเพ่งมันละลายไปเลยแหละ ไอ้เจ้าตัวปัญญาที่เราเอามาเพ่ง ทำให้กิเลสละลายหายไป ก็เหลือแต่ความสะอาดเป็นตัวเดิม ถ้าวุ่นวายขึ้นมา เราก็รู้ว่าไอ้ตัวนี้มาอีกแล้ว มาทีไรแล้วทำให้ยุ่งทุกที เพราะมันทำความเดือดร้อน เราก็เอาปัญญาเข้าไปเพ่ง พอเอาปัญญาเข้าไปเพ่งเจ้าความวุ่นวายมันสงบลง เราก็เป็นตัวเองต่อไป

อันนี้ต้องหมั่นคอยสังเกตควบคุมตัวเองไว้ตลอดเวลา การควบคุมตัวเองนั้นก็ควบคุมด้วยสติของเรานั่นเอง ต้องหัดทำตนให้เป็นคนมีสติสมบูรณ์ มีสติก็หมายความว่าให้รู้ตัว ให้รู้สึกตัวว่าเรากำลังคิดทำอะไร กำลังพูดอะไรให้รู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไร กำลังพูดอะไร เรากำลังจะทำอะไร เรากำลังจะไปที่ใด ไปหาใคร แล้วก็ตั้งปัญหาถามต่อไปว่า ไอ้สิ่งที่เราจะทำนั้นมันคืออะไร มันเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลล่ะ มันเป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นเหตุให้เกิดสุขเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรขึ้นมาต้องตรวจ ต้องตรวจ ต้องสอบต้องวิจัยค้นคว้าด้วยตัวของเราเอง โดยอาศัยปัญญาที่ได้รับไปจากการอ่านการฟังนี่แหละ

การอ่านการฟังนี่ เรียกว่าเป็นปัญญาขั้นพื้นฐาน สำหรับเอาไปไว้เป็นแว่น ส่องดูสิ่งทั้งหลายที่มันจะเกิดขึ้นในใจของเรา ถ้าเห็นว่ามันดีส่งเสริมทำต่อไป แต่ถ้าเห็นว่าไม่ได้ความว่าไอ้นี่มาทีไรกูยุ่งทุกที เราก็บอกว่าหยุดไม่เอา บอกให้หยุดเสียอย่าทำอย่างนั้นต่อไป หมั่นทำบ่อยๆ อะไรๆ มันก็จะดีขึ้น จิตใจก็สงบขึ้นสบายขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจไว้อย่างนี้

นี่คือธรรมะสำหรับแก้ร้อน เอาไปใช้ แต่ว่าร่างกายมันก็ยังร้อนอยู่นั่นแหละเหงื่อก็ยังโทรม ญาติโยมนั่งตรงนั้นไม่ร้อนเท่าไรมีพัดลม อาตมายืนตรงนี้รู้สึกว่าร้อนเหลือเกิน ถ้าหากว่าไม่เคยเทศน์ก็จะเทศน์ไม่ไหวร้อนเต็มที แต่ว่าเพราะเคยมันก็เทศน์ได้ เรื่องร้อนมันก็ไปได้เท่านั้นเอง
วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลา.

<< ย้อนกลับ

» มองทุกให้เห็นจึงเป็นสุข

» ทุกข์ซ้อนทุกข์

» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย

» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่

» มันเป็นเช่นนั้นเอง

» ศีลธรรมและสัจจธรรม

» แหล่งเกิดความทุกข์

» องค์สามของความดี

» หลักใจ

» ทำดีเสียก่อนตาย

» ตามรอยพุทธบาท

» ฐานของชีวิต

» ความพอใจเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

» ชั่งหัวมัน

» อนัตตาพาสุขใจ

» ฤกษ์ยามที่ดี

» อดีต ปัจจุบัน อนาคต

» วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า

» สำนึกสร้างปัญญา

» สอนลูกให้ถูกวิธี

» ปฏิวัติภายนอกกับภายใน

» ร้อนกายไม่ร้อนใจ

» อย่าโง่กันนักเลย

» การทำศพแบบประหยัด

» คนดีที่โลกนับถือ

» ความจริงอันประเสริฐ

» เสรีต้องมีธรรม

» ทาน-บริจาค

» เกียรติคุณของพระธรรม

» เกียรติคุณของพระธรรม (2)

» พักกาย พักใจ

» เกิดดับ

» การพึ่งธรรม

» อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์

» มรดกธรรม

» ฝึกสติปัญญาปัญหาไม่มี

» ทำให้ถูกธรรม

» วางไม่เป็นเย็นไม่ได้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย