ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ความจริงอันประเสริฐ
วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2520
2
ลูกเต้าเราเลี้ยงมาจนเติบโตแล้ว เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว เขาทำมาหากินของเขาได้ ก็ทำอะไรของเขาไปตามเรื่อง เราหมดหน้าที่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป ในเรื่องนี้ขอโทษเถอะ ให้ดูสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานพอลูกโตแล้ว มันปล่อยวางเลยทีเดียว มันปล่อยว่างไม่เป็นหรอก แต่ว่าธรรมชาติ ให้มันปล่อยวางเอง ไม่มีข้อผูกพันกันต่อไป ลูกวัว ลูกควาย ไม่มีข้อผูกพันแล้ว มันก็ไปหากินตามเรื่องของมัน ทีนี้คนเราสมมติว่าลูกมันไม่ดี เราก็นึกว่า มันเป็นลูกวัวลูกควายเสียก็แล้วกัน ปล่อยมันไปตามเรื่อง สุดแล้วแต่มันจะไปไหน มันจะทำอะไรก็ช่างหัวมัน เฉยๆ ตัดบัญชีออกไปเสียก็หมดเรื่อง มันสบายใจ
มีแม่คนหนึ่งแกใจเด็ดเหมือนกัน เรียกว่า ลูกมันไม่ดี ไม่เรียบร้อย เลยให้เงินมันก้อนหนึ่งบอกว่า เออนะ นี่ก้อนสุดท้ายแล้วที่แม่ให้ แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วก็ไปเถอะ ไปทำมาหากิน ตามเรื่องตามราว ไม่ต้องส่งข่าวให้แม่รู้ จะชั่ว จะดี อย่างไรไม่ต้องบอก เพราะว่าแม่ตัดออกจากบัญชีไปแล้ว แล้วก็ไม่ถามข่าวจริงๆ แต่ว่าลูกนั้นก็ไม่ทิ้งหรอก ไปอยู่ไกลก็อุตส่าห์โทรศัพท์มาหาคุณแม่ บอกว่าเวลานี้ ก็ดีขึ้นแล้ว ทำมาหากินเป็นหลักเป็นฐาน ไม่เหลวไหลเหมือนก่อนแล้ว พอจะรับเข้าบัญชีของแม่ได้แล้วหรือยัง แม่ก็บอกว่า มันยังเข้าไม่ได้ ยังไม่ถึงขนาด ยังเข้าบัญชีไม่ได้ นี่มันต้องเด็ดขาดกันอย่างนี้ ตัดบัญชี ถ้าลูกเราไม่ได้เรื่อง ก็ตัดบัญชีไป นึกว่าฉันไม่มีก็แล้วกัน ความจริงมันก็ไม่มี
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า คนเรามักคิดว่า บุตรของฉัน ทรัพย์ของฉัน อะไรๆ ของฉัน ตัวฉันก็ยังไม่มีแล้ว จะมีอะไรเป็นของฉันอีกเล่า ท่านว่าอย่างนี้ อันนี้ เป็นข้อคิดที่ดี เราควรจะเอามาคิดไว้ในชีวิตของเรา ในเรื่องที่มันจะก่อให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนในใจ เป็นปัญหาขึ้นในชีวิตประจำวันเรื่องอื่นก็เหมือนกัน เรื่องการงาน เรื่องการเงิน การเป็นการอยู่ต่างคน ถ้าเราเป็นผู้ศึกษาธรรมะเป็นยา เยี่ยวยารักษาชีวิตของเรา มองเห็นอะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา อะไรเกิดขึ้นก็มองเห็นว่า เออมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้บ้าง มันจะเป็นเหมือนอย่างที่เราต้องการเสมอไปหาได้ไม่ สมมติว่า เป็นนักธุรกิจ จะมีกำไรทุกครั้งหรือ โยมบางคนเป็นพ่อค้า ค้าขายนี่มีกำไรทุกครั้งหรือไม่มี แล้วขาดทุนทุกครั้งหรือ มันก็ไม่มีเหมือนกัน บางทีมันก็ได้กำไร บางทีมันก็ขาดทุน บางทีก็กำไรเยอะ อิ่มอก อิ่มใจ เชิญเพื่อนมากินเลี้ยงกันใหญ่เลย กำไรเยอะ
แต่บางทีก็ใจเหี่ยวแห้ง ต้นหายปลายสูญ กำไรก็ไม่มี ทีนี้ถ้าเป็นคนไม่เคยมาวัดชลประทานฯ ก็ต้องไปเที่ยวถามหมอดูดวง ทำไมมันจึงขาดทุนหนักหนา หมอคนไหนก็ต้องว่าดวงไม่ดี เพราะไปบอกหมอว่าขาดทุน จะขืนทายว่าดวงดีไปอย่างไร มันผิดลักษณะ เลยบอกว่าแหมดวงไม่ค่อยดี เมื่อไหร่มันจะดี อีกห้าหกเดือนว่าอย่างนั้น หมอแกก็ฉลาดเหมือนกัน อีกห้าหกเดือนทายเสี่ยงๆ ไปอย่างนั้น ถ้าบังเอิญห้าหกเดือนมันดีขึ้น หลวงพ่อทายแม่นดี เอาเงินมาถวายสักสองพัน กลายเป็นเรื่องได้ หรือว่าเสี่ยงไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร
ทุกชีวิตมันก็เป็นอย่างนั้น เราคิดในรูปอย่างนี้ ก็จะเห็นว่า อ๋อเหมือนกัน เรากับเขาเหมือนกัน เขากับเราเหมือนกัน มีสภาพเป็นอยู่เช่นเดียวกัน คือไหลไปเปลี่ยนแปลงไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเราจะอยู่ให้สบาย ก็ต้องหัดปล่อยหัดวาง หัดทำจิตให้มันว่างๆ จากความยึดถือ ในเรื่องต่างๆ เสียบ้างด้วยการพิจารณาถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่า มันคืออะไร มันมีสภาพอย่างไรที่แท้จริง ให้คิดในรูปอย่างนี้เราก็จะเห็นความจริงในสิ่งต่างๆ มากขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า" เมื่อใดเห็นทุกข์ เมื่อนั้นเราจะพ้น จากความทุกข์ " คือเรื่องทุกข์นี่มันต้องกำหนดรู้ ต้องรู้จักมัน ถ้ามันเกิดขึ้นในใจของเรา รู้เพียงเท่านั่นไม่พอ เราจะรู้ต่อไปว่า มันทุกข์เรื่องอะไร ศึกษาไต่ถามตัวเอง ในขณะที่เราศึกษาค้นคว้าทุกข์เบาลงแล้ว เพราะจิตมันเปลี่ยนอารมณ์ ขณะที่เป็นทุกข์จิตมันไปอยู่กับความทุกข์ คิดแต่เรื่องทุกข์ คิดแต่เรื่องกลุ้มใจเท่านั้นแหละ
แต่พอเรานึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ให้กำหนดรู้เรื่องทุกข์ที่เกิดขึ้น เราก็ค่อยเพ่งมองเข้าไปด้านใน มองไปที่ความคิดของเรา ถามตัวเองว่า ทุกข์เรื่องอะไร ใครๆก็ตอบได้ เพราะเป็นเรื่องกินกับปากอยากกับท้องของตัวทั้งนั้นในเรื่องทั้งหลาย เราก็บอกได้ว่ามันทุกข์เรื่องนั้น เป็นทุกข์เรื่องนี้ แล้วเราก็วิเคราะห์ต่อไปว่าเรื่องนั้นมันเรื่องอะไร ทำไมจึงต้องมานั่งกลุ้มใจกับเรื่องอย่างนั้น ทำไปจึงมาเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องอย่างนั้น แล้วขณะที่นั่งเป็นทุกข์นี่มันเป็นอย่างไร ไม่สบายร่างกายผิดปกติ ท้องไส้ก็ไม่ค่อยจะดี มึนศีรษะ หน้ามืดตามัว มันจะพาลเป็นลมเอาเสียด้วยซ้ำไป เพราะเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจ กินอาหารก็ไม่ค่อยได้ไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ ที่ไม่หลับเรื่องอะไร ก็คิดด้วยเรื่องความทุกข์นั่นเอง แต่ไม่ได้คิดด้วยปัญญา คิดด้วยอวิชชา การคิดด้วยอวิชชา ก็คือคิดแต่เรื่องทุกข์เอาเรื่องทุกข์มาคิด คิด คิด คิดด้วย อวิชชา แต่ถ้าเราคิดด้วยปัญญาเราเอามาคิดสะสางปัญหา ว่าเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร มันทำให้เราเป็นทุกข์เพราะอะไร คิดไปคิดมาเราก็เข้าใจยิ่งขึ้น ผลที่สุดก็ปล่อยวางได้ คือปลงตกลงไม่ว่าเออเรื่องเล็กขี้ผง ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แล้วเราก็ปล่อยวางเรื่องนั้น อันนั้นก็พ้นไปเปราะหนึ่ง
อาจจะเกิดเรื่องใหม่ขึ้นมาในวิถีชีวิตของเราอีกต่อไป เราก็พิจารณาสะสางมันไปในรูปอย่างนั้น กำหนดรู้พิจารณาไป ผลที่สุดก็ค่อยหลุดไปเปราะๆ เรื่องๆ ไป ทุกครั้งที่เรากำหนดทุกข์ คิดแก้ปัญหา ปัญญา เกิดขึ้น ปัญญา ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับแสงสว่างมันเพิ่มขึ้น มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ถ้าแสงสว่างน้อยมองเห็นไม่ชัด เพิ่มแสงสว่างขึ้นก็เห็นชัดมากขึ้น ฉันใดในเรื่องเกี่ยวกับปัญญาในชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเพ่งมันมากเข้ามองมากเข้า เราก็จะเห็นว่ามันคืออะไรมากขึ้น จิตใจ ของเราก็จะรู้แจ้งในเรื่องนั้นต่อไป มีเรื่องประเภทนั้นเกิดขึ้นเราก็ยิ้มรับได้ มีเรื่องอย่างนี้ฉันเคยผ่าน ฉันเคยวิเคราะห์วิจัยมาแล้ว มันไม่มีอะไรที่เป็นสาระ เป็นแก่นเป็นสาร เราก็ปล่อยเรื่องนั้นผ่านพ้นไป อันนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ
ทีนี้ เรื่องบางเรื่องเราไม่อยู่ในวิสัย ที่จะไปแก่ภายนอก แต่ว่ายุ่งกับตัวเราเอง จัดการกับตัวเราเอง อย่าไปจัดการกับคนข้างนอก เช่น เรื่องของคน เรื่องสัตว์ เรื่องของวัตถุ ของสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถจะจัดได้ ถ้าเราไม่มีอำนาจ ที่จะไปจัดสิ่งนั้น แต่เราจัดตัวเราได้ การจัดเรื่องของตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก จัดเรื่องคนอื่นซินี่แหละยาก เรื่องของตัวเองนั้นไม่ยาก แต่ว่าต้องจัดด้วยความตั้งใจด้วยความอดทน ด้วยความเพียรมั่น ด้วยปัญญา ด้วยสติ ให้มันพร้อมสมบูรณ์ขึ้นแล้ว เราก็สามมารถจะจัดปรับปรุงตัวได้ทุกโอกาส ทำตัวเราให้เข้าแนวทางที่ถูกที่ชอบ ตามหลักเหตุผลทางพระพุทธศาสนา นี่คือการแก้ไขปัญหา เรื่องความทุกข์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่า ทุกข์เป็นเรื่องที่ต้องกำหนดรู้ เราจึงต้องกำหนดรู้ไว้ว่าทุกข์อะไร แล้วก็แยกแยะวิเคราะห์วิจัย ในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้เห็นชัดสภาพที่เป็นจริง ก็จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้เบาบางลงไป แต่ถ้าหากว่าเรายังทำไม่ได้ เพราะว่าปัญญาน้อย ก็ต้องเข้าใกล้ผู้รู้ไว้ ผู้รู้เป็นบุคคลก็ได้ เป็นวัตถุก็ได้ ผู้รู้ที่เป็นบุคคลที่มีความรู้มีความเข้าใจธรรมะ สามารถจะชี้แจงแนวทางชีวิตของเราให้ถูกต้อง เข้าใจตรง ส่วนผู้รู้อีกอันหนึ่งก็คือหนังสือตำหรับตำราทางศาสนา ซึ่งเราควรจะมีไว้ใกล้เมื่อเป็นเพื่อนสองของเรา เพื่อนแท้ของเรา หยิบมาอ่านบ่อยๆขณะอ่านมันก็หายกลุ้มแล้ว เพราะใจไปอยู่กับหนังสือ ความคิดเป็นทุกข์มันก็ไม่มี
ทีนี้ในขณะอ่านนั้นเรารู้จักทาง รู้จักวิธีการ เราก็เอาทางนั้นวิธีการนั้น มาใช้ต่อไป จิตใจสบายขึ้นการมาวัดในวันว่างงานว่างการ เราก็เป็นการแสวงหาเครื่องมือ เอาไปใช้บำบัดทุกข์ในชีวิตประจำนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรจะได้มา ถ้าเรามีเพื่อนฝูงมิตร สหายเขาแนะนำเรา บอกว่าเป็นทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจ ก็ควรจะไปฟังธรรมที่นี่ที่นั่น นั่นนับว่าเป็นกัลยาณมิตรของเราเป็นเพื่อนที่ชี้ทางสวรรค์ให้แก่เรา ให้เราได้เข้าเส้นทางถูกแล้ว ก็เดินตามเส้นทางนั้นต่อไป แต่ถ้าเมื่อเพื่อนบางคนแนะนำว่า กลุ้มใจหรือ ไปหาหลวงพ่อวัดนั้น หลวงพ่อวัดนี้ สะเดาะเคราะห์รดน้ำมนต์ อะไรอย่างนี้ ทำพิธีเกิดใหม่ ก็ยังได้ พิธีเกิดใหม่มันมี เกิดสักร้อยหนมันก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ ยังโง่อยู่เหมือนเดิม มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เกิดแบบนั้นทีนี้ก็ทำพิธีเกิดใหม่ได้เหมือนกัน คือว่าสอนให้เปลี่ยนชีวิตจิตใจ เรียกว่า เกิดใหม่
เมื่อก่อนนี้เราเป็นคนไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องอะไรๆเกี่ยวกับเรื่องชีวิต อยู่ด้วยความเขลา ทีนี้มาฟังมาศึกษาบ่อยๆก็เกิดความเข้าใจ ก็เรียกว่าได้ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่คือชีวิตที่มีปัญญา มีความเข้าใจตัวเอง รู้จักสิ่งที่เกิดขึ้น รู้จักเหตุของมัน แล้วก็รู้จักว่าจะแก้ไขเรื่องนั้นอย่างไร นี่ชีวิตใหม่ เราได้ชีวิตใหม่ ใครแนะนำเราให้เข้ามาศึกษาธรรมะ ก็เท่ากับว่าให้เราเกิดใหม่ตามทางของ พระพุทธเจ้า เราก็ได้ความรู้ความเข้าใจ ญาติโยมที่มาวัดแล้วนี้เหมือนกัน อย่ามาคนเดียว มีเพื่อนฝูงญาติมิตรสหายให้ ชวนกันมา ดึงกันมา ให้เข้ามาวัด ได้ฟังธรรม ให้ได้ศึกษาศาสนา การช่วยเหลือเพื่อนฝูงในรูปจิตเป็นการช่วยอย่างแท้จริง การช่วยเพียงให้ของกินของใช้ เป็นการช่วยเหลือทางวัตถุ แต่ว่าจิตใจไม่ได้ช่วย ก็ยังไม่คลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน เราก็ต้องช่วยทั้งสองอย่าง คนใดควรจะช่วยวัตถุก็ช่วยไป คนใดควรจะทางจิตทางวิญญาณ เราก็ช่วยเขา จึงจะเป็นการถูกต้องตามธรรมะ ในทางพระพุทธศาสนา เรื่องนี้จึงขอฝากให้ญาติโยมทั้งหลายนำไปพิจารณา ไว้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง วันนี้ก็เป็นวันแรมค่ำหนึ่งเดือนแปด เรียกว่า เป็นวันเข้าพรรษา การเข้าพรรษาเป็นเรื่องของพระ ทางพระวินัย คือว่าพอถึงวันแรมค่ำหนึ่งเดือนแปดนี้เป็นฤดูฝน ประเทศอินเดียนั้นมีฤดูสาม ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว พอพ้นฤดูร้อนวันเพ็ญเดือนแปดหมดเขตฤดูร้อน แรมค่ำหนึ่งนี่เข้าเขต ฤดูฝน ถึงกลางเดือนสิบสองก็หมดเขตหน้าฝน แรมค่ำหนึ่งเดือนสิบสองก็เป็นฤดูเหมันต์ คือฤดูหนาว ไปจนถึงกลางเดือนแปด พระสงฆ์ในครั้งพุทธกาลนั้นจาริกไปเที่ยวสอนประชาชน ตลอดสองฤดูกาล คือ หน้าหนาวหน้าร้อน แต่พอถึงหน้าฝนการไปมาไม่สะดวก ก็ต้องหยุดพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง เรียกว่า อยู่จำพรรษา การอยู่จำพรรษานั้นจะอยู่ที่ใดก็ได้ ขอให้มีที่มุงที่บัง คือมีหลังคำมีฝากั้น เป็นกะต๊อบน้อย สมัยก่อนพระไม่ได้อยู่ในวัดเสมอไป เดินๆ ไปพอถึงแรมค่ำหนึ่งเดือดแปดที่ตำบลนี้ ก็บอกญาติโยมว่า อาตมาจำพรรษาที่นี่ เอาป่านี้ญาติโยมก็ไปสร้างกะต๊อบให้ หลังเล็กๆ มุงด้วยใบไม้พออยู่ได้สี่เดือนในฤดูฝน ท่านก็อยู่ที่นั่น
แล้วก็ทำหน้าที่นำประชาชนในถิ่นนั้นต่อไป อันนี้เป็นกิจวัตรของพระในเรื่องทางวินัย พระทุกรูปต้องอยู่จำพรรษาเมื่อถึงวันเข้าพรรษา การเข้าพรรษาในวันแรมค่ำหนึ่งเดือนแปด เรียกว่า เข้าพรรษาต้น แต่ถ้าไม่สามารถจะเข้าได้ในวันวันนี้ เพราะอยู่ในขณะเดินทาง ให้ไปเข้าพรรษาหลังได้ คือวันตรงค่ำหนึ่งเดือนเก้า เข้าพรรษาต้นไปออกกลางเดือนสิบเอ็ด เข้าแรมค่ำหนึ่งเดือนเก้าไปออกกลางเดือนสิบสอง สามเดือนเหมือนกัน ก็อยู่ในฤดูฝนนั่นแหละ ไม่พ้นฤดูฝน ก็กลางเดือนสิบสองก็หมดในเขตฤดูฝน ทุกรูปต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็เรียกว่าต้องอาบัติเพราะละเลยขนบธรรมเนียม ละเลยพระวินัยเป็นการลงโทษ
ในฤดูการเข้าพรรษาเราควรจะถือว่า เป็นสัจจฤดูคือเป็นฤดูแห่งการทำจริง เป็นฤดูกาลแห่งการก้าวหน้าเป็นฤดูแห่งการขูดเกลาตัวเราให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นจึงขอเชิญชวนญาติโยมทั้งหลายว่า ในฤดูกาลเข้าพรรษาคือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เราตั้งจิตอธิษฐาน ว่าเราจะทำอะไร ในเรื่องที่จะเป็นไปเพื่อความขูดเกลา เพื่อสร้างเสริมชีวิตจิตใจให้ดีให้งามขึ้น ให้อธิษฐานใจว่าจะอยู่ทำอะไร พระท่านอธิษฐานใจว่า อยู่จำพรรษาสามเดือน แล้วก็มีการอธิษฐานใจเพิ่มเติมเช่นว่า ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ครบสามเดือนในพรรษา เราชาวบ้านก็เช่นเดียวกัน อย่าอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำอะไรพรรษามันจะผ่านพ้นไปโดยไม่ได้ประโยชน์
แต่ควรจะได้ตั้งใจว่าควรจะทำอะไรในฤดูการเข้าพรรษานี้ ตลอดสามเดือนเช่นตั้งใจว่าจะตักบาตร ถวายอาหารแก่พระทุกเช้า ไม่มากมายอะไร ถวายสักองค์สักถ้วยหนึ่งกับข้าวนิดหน่อย ทำกันทุกบ้านมันก็มากเอง จะตักบาตรทุกวัน ถ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เราก็อธิษฐานเรื่องอื่นอีกต่อไป เช่นอธิษฐานว่าจะไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน จะนั่งสงบใจทุกคืนก่อนนอน ตื่นเช้าจะไหว้พระสวดมนต์ทุกคืน จะนั่งสงบใจอย่างนี้ก็ได้ หรือตั้งใจว่า ในวันอาทิตย์ทุกวันจะมาฟังเทศน์วัดชลประทาน ฯไม่ขาดตลอดสามเดือนพรรษา หรือว่าเกินไปก็ไม่เป็นไร ว่าไปเรื่อยๆ อธิษฐานว่าอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจ การอธิษฐานนี่สร้างความมั่นใจให้แก่เรา ทำอะไรโดยไม่มีอธิษฐานนั้นไม่มั่นใจไม่แข็งแรงแม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านก็ทรงอธิษฐาน เช่น อธิษฐานในวันจะตรัสรู้ พอปูหญ้าคาลงใต้ต้นโพธิ์แล้วก็ยืนอธิษฐานใจว่า เลือดเน้อจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ช่างหัวมันเถอะ สิ่งใดที่จะสำเร็จได้ด้วยความเพียรความบากบั่นของคน ถ้าเราไม่บรรลุนั้นเราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด นี่อธิษฐานแรงกล้า ยอมให้กระดูกเปื่อยอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในวันนี้ ถ้าไม่สำเร็จแล้วจะไม่ลุกขึ้นเป็นอันขาด แล้วก็สำเร็จ
ครั้นเมื่อสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงอธิษฐานว่าเราจะมีชีวิต จนกว่าธรรมะจะมั่นคง ถ้าว่าธรรมะยังไม่มั่นคงในโลกนี้ยังไม่ปรินิพพาน ก็เป็นการอธิษฐานเหมือนกัน แล้วก็ทำตามที่อธิษฐานไว้ จนธรรมมั่นคงเหลือมาจนถึงพวกเราในปัจจุบันนี้ เราทุกคนก็ควรจะมีการอธิษฐานใจ เช่นคอทองแดงทั้งหลายก็อธิษฐานใจเสียว่า จะเลิกคบกันสักสามเดือนเอามาเป็นไว้ก่อน เอาสักสี่เดือนกว่า สามเดือนมันน้อยไปตลอดฤดูฝน เลิกคบกันสี่เดือน บางคนสี่เดือนนี่ก็เลิกได้ แต่วันออกพรรษาแล้วเตรียมกันเป็นการใหญ่ฉลองออกพรรษา ถอยกลับไปอยู่ที่เดิม ไปได้สามเดือนแล้วถอยกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวหน้า ไม่ไปรอดอย่างนี้ ไปแล้วต้องอย่ากลับมาพระผู้มีพระภาคท่านบอกว่า เมื่อชนะแล้วจงรักษาความชนะนั้นไว้อย่าให้กลับแพ้เสียอีกเป็นอันขาด เราได้ชนะแล้วก็เลิกมันเสียเลย หรือว่าญาติโยมที่ชอบญาติมิตรอะไรต่ออะไรกัน เลิกกันทีในพรรษาอย่าคบกันเลย เลิกญาติเลิกมิตรกันเสียที ฉันจะได้พักผ่อนให้มันสบายเล่นไพ่ไม่ใช่พักผ่อน มันเครียดเหมือนกันไม่ใช่พักผ่อนตานี่มันก็ต้องเพ่งอยู่ กระดาษสีมันก็ไม่ค่อยกินกับตาสีขาวกับสีดำสลับกันดูแล้วตามันลาย นั่งดูบ่อยๆ ชักจะตามืด แล้วก็นั่งทรมานสังขารร่างกายมันไม่เหมาะสามเดือนนี่เลิกกันพักผ่อน ถือศีลถือธรรมกันเสียมั่งหยุดจากเรื่องอย่างนั้น อย่างนี้ ก็เรียกว่าอธิษฐานใจสุดแล้วแต่เลือกว่าจะอธิษฐานอะไร ให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรจิตใจให้เป็นไปในทางที่เจริญงอกงามด้วยศีลด้วยธรรมในทางพระพุทธศาสนา ให้จิตใจเรา สะอาด สว่าง สงบ ขึ้นนั่นแหละ จึงจะเป็นการดี หรืออธิษฐานว่าในสามเดือนนี้ต้องสวดมนต์แปลให้ได้ ซื้อไปสักเล่มหนึ่งท่องมันทุกคืน สวดให้มันได้ไม่ต้องมาถือหนังสือต่อไป ที่นี้ไปที่ไหนก็สวดได้เรื่อย หรือว่าเราจะยกบทไหนขึ้นมาพิจารณาก็ได้ เพราะเราจำขึ้นใจแล้ว แล้วก็จะได้สวดกันสะดวก เราก็ตั้งใจอย่างนั้น จึงขอยุติไว้แต่เพียงนี้.
<< ย้อนกลับ
» ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
» วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
» หลักใจ
» เกิดดับ
» มรดกธรรม