ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม

หอพระไตร

» พระวินัยปิฎก

» พระสุตตันตปิฎก

» พระอภิธรรมปิฎก

» พระสูตร

พระไตรปิฎกฉบับประชาชน

พระสูตร

พระสูตร พรหมชาลสูตร

เรื่อง สุปปียปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ

อันตานันติกทิฏฐิ ๔

[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ ๔ ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ ๔ ประการ

๙. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ขัาพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

[๓๖] ๑๐.(๒) อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่าไม่มีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่าหาที่สุดมิได้ ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ขัาพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

[๓๗] ๑๑.(๓) อนึ่ง ในฐานะที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร เป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่าด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่าโลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั่งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ขัาพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

[๓๘] ๑๒. (๔) อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิญาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่าโลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ ทั้งสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุดนั้นเท็จ โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ ๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ จะบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฯลฯ เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ฯลฯ ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคต ตามความเป็นจริงโดยชอบ

- จุลศีล
- มัชฌิมศีล
- มหาศีล ติรัจฉานวิชา
- ทิฏฐิ ๖๒
- ปุพเพนิวาสานุสสติ
- สัสสตทิฏฐิ ๔
- เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ ๔
- อันตานันติกทิฏฐิ ๔
- อมราวิกเขปีกทิฏฐิ
- อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒
- อปรันตกัปปีกทิฏฐิ
- สัญญีทิฏฐิ ๑๖
- อสัญญีทิฏฐิ ๘
- เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ ๘
- อุจเฉททิฏฐิ ๑๘
- ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
- ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ


» กัจจานโคตตสูตร

» เกสปุตตสูตร

» กุตุหลสาลาสูตร

» โกกนุทสูตร

» ขันธ์สังยุต ทิฏฐิวรรค

» เขมาเถรีสูตร

» จูฬกัมมวิภังคสูตร

» จูฬมาลุงโกยวาทสูตร

» ตตถสูตร

» ติมพรุกขสูตร

» ทิฏฐิกถา

» ทิฏฐิสังยุต จตุตถเปยยาล

» ทิฏฐิสังยุต ตติยเปยยาล

» ทิฏฐิสังยุต ทุติยเปยยาล

» ทิฏฐิสังยุต โสตาปัตติวรรค

» ทิฏฐิสูตร

» ปรัมมรณสูตร

» ปัญจัตตยสูตร

» โปฏฐปาทสูตร

» พรหมชาลสูตร

» ภัททิยสูตร

» โมคคัลลานสูตร

» โรหิตัสสสูตรที่ ๑

» วัจฉสูตร

» สภิยสูตร

» สามัญญผลสูตร

» สารีปุตตโกฏฐิตสูตร ที่ ๑

» สารีปุตตโกฏฐิตสูตร ที่ ๒

» สารีปุตตโกฏฐิตสูตร ที่ ๓

» สารีปุตตโกฏฐิตสูตร ที่ ๔

» สาฬหสูตร

» อนันทสูตร

» อนุราธสูตร

» อัคคิวัจฉโคตตสูตร

» อุตติยสูตร

» อเจลกัสสปสูตร

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย