สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เศรษฐศาสตร์และการเมือง
อภิชัย พันธเสน
2
ประวัติที่เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กับการเมืองของประเทศ
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้ว
และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นรุ่นสุดท้ายของยุคตลาดวิชา
จึงอาจจะช่วยเชื่อมโยงอดีตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะ
ที่เป็นตลาดวิชาเข้ากับการรับรู้ของคณาจารย์และผู้ที่สนใจอื่นๆ ในรุ่นปัจจุบัน
การที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (University of Moral and Political
Science) ถือกำเนิดขึ้นในปี 2576 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นั้น
ก็ถือได้ว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง
นอกจากนั้นการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เน้นวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ก็เพื่อเหตุผลในการเผยแพร่และสร้างจิตสำนึกของการเมืองในระบบประชาธิปไตยออกไป
ในวงกว้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมหาวิทยาลัยถูกจัดตั้งขึ้นมาพร้อมกับประเด็นเพื่อถามหา
ความเป็นธรรมในสังคม
ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ตลอดไปในสังคมประชาธิปไตย
การถามหาความเป็นธรรมในยุคต้นของมหาวิทยาลัยย่อมมีผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเมืองและการปกครองที่ดำรงอยู่ในสังคมในขณะนั้น
ที่มีพื้นฐานจากความเป็นจริงประกอบกับความเชื่อของชนชั้นนำหรือชนชั้น
ในขณะนั้นว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังมีการศึกษาไม่มากพอ
และนอกจากนั้นการศึกษาที่ดีก็ยังไม่กระจายอย่างทั่วถึง
โดยตัวแทนของชนชั้นปกครองในยุคนั้น ก็คือทหารซึ่งมีอำนาจทางการทหารหนุนหลัง
โดยมีสถาบันกษัตริย์ในฐานะที่เป็นสถาบันอันสูงสุดที่สถาบันทหารสามารถใช้อ้างอิงได้เป็นเครื่องรับรองความชอบธรรมของสถาบันทหาร
เมื่อเป็นเช่นนั้นสถาบันทหารจึงจำเป็นต้องได้รับการท้าทายจากคำถามถึงความเป็นธรรมในสังคม
ซึ่งแนวคิดสังคมนิยมที่ได้แพร่หลายในขณะนั้นมีคำตอบสำเร็จรูปให้อยู่แล้ว
การปะทะกันระหว่างแนวคิดทั้งสองซึ่งมีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ที่พรวนดินใส่ปุ๋ยให้กับแนวคิดสังคมนิยม
ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกเพ่งเล็ง และมีความพยายามจากรัฐเผด็จการทหารในยุคนั้น
จะพยายามครอบงำ มิให้หน่ออ่อนของความคิดสังคมนิยมเกิดขึ้นได้ในมหาวิทยาลัย
วิชาธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์และการเมืองในยุคนั้น จนต้องถูกลดทอนความเป็น การเมือง
ลงมาเหลือแต่ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิชาเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของประเทศไทยในขณะนั้นที่สอนวิชานี้
ก็จะยิ่งถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งคือชนชั้นปกครองที่จะป้องกันมิให้เกิดหน่ออ่อนทางความคิดสังคมนิยม
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็คืออาจารย์และกระบวนการสังคมนิยมภายนอกมหาวิทยาลัยก็พยายามที่จะเข้ามามีบทบาทที่จะช่วยให้นักศึกษาคิดถึง
แนวทางเลือก โดยฝ่ายแรกมีสถานะภาพที่สูงกว่าคือ
มีกฎหมายและอำนาจจากสถาบันทหารรองรับ
แต่ฝ่ายหลังใช้การอธิบายด้วยตรรกะประกอบกับความรู้ที่ไหลบ่ามาจากทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก
ผลก็คือมีอาจารย์ถูกห้ามไม่ให้เข้ามาสอนในคณะเศรษฐศาสตร์เป็นระยะๆ
วิชาหลักเศรษฐศาสตร์ถูกเปลี่ยนจากตำราที่แปลมาจากภาษาฝรั่งเศสมาเป็นตำราที่เขียนโดยศาสตราจารย์
ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้นคือ ศาสตราจารย์ Paul Samuelson
นักศึกษาทำกิจกรรมทางการเมืองได้ภายในขอบเขตจำกัด
กรณีตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ความเป็นธรรมจะเป็นมิติที่ทุกฝ่ายปรารถนายกเว้นชนชั้นปกครอง
แต่ในสภาพที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดการศึกษา และขณะที่ชนชั้นปกครองยังมีอำนาจสูง
ปัญญาชนคนชั้นกลางที่ได้รับความรู้ในเรื่องเหล่านี้พยายามจะก่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดย่อมไม่สามารถทำให้บังเกิดผลได้
ตรงนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่เข้าใจบริบทและพลังอำนาจทางการเมืองขณะนั้น
การดันทุรัง ย่อมมีผลเพียงทำให้อาจารย์ที่มีความตั้งใจ จะก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคม ถูกระงับไม่ให้สอน ตลอดจนผู้นำนักศึกษาบางคน อาจถูกลบชื่อ
หรือมีประวัติอยู่ที่ตำรวจสันติบาลที่มีหน้าที่โดยตรงในการติดตามตรวจสอบคดี
ทางการเมือง
มีผู้บริหารมหาวิทยาลัยขณะนั้นที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและสามารถทำงานร่วมกับอำนาจที่ครอบงำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในยุคดังกล่าวได้
ได้เสนอให้นักศึกษาหันมาให้ ความสนใจเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎี
แต่ขออย่าให้เคลื่อนไหวอย่างเด่นชัด ขอให้รอโอกาส ให้ประเทศไทยมีความพร้อมกว่านี้
ซึ่งคำเตือนดังกล่าวก็มีคุณูประการแก่นักศึกษาจำนวนหนึ่ง ในขณะนั้นที่ค่อนข้างจะมาก
ให้หันมาเอาดีทางการเล่าเรียนแทนการเคลื่อนไหวและ สำเร็จการศึกษาในระดับสูงในที่สุด
เพื่อที่จะสามารถรับใช้อุดมการณ์ที่เคยมีได้ในระยะที่ยาวกว่าและทำหน้าที่ได้นานกว่าเป็นต้น
ถึงแม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเปิดเผย แต่คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ไม่เคยทิ้งห่าง การเมือง เมื่ออดีตศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย
อึ้งภากรณ์ ได้รับที่จะดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และค่อยๆ
ถอนตัวจากการเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีตัวอย่างทางการเมืองที่น่าสนใจที่อาจจะนำมาเป็นกรณีศึกษาได้
ท่านอาจารย์ป๋วย ได้เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่ามหาวิทยาลัยของท่าน
คือมหาวิทยาลัย London ที่มี School ที่เด่นคือ London School of Economics and
Political Science นั้นถอดแบบ มาจากมหาวิทยาลัย Paris ที่ท่านศาสตราจารย์
ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สำเร็จการศึกษามา
ข้อต่างกันเพียงแต่ว่าของอังกฤษนั้นเป็นระบบมหาวิทยาลัยจำกัดรับ
ขณะที่มหาวิทยาลัย Paris เป็นระบบไม่จำกัด ในขณะที่ท่านอาจารย์ปรีดี
เรียกระบบสังคมนิยมของท่านว่าลัทธิสมานฉันท์ (Socialism)
ท่านอาจารย์ป๋วยนั้นสนใจและยึดมั่นในแนวทาง Fabian Socialism
คือการเปลี่ยนไปสู่สังคมนิยมโดยสันติวิธีและด้วยปัญญาคล้ายๆ
กับธรรมมิกสังคมนิยมของท่านอาจารย์พุทธทาส
โดยที่ทั้งสองท่านคือทั้งท่านอาจารย์ปรีดีและ
ท่านอาจารย์ป๋วยนั้นมีความเข้าใจในเรื่องพุทธธรรมเป็นพื้นฐานที่ลึกซึ้ง
ซึ่งทำให้ทั้งสองท่าน มีความแตกต่างจากสังคมนิยมในตะวันตกที่เป็นแม่แบบ
ทั้งสองท่านมีความเข้าใจสังคมไทย เป็นอย่างดี
แม้กระนั้นทั้งสองท่านก็ไม่พ้นจากการกล่าวให้ร้ายจากฝ่ายสุดโต่งที่อยู่ตรงข้าม
ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าท่านทั้งสองมาก่อนกาลเวลาอันสมควร
แต่ก็เป็นต้นทุนที่ทั้งสองท่านจำเป็นต้องยอมรับ
ในกรณีของท่านอาจารย์ป๋วย
งานทางวิชาการแรกที่ท่านส่งเสริมคือให้มีการจัดสัมมนานักวิชาการชั้นนำ
ในขณะนั้นได้มีข้อเสนอให้มีการยกเลิกค่าพรีเมียมข้าว
ซึ่งเป็นภาษีส่งออกของข้าวที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและสร้างปัญหาความยากจนให้กับชาวนาในอดีตที่ผ่านมา
อันเป็นผลจากความจำเป็นของรัฐบาลของประเทศไทยในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ไม่สามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำได้จากแหล่งภาษีส่งออกอย่างอื่นนอกจากภาษีข้าว
แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปมีการพัฒนาประเทศจนเกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างเมืองและชนบท
การเก็บภาษีดังกล่าวจึงเป็นการลำเอียงช่วยเหลือผู้ที่มีฐานะดีอยู่แล้วและเกิดความไม่เป็นธรรม
อย่างยิ่งสำหรับคนยากจน แต่ก็ปรากฏว่ารัฐบาลในยุคนั้นไม่ยอมเปลี่ยนใจ
เพราะมีหลายฝ่าย ได้ประโยชน์จากการเก็บพรีเมียมข้าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บย่อมมีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐมนตรีและรัฐบาลในยุคนั้น
สิ่งที่ควรจะมีการศึกษาแต่ไม่ได้ทำในยุคนั้นคืองานวิจัยอาจจะต้องดำเนินต่อไปถึงขั้นที่จะต้องเปิดเผยว่าใครได้ประโยชน์บ้างจากการคงค่าพรีเมียมข้าวเอาไว้
แต่ถ้าจะมีการวิจัยในประเด็นนี้นักวิจัยเองก็คงจะมีปัญหากับฝ่ายการเมืองด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งในยุคของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี (2523-2530)
ซึ่งเป็นยุคที่ ราคาสินค้าในตลาดโลกตกต่ำทั่วโลกติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี
จนไม่สามารถจะเก็บค่าพรีเมียมข้าวได้
การเก็บค่าพรีเมียมข้าวจึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าความคิดที่ดีในทางเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถแปรเป็นนโยบายเพื่อไปสู่การปฏิบัติได้ถ้าโอกาสทางการเมืองไม่เอื้ออำนวย
ดังนั้นในยุคที่ท่านศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เป็นคณบดี
คณะเศรษฐศาสตร์นั้น สิ่งหนึ่งที่ท่านได้ทำเป็นระยะๆ
คือมีการประชุมภายในเฉพาะอาจารย์ ในคณะเศรษฐศาสตร์
มีการอธิบายเหตุผลทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังอันไม่อาจเสนอ
ให้สาธารณชนรับรู้ได้ เนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีความรู้นั้นเอง
การกระทำดังกล่าวก็เพื่อให้อาจารย์มีข้อมูลรอบด้าน
ซึ่งก็รวมทั้งข้อมูลและบริบททางการเมืองด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับท่านศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์
ก็คือถึงแม้ท่าน
จะมีอิทธิพลในความคิดอย่างสูงกับนโยบายระดับมหภาคที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศไม่ว่า
จะในตำแหน่งประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ประธานสภาการศึกษาแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ท่านได้เล่าให้อาจารย์ในคณะฟังว่านโยบายในระดับมหภาคไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจน
ในชนบทได้อย่างแท้จริง
และนี่คือแรงบันดาลใจให้ท่านจัดตั้งมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย
และได้ผลิตนักอาสาพัฒนาเอกชนเป็นจำนวนมากในระยะต่อมา
อีกทั้งท่านได้ริเริ่มจัดทำโครงการลุ่มน้ำแม่กลองที่เป็นการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหิดล และเกษตรศาสตร์ อีกทั้งท่านได้ริเริ่มเปิดสอนวิชาพัฒนาชนบทด้วยตัวท่านเอง
ทั้งหมดนี้สะท้อนข้อจำกัดทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนั้นที่ไม่สามารถทำงานพัฒนาชนบทให้ได้ผลจากระดับนโยบายมหภาค
นี่ก็เป็นบทเรียนทางการเมืองและเศรษฐศาสตร์ที่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นต่อมาไม่ค่อยซึมซับ
เพราะยังอยากจะเรียนและเสนอนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก
เพราะจะทำให้ตนเองดูเด่นกว่าผู้อื่น
แต่ไม่อาจแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในประเทศได้นัก


