ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป>>
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
3
อาณาจักรไทยภายหลังกรุงแตก
ขณะเมื่อกรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่า เป็นครั้งที่สองใน พ.ศ.2310 นั้น บ้านเมืองต้องตกอยู่ในสภาพยุคเข็ญเป็นจลาจล ประชาชนเดือดร้อนระส่ำระสายกันทั่วไป องค์ประมุขของชาติก็ไม่มี จึงปราศจากผู้ปกครองดูแลบ้านเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ บรรดาหัวเมืองทั้งหลายที่อยู่ห่างไกลออกไปและรอดพ้นจากการรุกรานของพม่า จึงพากันตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่โดยทั่วไป ส่วนที่เป็นเมืองน้อยเห็นจะตั้งอยู่โดยลำพังไม่ได้ ก็ยอมอ่อนน้อมรวมเข้าอยู่ในอำนาจของเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง ในที่สุดจึงปรากฏว่าครั้งนั้นมีผู้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้ารวม 6 ชุมชนด้วยกัน คือ
1.ชุมชนเจ้าพระยาพิษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลกได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองพิษณุโลก มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัย (จังหวัดอุตรดิตถ์)ลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์และปากน้ำโพ เจ้าพระยาพิษณุโลกผู้นี้ เดิมชื่อ เรือง เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ที่มีความสามารถมาแต่ก่อนและเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็ง จึงมีผู้นิยมนับถือมาก เมื่อตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแล้ว ได้มีข้าราชการเก่าจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นไปสวามิภักดิ์อยู่ด้วยหลายนายด้วยกัน นับเป็นชุมนุมใหญ่ฝ่ายเหนือชุมนุมหนึ่ง
2.ชุมนุมเจ้าพระฝาง พระสังฆราชา เมืองสวางคบุรี (อยู่ในอำเภอฝาง จังหวัดอุตรดิตถ์เดี๋ยวนี้) ซึ่งอยู่ที่วัดพระฝาง ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้าทั้งยังเป็นพระภิกษุ ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า เจ้าพระฝาง มีอาณาเขตปกครองตั้งแต่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไปจนจดเขตแดนลาวและลานนาไทย
เจ้าพระฝางผู้นี้เดิมชื่อ เรือน เป็นชาวเมืองเหนือ เมื่อแรกบวชได้ลงมาเล่าเรียนอยู่ในกรุง จนได้เป็นที่พระพากุลเถระ พระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี อยู่ ณ วัดศรีอโยธยา แล้วได้เลื่อนขึ้นเป็นพระสังฆราชา เจ้าคณะเมืองสวางคบุรี กลับขึ้นไปประจำอยู่ที่วัดพระฝาง ตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าบรมโกศ เจ้าพระฝางคงจะมีเกียรติคุณในทางวิทยาคม เพราะได้เล่าเรียนวิปัสนามาแต่เดิม ผู้คนจึงมากันนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ จึงได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสมณเพศ
3.ชุมนุมเจ้านคร พระปลัดผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช เรียกกันว่า เจ้านคร มีอาณาเขตอยู่ในอำนาจตั้งแต่ต่อแดนหัวเมืองมลายูขึ้นมาจนถึงเมืองชุมพร
เจ้านครผู้นี้สันนิษฐานว่าเดิมคงจะชื่อ หนู เป็นเชื้อสายเจ้านครมาแต่เดิม แล้วได้เข้ามาถวายตัวรับราชการอยู่ในกรุง จนได้เป็นหลวงสิทธิ์นายเวร มหาดเล็ก แล้วจึงออกไปเป็นปลัดเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาพระยาราชสุภาวดีเจ้าเมืองมีความผิด ต้องออกจากตำแหน่ง พระปลัดจึงได้รั้งราชการอยู่จนเสียกรุง
4.ชุมนุมเจ้าพิมาย กรมหมื่นเทพพิพิธตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นที่เมืองพิมาย ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมาปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เจ้าพิมาย มีอำนาจปกครองอยู่ทางบริเวณหัวเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดลงมาจนถึงเมืองสระบุรี ทิศเหนือจดแดนลานช้าง ทางฝ่ายตะวันออกจดแดนกัมพูชา นับเป็นชุมนุมใหญ่ชุมนุมหนึ่ง
กรมหมื่นเทพพิพิธเป็นโอรสของพระเจ้าบรมโกศ แต่ต่อมาได้มีความผิดฐานคิดกบฎต่อพระเจ้าเอกทัศ จึงได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะลังกา ครั้นในระหว่างที่พม่าล้อมกรุงครั้งหลังสุดนี้ก็ได้กลับเข้ามา และได้ไปเกลี้ยกล่อมผู้คนทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกยกเป็นกองทัพเข้ามาช่วยรบพม่าด้วย แต่ถูกพม่ามีแตกพ่ายไป กรมหมื่นเทพพิพิธหนีไปอยู่เมืองนครราชสีมา ภายหลังคิดอ่านกำจัดเจ้าเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จ จึงยึดเอาเมืองมาไว้ในอำนาจได้ ครั้นต่อมาหลวงแพ่ง น้องพระยานครราชสีมาไปเกณฑ์คนในเมืองพิมาย ยกกลับมาแก้เอาเมืองคืนและจับกรมหมื่นเทพพิพิธได้ จะให้ประหารชีวิตเสีย แต่หากพระพิมายมีความสงสารจึงขอชีวิตไว้และขอเอาตัวไปคุมไว้ที่เมืองพิมาย
ครั้งกรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่า ข้าศึกจับเอาพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายในพระราชวงศ์ไปเสียหมด พระพิมายนับถือราชตระกูลจึงยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นเจ้า ส่วนตัวพระพิมายเองนั้น กรมหมื่นเทพพิพิธได้ตั้งให้เป็น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั้งหมด ต่อมาได้คิดอ่านกำจัดหลวงแพ่งได้สำเร็จ จึงได้เมืองนครราชสีมาและหัวเมืองขึ้นทั้งปวงมาไว้ในอำนาจด้วย
5.ชุมนุมพระนายกอง เมื่อพม่าจะเลิกกองทัพกลับไปนั้น ได้ตั้งให้สุกี้ (หรือเรียกกันอีกนัยหนึ่งว่าพระนายกอง)เป็นนายใหญ่คุมกำลังประมาณ 3,000 คน ตั้งอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น คอยเก็บกวาดผู้คนและทรัพย์สมบัติจากเมืองไทยส่งไปยังเมืองพม่า สุกี้จึงมีอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ในบริเวณหัวเมืองชั้นในของกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงโดยรอบ นับเป็นชุมนุมใหญ่ที่มีความสำคัญยิ่งชุมนุมหนึ่ง
สุกี้ผู้นี้เป็นมอญที่ได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยช้านานแล้ว และได้ทำความชอบต่อพม่าไว้ โดยเป็นผู้รับอาสาปราบชาวบ้านบางระจันได้สำเร็จ พม่าจึงตั้งให้เป็นใหญ่และทำหน้าที่ดังกล่าว
6.ชุมนุมพระยาตาก พระยาตาก(ซึ่งขณะนั้นได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ) ได้พาสมัครพรรคพวกยกออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตั้งซ่องสุมกำลังอยู่ที่เมืองจันทบุรี ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น เรียกกันว่า ชุมนุมพระยาตาก มีอาณาเขตตลอดอาณาบริเวณหัวเมืองทางชายทะเลด้านตะวันออก ตั้งแต่ต่อแดนกัมพูชามาจนถึงเมืองชลบุรี
ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งกรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแล้ว จึงยังคงเหลือชุมนุมต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่อีกรวม 4 ชุมนุมด้วยกัน คือชุมนุมเจ้าพระพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมาย และชุมนุมเจ้านคร ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะต้องทรงปราบปราม เพื่อรวบรวมเข้ามาไว้เป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป
หน้าถัดไป >>>


