วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
พระอภัยมณี
ตอน มังคลาชิงโคตรเพชร
หน้า 2
ฝ่ายฝรั่งลังกาที่เป็นกองหน้า มีพระหัสกันเป็นายทัพ ต่างก็แล่นเรือตามเข็ม มุ่งหน้ามาทิศอาคเนย์ มาถึงสะดือสมุทร เหล่ากำปั่นก็หวนหันเห คลื่นทะเลใหญ่ขย่อนเรือจนคลอนโคลง
ย้ายแยกแตกกระบวนบ้างทวนกลับ
ยิงปืนรับเรียกกันขวันโขมง
ต้องคลี่คลายสายข้างระยางโยง
ให้ใบโปร่งเปิดสูงพยูงลำ
ฯลฯ
ครั้นเข้าเขตเมืองการะเวก ต้นหนก็เอาแผนที่ถวาย
พระหัสกันก็ส่องกล้องเห็นเรือรายอยู่ไกล
ฝ่ายเรือตระเวณด่านของเมืองการะเวก มีอยู่ประมาณร้อยเศษ ออกตรวจเขตขัณฑ์
เห็นกำปั่นแล่นมาจึงยิงปืนเป็นสัญญา แล่นสวนออกไปเข้าใกล้จนเห็นหน้าคนแขก
จึงให้ล่ามร้องถามไปว่า ฝรั่งอย่างไรจึงไม่หยุด ฝ่ายฝรั่งลังกาไม่ราใบ
เมื่อเรือมาใกล้จึงแกล้งลวงว่า จะไปเฝ้าเจ้าเมืองการะเวก
เคยมีตรามาไปเป็นไมตรีถึงจะไม่ให้ไปก็ไม่ฟัง
ชาวด่านว่าอย่าเข้าไปยังไม่ชอบ
ผิดระบอบเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง
ถึงไมตรีมีมาตราทุกครั้ง
ต้องหยุดยั้งอยู่แต่นอกจะบอกไป
ฯลฯ
ฝรั่งว่าถ้าเป็นทูตถือรับสั่ง
ควรยับยั้งตามบทในกฎหมาย
นี่องค์ท่านหลานท้าวเป็นเจ้านาย
มาแต่ฝ่ายฟากฝั่งกรุงลังกา
ฯลฯ
กองตระเวนเจนสมุทรจึงพูดแก้
อย่าว่าแต่สุริยวงศ์พระองค์ไหน
ถึงหน่อนาถราชโอรสยศไกร
มาแต่ไกลก็ต้องห้ามตามทำนอง
ฯลฯ
ฝ่ายฝรั่งลังกายังดื้อดึงแล่นเรือฝ่าเข้าไป กองตระเวณเข้าสะกัดกั้นเกิดสู้รบกัน แล้วกองตระเวณก็ให้เรือใช้ ไปกราบทูลท้าวเจ้าเมืองการะเวก กรุงกษัตริย์ทราบเรื่องว่า หัสกันบุตรสุดสาครยกมาก็ให้กรมท่า ออกไปรับหัสกันเข้าเมือง พระหัสกันกล่าวแกล้งแถลงไข แก่อำมาตย์ที่ไปรับว่า
เพราะลูกสาวเจ้าพาราการะเวก
ลักเพชรเอามาไว้ในไอศวรรย์
จะมาทวงดวงจินดาพูดจากัน
พวกมึงนั้นกั้นการปิดทางไว้
ฯลฯ
แล้วถามว่าโคตรก้อนแก้วเก็จเป็นเจ็ดสีนั้น เอาไปไว้ที่ใด อำมาตย์ก็ตอบว่า เมื่อคราวไปลังกานั้น ตนก็ไปด้วยและได้ตามหน่อไทไปเที่ยว ดูเมืององค์วัณฬาได้พาเดินไปบนเนินเพชร ได้ให้แก้วเก็จกับพระธิดา เมื่อเลิกทัพกลับมายังเมืองการะเวกก็ได้นำไปไว้ที่เขาเนาวรัตน์ การที่หัสกันมาหาว่า ลักเพชรมานั้นเหมือนเแกล้งพาล พูดดื้อไม่ถือสัตย์ แล้วต่อว่าหัสกันไปหลายประการ หัสกันได้ฟังก็โกรธให้จับอำมาตย์ลงอาญา แล้วสั่งให้ไพร่พลกระทำการ
ให้รุมเข้าเผาพาราการะเวก
มันโหยกเหยกแย่งริบให้ฉิบหาย
แต่สาวสาวเอาไว้ใช้อย่าให้ตาย
พบผู้ชายจงฟันให้บรรลัย ฯ
ฝ่ายนายทัพรับสั่งแล้วตั้งโห่
เฮโลโล้กำปั่นเสียงหวั่นไหว
ต่างรับเข้าอ่าวเมืองแน่นเนืองไป
ไม่มีใครรับสู้ทั้งบุรี
ฯลฯ
ชาวเมืองหมายว่ามาโดยดี จึงยืนดูอยู่ริมตลิ่งทั้งหญิงชาย พอทัพหน้าลังกามาถึงวังก็ขึ้นฝั่ง จุดเพลิงไหม้เผาบ้านเมือง พอทัพหลังมาถึงก็ช่วยทัพหน้าจุดไฟเผา ชาวเมืองต่างตื่นตกใจหนีแตกกระจัดกระจาย
ฝ่ายท้าวเจ้าเมืองการะเวกกับองค์เอกมเหสี พร้อมทั้งบรรดาแสนสุรางค์พอเพลิงไหม้ มาใกล้วังก็จะหนีออกนอกประตูวัง แต่ท่านครูห้ามไว้
จะหนีออกนอกประตูท่านครูห้าม
รู้ว่ายามเคราะห์ค่อยคิดถอยหลัง
จนค่ำไฟไหม้ครื้นเสียงปืนดัง
อุตส่าห์นั่งนิ่งภาวนามนต์ ฯ


